Wednesday, November 28, 2007

F>O>D>E 13 @ Khan-Asa

ภาพจากกล้องเราเอง ตอนแรกตั้งใจจะถ่ายไว้เยอะๆ
ปรากฏว่าป่วยหนัก ยืนยังจะไม่ไหว เลยกดๆ มาได้นิดหน่อย
ครางหน้าถ้าไม่มีอะไรติดขัดอีก คงถ่ายมาเก็บไว้
รูปบนเป็นตอนก่อนเริ่มงาน พอดีที่ร้านมีงานรูปถ่ายแขวนอยู่
ขออภัยจริงๆ ที่ไม่ทันได้ถามว่าเป็นงานของใคร
ได้ยินแต่พี่โหน่ง (สมชาย) บอกว่ารู้จักกับแก

รูปล่างนั้นถ่ายจากนอกร้าน พอมีคนเอาเพลงมาเปิด
เลยได้ออกเดินข้างนอกบ้าง
ขอบคุณทุกคนอีกครั้ง
ไม่คิดว่าจะเตรียมเพลงกันมาอุ่นหนาฝาคั่งขนาดนี้
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทั้งที่มาประจำและเพิ่งเคยมา
ทั้งที่ตั้งใจมาและหลงมา (เช่น คุณอารียา)
พบกันใหม่เดือนหน้า ที่ SEE-SCAPE เน้อ
^^




Monday, November 19, 2007

FALL ON DEAF EARS: NOVEMBER 2007


งานผ่านไปแล้ว เดี๋ยวจะเอารูปที่มีนิดๆ หน่อยๆ มาแปะไว้
ตอนนี้ขอแปะโปสเตอร์กับจดหมายเก็บไว้ก่อน
เพื่อเป็นบันทึกและเผื่อการค้นคว้าในโอกาสต่อไป


สวัสดีทุกท่าน
ติดไว้ตั้งแต่คราวที่แล้ว ว่าครั้งนี้จะจัดงานฉลองครบรอบ
ตกลงก็จัดที่ขันอาษา เชียงใหม่ เหมือนเดิม
นัยว่ารักษาบรรยากาศเดิมๆ เอาไว้(วันเสาร์ที่ 17 พ.ย.นี้เน้อ!)
แต่ฤดูที่สองนี้จะเริ่มเตร็ดเตร่ออกไปที่อื่นๆ บ้างแล้วนะ

อยากขอบคุณทุกๆ คน ทั้งที่เคยมาและไม่ได้เคยมา
จากตอนเริ่มต้นที่จัดงานไว้ฟังเพลงกันเอง
ถึงวันนี้มันก็ขยับขยายออกไปเกินกว่าที่คาดคิดไว้มากมาย

ย้อนเวลากลับไปตอนแรกเดือนตุลา 2549
เพิ่งไปถึงเชียงใหม่ได้ไม่นานทำใบปลิวถ่ายเอกสารแค่ประมาณ 12
ใบ
(เรียกเองว่าครั้ง 'ซ้อมใหญ่')แถมยังแจกไม่หมดเพราะไม่รู้จะแจกใคร
ได้แต่ชักชวนกันเองในหมู่พี่น้องเพื่อนฝูง
จากนั้นตอนเดือนพฤศจิกาก็ค่อยถือเป็นครั้งที่ 1
จัดไปจัดมา เดือนมิถุนาก็จัดสองครั้ง ที่เชียงใหม่จัด 'ไทยไนต์'
คือเปิดแต่เพลงจากศิลปินไทยเท่านั้น
อีกครั้งไปจัดที่กรุงเทพฯ ให้คนไกลได้สัมผัสบรรยากาศกันบ้าง
เดือนสิงหาถัดมาก็จัด 80s พร้อม tribute อัลบั้มแรก
'ธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา' ให้พี่เพชร (ที่มีเพลง ไม่ใช่ผู้วิเศษ)
แถมเดือนที่แล้วก็ได้ไปจัดที่ปาย เปลี่ยนบรรยากาศกันอีกรอบ

ขอบคุณพี่โหน่ง สมชาย, พี่ๆ น้องๆ ที่ HIP และขันอาษา
สำหรับการเริ่มต้นอย่างอบอุ่น
ขอบคุณ a day, happening, DDT, City Life และ COMPASS
ที่ช่วยแปะข่าวให้ทุกเดือน
ขอบคุณพี่น้องศิลปินทุกท่าน ที่เอื้อเฟื้อผลงานมาร่วมสนุก
ทั้งเพลงและภาพ
ขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือมาโดยตลอด
ขอบคุณย้อนหลังไปถึง NOKIA พี่เพชร และ M MAX ที่สนับสนุน
ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สามารถต่ออายุ 'กิจกรรมฟังเพลง' ของเรานี้ให้หายใจคล่องขึ้น
ขอบคุณพี่ชาติ แห่ง GrooveYard ที่ชวนไปจัดที่ปาย
และออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด (ไม่งั้นคงไม่มีปัญญาไปหรอก...
แถมวันที่เราอยู่พักผ่อนต่อ พี่ชาติยังแอบไปจ่ายค่าที่พักให้อีก)
ก็อย่างที่ทราบ เราไม่มีรายได้อะไรจากการจัดแต่ละครั้ง
ยกเว้นเดือนไหนที่หาสปอนเซอร์ได้เท่านั้น

แต่เดี๋ยวก่อน-เขียนแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกจัดนะ
เพราะยังไงก็คงจะจัดต่อไปเรื่อยๆตามที่ตั้งใจไว้ว่า
อยากให้คนได้มีทางเลือกฟังเพลงที่แตกต่างออกไปบ้าง
และการมาพบกันแค่เดือนละหนึ่งครั้ง คงไม่ได้หนักหนาอะไรนัก
แต่แค่ก็จะบอกว่า ต่อไปนี้ถ้ายังหาสปอนเซอร์ไม่ได้
ก็คงลงโฆษณาไม่ได้
และพิมพ์โปสเตอร์กับโปสการ์ดไม่ได้แล้วเท่านั้นเอง

เราคงต้องสื่อสารกันทางอีเมล บล็อก
เว็บบอร์ดของเพื่อนๆ ที่ทำนิตยสารต่างๆ
และปากต่อปาก ^^(แต่ยังจะออกแบบโปสเตอร์ทุกเดือนอยู่ดี 555)

โปสเตอร์ของเดือนนี้ ได้นางแบบชั้นนำมาร่วมงาน
ชื่อในวงการชื่อ 'ชะมะ' อันที่จริงก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล
เป็นน้องกราฟฟิกที่ HIP ที่ช่วยเราทำโปสเตอร์ทุกเดือนๆ นี่เอง
อยากลองใช้หน้าคนมาทำโปสเตอร์นานแล้ว นึกถึงงานของพี่คนนั้น
ที่ชอบเอาตัวหนังสือไว้บนหน้า
(จำชื่อไม่ได้ เดี๋ยวจะเอาไปแปะไว้ให้ที่นี่ละกันนะ)
เพิ่งสบโอกาสก็เดือนนี้ ถือว่าเป็นงานเฉลิมฉลอง 'ประชาชนม้าเต่อ'
แห่งจังหวัดเชียงใหม่ก็แล้วกัน

งานครบปี ไม่มีอะไรพิเศษ เพราะคิดว่าไม่ควรฟุ้งเฟ้อ
แค่อยากมีของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ให้ แต่ขอดูงบประมาณก่อน
(อาจจะเปิดกล่องรับบริจาค สมทบทุนค่าอาหารกลางวัน ^^)

นึกได้หนึ่งอย่าง ไม่รู้ว่าจะสนใจกันหรือเปล่า
คือปกติที่ผ่านมา เราไม่ค่อยได้เปิดเพลงตามคำขอ
ไม่ใช่เพราะหยิ่ง แต่ว่าบางทีขอเพลงช้าตอนกำลังเปิดเพลงเร็ว
ซึ่งก็เปิดให้ไม่ได้
หรือไม่ก็ขอเพลงที่เราไม่มีหรือไม่ก็ขอเพลงที่ไม่เข้ากับงาน
ซึ่งพอเวลามาขอ ก็จะรู้สึกผิด ที่ต้องตอบว่า 'ไม่มีครับ' อยู่บ่อยๆ
งานครบรอบนี่ก็เลยคิดว่า
คนที่มาสามารถเตรียมเพลงที่ตัวเองอยากฟังมาได้
คนละเพลงสองเพลงแล้วก็เดินมาเปิดตอนไหนก็ได้
ถ้าเตรียมมากันหลายคนก็ยิ่งดี เราจะได้ไปนั่งฟังบ้าง
ถือเป็นการตอบแทน ที่ติดตามกันมาทุกเดือน
อืม...น่าจะดีนะ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องนัดแนะ
ถือซีดีหรือไอพอดหรืออื่นๆ ที่เปิดเพลงได้ เดินมาเปิดได้เลย
(หมายเหตุ ไม่รับเป็นตุ่ม MP 3 นะครับ!!!!)

อ้อ...อีกอย่างที่เพิ่มเติม
คือต่อไปนี้จะมีคล้ายๆ artist of the month อยู่บนโปสเตอร์ด้วย
เรียกชื่อเองว่า Rabbit in Love ก็หมายถึงศิลปินที่เราฟังบ่อย
กว่าคนอื่นในช่วงเดือนนั้นๆ แถมโปรดปรานเป็นพิเศษ
(ส่วนใหญ่ก็จะเอามาเขียนลงในคอลัมน์อยู่แล้ว)
แต่คิดว่าน่าจะช่วยเผยแพร่งานที่เราคิดว่าน่าสนใจ (มากกก)
ออกไปกับโปสเตอร์ด้วยเลย

เกือบลืม ดีวีดีเดือนนี้เป็นรวมมิตรมิวสิควิดีโอหาดูยาก
จากค่าย smallworld (ซึ่งก็คือ smallroom ของพวกเรานั่นเอง)
ขอบคุณกุ๊ย และ smallroom อีกครั้งที่เอื้อเฟื้อ แผ่นมาให้ได้ดู
เพราะถ้า smallroom ไม่เอื้อเฟื้อ ก็ไม่รู้จะมีปัญญาไปดูได้ยังไงเหมือนกัน
เท่าที่นึกออกก็มีเอ็มวีของ Ivy, Cloudburry Jam, Mocca และอื่นๆ อีกมาก
(ตอนนี้จำได้ไม่หมดเหมือนกัน เดี๋ยวเอาไปแปะไว้ให้เหมือนเดิม)

ฉบับนี้ยาวหน่อยนะ เหนื่อยอ่านหรือยัง...

เพราะว่าอยากขอบคุณค่ายเพลงต่างๆ ด้วย
ที่ช่วยสนับสนุนซีดีและดีวีดีบางส่วน
ทั้ง smallroom, universal, platinum, EMI และ SONY
(ยังไม่ได้ติดต่อกับ warner เลย)
อันที่จริงคนที่มาร่วมงานบ่อยๆ คงรู้ว่าเพลงที่เปิดส่วนใหญ่
ไม่ค่อยมีขายในร้านทั่วไปในบ้านเราเป็นแผ่นที่เราสั่งซื้อ ฝากซื้อ
และขอซื้อมาจากที่อื่นๆ ซึ่งสนนราคาสูงมากกกกกกกกก
โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีรายได้ประจำอย่างเรา T_T
คนที่ 'ซื้อ' ซีดีเท่านั้นจึงจะเข้าใจความจริงข้อนี้
เราก็อยากให้ค่ายสั่งเข้ามามากๆ เพราะถ้าค่ายสั่งมาขายหรือผลิตเอง
ราคาซีดีจะถูกลง จาก 950 หรือ 860 เหลือ 450 หรือ 350 เท่านั้น

ทีนี้มันก็เป็นงูกินหาง ถ้าคนไม่ซื้อซีดีของจริง ค่ายก็ไม่มีรายได้
โอกาสที่เราจะได้ฟังเพลงดีๆ ที่หลากหลายก็น้อยลง
เราก็คงต้องฟังเพลงที่เขากรอกหูทุกวี่ทุกวันอยู่อย่างนี้ไปจนตาย

วันก่อนได้ยินคุณป็อด (MD) พูดในรายการวิทยุว่า
"ถ้าซื้อแผ่นจริง ศิลปินก็มีข้าวกิน ก็จะทำงานดีๆ ออกมาให้พวกเราได้ฟังกัน"

เราไม่ได้เห็นด้วยเรื่องการกวาดต้อนไล่จับลิขสิทธิ์ที่ทำกันอย่างบ้าคลั่ง
แต่เห็นด้วยเรื่องการสนับสนุนคนที่ทำงาน 'ดี' และ 'สม' ราคา
เพราะเราควรให้ค่าของการทำงานหนักและความประณีตบรรจง
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เราสามารถแยกแยะ 'งานดี'
ออกจากงานที่ 'ถูกยัดเยียดจนกลายเป็นดี' ได้หรือไม่?
และเมื่อแยกแยะได้แล้ว เรายอมที่จะสนับสนุนคนเหล่านั้นหรือเปล่า?

เรื่องแบบนี้ บางทีคนที่เคยผ่านการงานที่เคี่ยวกรำอย่างหนักเท่านั้น ถึงจะรู้สึกรู้สา

เราว่าต้องช่วยกันทุกส่วน คนที่ทำงานก็ควรตั้งใจมากๆ
ค่ายก็ควรเลือกเพลงที่ดีและลดสัดส่วนการโปรโมทเพลงขาย
มาโปรโมทเพลงดีๆ บ้าง
แถมควรเลือกวิธีโปรโมทที่ใส่ใจในรายละเอียดของตัวคนและผลงาน
มากกว่าตีค่าเป็นสินค้าหนึ่งชิ้น
ส่วนคนฟัง ก็ควรสนับสนุนสิ่งที่ควรสนับสนุนบ้าง
ไม่ใช่รอแต่ของถูก หรือเลือกแต่ของฟรี
ส่วนเรา หน้าที่ตอนนี้เป็น 'สะพาน' ก็จะทำอย่างหนักหน่วงเช่นกัน

เกือบลืมอีกเรื่อง เราเปลี่ยนจากใส่เสื้อลายขวาง มาใส่เสื้อ 'รูปสัตว์' กันเถอะ!
สนุกๆ ไม่มีอะไรหรอก ปกติก็ไม่ได้เน้นเสื้อผ้าอยู่แล้ว
แต่ถ้ามันจะทำให้บรรยากาศน่ารักขึ้นก็เพลินดี
นึกภาพสิงสาราสัตว์กระจายตัวอยู่บนเสื้อคนที่มางาน ก็คงน่ารักดี
(อันที่จริง เราชอบใส่เสื้อรูปสัตว์มากกว่าเสื้อลายอีกนะ แต่ที่ใส่เสื้อลายเพราะมันหาซื้อง่าย)

ไปดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นจดหมายข่าวที่ยาวที่สุดในโลก...
พบกันวันเสาร์ที่ 17 ที่ขันอาษา เชียงใหม่
20.00 ฉายเอ็มวีจากค่าย smallworld
21.00 เริ่มงาน อย่าลืมเตรียมเพลงที่ตัวเองชอบมาเปิดได้ตามใจ ^^
(ปีละครั้งเท่านั้นนะ ที่จะเปิดโอกาสให้แบบนี้ อย่าลังเลเชียว ",)

อากาศหนาวแล้ว แต่มองไปเห็นบรรยากาศการเมืองแล้วหนาวกว่า
รักษาตัวด้วย
*_*
วชิรา

ปล RabbitCast กลับมาแล้ว ที่เดิม FM 106.5 MHz เชียงใหม่
แต่ขยับเวลาเป็นบ่ายโมงถึงสามโมง!
เริ่มวันอาทิตย์ที่ 11 พ.ย.นี้เจ้าาาาาา

Thursday, November 15, 2007

ทะลุหูขวา (7): artist: Sufjan Stevens



พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2550

{artist}
Sufjan Stevens

Sufjan Stevens เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง
และเป็นนักดนตรีที่เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด (มาก!)
เขาเกิดที่เมืองดีทรอยท์ มลรัฐมิชิแกน
เริ่มต้นเดินในเส้นทางดนตรีด้วยการเป็นสมาชิกวง Marzuki เป็นวงดนตรีโฟล์ค
ออกอัลบั้มกันได้ 2 ชุด Stevens ตัดสินใจแยกตัวและเตรียมออกอัลบั้มเดี่ยว

เขาเป็นนักดนตรีประเภท ‘หัดเอง’ Stevens
กระหน่ำเพลงโซนาตาของโมสาร์ทบนของเล่นคาสิโอตั้งแต่เด็ก
ต่อมาโตขึ้น เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขากลายเป็นผู้ช่ำชองโอโบ, ขลุ่ย,
แบนโจ, กีตาร์, ไวบราโฟน (ระนาดฝรั่ง), เบส, กลอง, เปียโน และอื่นๆ

ช่วงเวลาแถวๆ นั้น เขาเริ่มหัดร้องเพลง แม้ว่าเพื่อนๆ จะไม่สนับสนุนนัก
เขาซื้อเครื่องอัดคาสเสตต์ 4 แทรก ลงมือทำคอนเส็ปต์อัลบั้มความยาว 90 นาที
แต่ปรากฏว่าเพลงที่ออกมามีเสียงเหมือนวงเครื่องลมสมัยยุคกลาง
(ช่วงคริสตศตวรรษที่ 12-15) กำลังแกว่งดาบ
และคบไฟต่อสู้กับมังกร 12 หัว (ว่าไปโน่น!)
ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย Stevens จัดการตกแต่ง
คัดเลือก และเรียบเรียงเพลงเหล่านั้นใหม่
จนกลายเป็นอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรก A Sun Came
ที่ออกในค่ายเพลงโฮมเมดของพ่อเลี้ยง Lowell Brams
หนึ่งพันแผ่นถูกส่งไปวางขายที่ไหนบ้าง ดูคล้ายจะไม่มีใครให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น Sufjan Stevens ย้ายไปนิวยอร์ก
สมัครเข้าเรียนต่อเรื่องวิชาการเขียนและพยายามจะจบมหากาพย์นิยายของเขา
ซึ่งก็ไม่สำเร็จ และดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเช่นเคย
เขาเบื่อตัวหนังสือ และหันกลับไปหาเครื่องอัด 4 แทรกอีกครั้ง
ทำเพลงอิเลคโทรนิคเกี่ยวกับสัตว์ใน 12 จักรราศีของชาวจีน
และกลายมาเป็นอัลบั้มที่สอง Enjoy Your Rabbit
ซึ่งเขาพบว่ามันถูกนำไปลดราคาในชั้นซีดีมือสอง
ในร้านขายซีดีและแผ่นเสียงชื่อดังในนิวยอร์ก ภายในเวลาแค่สองสัปดาห์

Stevens ถือว่านั่นเป็นการสรรเสริญ
แต่ค่ายต้นสังกัดไม่ได้คิดอย่างงั้น
พ่อเลี้ยงยืนกรานให้เขาเขียนเนื้อเพลงลงไปในทำนอง

Stevens หันกลับไปหาหนังสืออีกครั้ง
และเริ่มเขียนเรื่องแต่งลงไปในโครงสร้างของเพลง
เขาเริ่มตระเวนออกไปอัดเสียงตามบ้านคน ทีละบ้านกับเครื่องมือบ้านละชิ้น
จนออกมาเป็นอัลบั้ม Greetings from Michigan: The Great Lake State
พ่อเลี้ยงของเขาชอบมาก
และตัดสินใจว่าจะต้องนำอัลบั้มนี้ออกไปสู่ประชาชนในวงกว้างให้ได้
พวกเขาเริ่มจัดการค่ายเพลงของตัวเองอย่างจริงจัง
ตั้งใจทำให้เป็นค่ายเพลงจริงๆ (ชื่อ Asthmatic Kitty)
และในที่สุดประชาชน รวมทั้งนักวิจารณ์ทั้งหลายก็ชื่นชอบเขา
และในช่วงเวลานั้นเองที่ Stevens ประกาศโปรเจกต์ Fifty Stages ออกมา
โดยเขาจะเขียนเพลงที่เกี่ยวข้องกับ 50 รัฐของอเมริกา
ตั้งใจจะใช้เวลา 1 รัฐ ต่อ 1 อัลบั้ม ต่อ 1 ปี
ซึ่งนั่นหมายความว่า โปรเจกต์นี้จะต้องใช้เวลาถึง 50 ปี กว่าจะเสร็จ!

ช่วงระหว่างฤดูหนาวของปี 2004 Stevens ใช้เวลาสี่เดือนเก็บตัว
อ่านหนังสือ อ่านอัตชีวประวัติ อ่านบทกวีของ Carl Sandburg
และนิยายของ Saul Bellow (นักเขียนรางวัลโนเบลปี 1976)
นักเขียนสองท่านนี้มีรากฐานอยู่ในรัฐ Illinois
ไม่นานจากนั้น หลังจากที่ค้นคว้าอย่างหนัก
Stevens เริ่มต้นใช้สัญชาตญาณของตัวเองทำงาน
และได้ผลลัพท์ออกมาเป็นอัลบั้ม Come on Feel the Illinoise
ซึ่งมียอดจำหน่ายมากกว่า 500,000 แผ่นใน Illinois
และได้รับรางวัลมากมายถล่มทลายจากหลายสถาบัน
ทั้งศิลปินยอดเยี่ยม อัลบั้มยอดเยี่ยม และอาร์ตเวิร์คยอดเยี่ยม

(อันที่จริง อัลบั้มนี้ออกมาล่าช้าเล็กน้อย เนื่องจากมีปัญหาทางกฏหมาย
เรื่องการใช้ตัวการ์ตูนซุปเปอร์แมนบนหน้าปก
จนต้องแปะสติ๊กเกอร์ทับตัวซุปเปอร์แมนลงบนแผ่นเสียง 5,000 แรก ก
ารพิมพ์ปกรุ่นต่อมาได้เว้นว่างตรงรูปซุปเปอร์แมนไว้
และกลายเป็นลูกโป่งสามลูกในปัจจุบัน)

เมษายนปี 2006 Stevens นำเพลงอีก 21 แทรกที่เขาคัดมาจาก
ตอนที่ทำอัลบั้ม Illinoise ออกมารวมอยู่ในอัลบั้ม The Avalanche
และหลังจากนั้นเขาเขียนเพลงใหม่ออกมาอีกมากมาย
โดยมี Oregon, Rhode Island และ Minnesota อยู่ในรายชื่อรัฐถัดไป
และหลังจากนั้นก็มีรายชื่อของ New York Album, California
และ Arkansas เผยออกมา
แต่แล้วในปี 2006 นี่เองที่มีคำประกาศในอัลบั้มรวมเพลงของค่าย Asthmatic Kitty ว่า
“Sufjan Stevens จะไม่ทำเพลงโปรเจกต์ 50 รัฐ อีกต่อไปแล้ว”
แต่มันอาจเป็นมุก เพราะหลังจากนั้น ข้อความนี้ก็ถูกเปลี่ยนไปกลายเป็นเรื่องพับผ้า (บ้าบอมาก!)

เพลงส่วนใหญ่ของ Stevens ให้น้ำหนักไปกับการสำรวจความหมายส่วนตัว
ของความศรัทธา ครอบครัว ความรัก และสถานที่

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.sufjan.com

ทะลุหูขวา (7): lyric: Concerning the UFO Sighting Near Highland, Illinois

{lyric}
Concerning the UFO Sighting Near Highland, Illinois

When the revenant came down
We couldn't imagine what it was
In the spirit of three stars
The alien thing that took its form
Then to Lebanon, Oh, God!
The flashing at night, the sirens grow and grow
(oooohhh, history involved itself)
Mysterious shade that took its form (or what it was!)
Incarnation, three stars
Delivering signs and dusting from their eyes

ทะลุหูขวา (7): essay: แม่น้ำปายไหลไปรวดเร็ว



คอลัมน์ใน HIP ถูกปรับเป็นขาวดำ
เขียนบอกไว้ว่าสามารถรับชมแบบสีได้ที่นี่
ขอเชิญรับชม ^^


{essay}
น้ำในแม่น้ำปายไหลไปรวดเร็ว

หลายวันก่อนผมเดินเล่นอยู่ที่ปายตามลำพัง
ในวันธรรมดาที่นักท่องเที่ยวบางตา ถือเป็นวันพักผ่อน
หลังจากตรากตรำกับงานที่หนักหน่วงมายาวนาน
อันที่จริงผมก็ไม่ได้พิศวาส ‘ภาพลักษณ์’
น่ารักโรแมนติกของเมืองท่องเที่ยวขนาดเล็กแห่งนี้เท่าไหร่นัก
ด้วยความที่เห็นว่ามันรีบร้อนเจริญเติบโตไปหน่อย
ทำให้รู้สึกว่า ‘พลังงาน’ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในเมืองนั้น
พลุ่งพล่านเกินขนาดของตัวมันเอง
แต่ที่ยังเดินเหินอยู่ได้ ก็คงเพราะพิศวาสอย่างอื่นมากกว่า

มีพี่-น้องบางคนที่นั่น ที่ทำให้ผมรู้สึกสนิทใจ

เดินไปเดินมาไม่ไกลจากที่พัก เห็นที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
วางกระบะเล็กๆ ไว้เต็มโต๊ะ ในกระบะขนาดเล็กใหญ่ต่างกันเหล่านั้น
มีเส้นเขียวๆ ตั้งตัวดิ่งเหยียดตรงขึ้นฟ้า
มองไกลๆ คล้ายแผงข้าวขนเขียวสดขนาดย่อส่วน
ที่กำลังรอเคียวมากวัดเกี่ยว
เมื่อมองใกล้เข้าจึงรู้ว่าที่แท้คือกระบะปลูกถั่วงอก

สิ่งมีชีวิตบอบบางที่เติบโตจากเมล็ดถั่วเขียวธรรมดาๆ
ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านั้นสักนิด
.............

นานแสนนานมาแล้ว จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมยังเชื่อหัวปักหัวปำว่า
ความสามารถของสมองคนเรานั้นมีขีดจำกัดบางอย่าง
ที่กั้นเราออกห่าง ‘ความจริง’ ของการมีชีวิตอยู่
แม้ว่า ‘ความเป็นอัจฉริยะ’ นั้นอาจสร้างได้จริงก็ตาม
แต่ก็เป็นคนละเรื่องการเข้าใจกลไกของการมีชีวิตอย่างถ่องแท้
ดังนั้นสำหรับผม, การพยายามใช้แต่เพียงลำพัง สมอง
จึงอาจเป็นข้อบกพร่องสำคัญที่กลับถูกมองข้าม

การคิด คิด และคิด อาจไม่ช่วยให้เข้าใจอะไรได้ทั้งหมด นั้นเป็นข้อจำกัด

แต่แน่ละ, ที่เราจำเป็นต้องคิด
เพราะมันคือเครื่องมือชนิดเดียวที่เห็นได้ชัด
และอาจเป็นวิธีเดียวที่จับความกระจัดกระจายของปรากฏการณ์ในชีวิต
ให้อยู่ในกรอบของระบบเหตุผล เพราะถึงที่สุดแล้ว
เราอาจต้องการความกระจ่างชัด มากกว่าความเป็นจริง

คู่รักที่เลิกรากัน ถ้าได้ยินเหตุผลชัดๆ เต็มสองรูหู
อาจทุกข์ทรมานน้อยกว่าการต้องใช้เวลานั่งงมหาคำตอบ
ในความมืดบอดตามลำพัง

ครอบครัวที่ต้องพลัดพราก ผืนแผ่นดินที่ถูกรุกราน
การพยายามถามหาความยุติธรรมที่ดูเหมือนจะมีอยู่จริง และอื่นๆ

ในสถานการณ์ที่รู้สึกสูญเสีย บางทีใครหน้าไหนก็ฉุดรั้งเราไว้ไม่ได้
หลายคนมุ่งหน้าเข้าหาศาสนา-ในเวลาคับขัน

บ้างตรงรี่เข้าหาปรากฏการณ์เหนือจริงทั้งปวง
ศาสตร์แห่งการพยาการณ์ รวมถึงไสยศาสตร์ต่างๆ นานา

บางคนมุ่งหน้าไปหามนุษย์ต่างดาวก็มี!

มิติในการพูดคุยเรื่องเหนือจริงนั้นหลากหลายและละเอียดอ่อน
(ดังมีคดีน้อยใหญ่เกิดขึ้นมาแล้วมากมาย)
ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ ปรัชญา จิตวิทยา มานุษยวิทยา
และอื่นๆ อีกหลายยา แต่ประเด็นหนึ่งที่พูดกันมาทุกยุคทุกสมัย
และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ คือการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง

ศรัทธาที่แตกต่าง อยู่ร่วมกันไม่ได้จริงหรือ?

หากหรี่ตามองผ่านความขัดแย้งรุนแรงในระดับสงครามในอดีต
(แต่อย่าหรี่นานนัก!) การเข่นฆ่าอาฆาต ปลิดชีวิตผู้อื่น
อันมีต้นตอจากความแตกต่างทางความคิดความเชื่อ
และการใช้ความศรัทธาของกลุ่มก้อน
เป็นเครื่องมือสังหารของพวกตัวเองแล้วนั้น
ผมยังมองเห็นว่า คนเราควรมีศรัทธาในบางอย่างอยู่ดี

การมีชีวิตอยู่โดยไม่ศรัทธาอะไรเลย
คงเหมือนกระดาษชำระชุ่มน้ำ ที่ค่อยๆ แห้ง กรอบ
และรอวันบุบสลายไปอย่างช้าๆ

เพียงแต่น้ำเลี้ยงของแต่ละคนอาจไม่จำเป็นต้องมาจากที่เดียวกัน

พระเจ้าของผม อาจไม่ใช่แค่ภาพผู้ชายสูงอายุไว้หนวดเครา
หน้าตาใจดี แต่ล้อเล่นไม่ได้ (เพราะศาสนจักรกำชับเราว่า
ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก! ห้ามล้อเล่น ซึ่งน่าแปลกใจมาก
เพราะในขณะเดียวกันก็พร่ำสอนเราว่าท่านรักและเอ็นดูเรามาก?)
แต่อาจหมายถึงทุกสิ่งอย่าง ที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่รอบตัวผม
รวมถึงภาพของชายสูงอายุผู้นั้น

อาจอยู่ในคนที่ผมสนิทใจ ในเมืองที่ผมรัก
ในงานที่ผมทำ หรือกระทั่งในเมล็ดถั่วเขียว
ที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นเป็นถั่วงอก

ความหมายของการศรัทธาอะไรสักอย่าง จึงไม่ต้องยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า
ถ้ามันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งที่นำไปสู่การทำลายล้าง

ผมเดินผ่านกระบะถั่วงอกกลับไปยังที่พัก นั่งอ่านหนังสือ
เมื่อยก็ลุกขึ้นยืนเดิน ปวดตาก็หยุดพัก
ตรงหน้าคือมุมโค้งน้ำปายที่เลี้ยวตัวไปทางขวา
แม่น้ำปายที่เมื่อสองปีก่อนสร้างความเสียหายให้กับนักท่องเที่ยว
นักลงทุน และชาวบ้านอีกหลายหลังคาเรือน

แต่ผมไม่โทษแม่น้ำ

ช่วงปลายฤดูฝนอย่างนี้ แม่น้ำปายไหลไปรวดเร็ว
ราวกับรีบร้อนจะไปให้ถึงที่หมายที่ไหนสักแห่ง
จินตนาการว่ากระแสน้ำคงมีพละกำลังรุนแรงไม่น้อย
สังเกตจากปลายระลอกของผิวน้ำ
เด็กๆ สองสามคนวิ่งเล่นปาก้อนหินอยู่ข้างๆ กอตะไคร้ริมฝั่ง
ไม่มีใครลงไปเล่นน้ำเลยสักคน

ผมนั่งดูแม่น้ำอยู่อย่างนั้นจนฟ้ามืด ไม่มีอะไรพิเศษกว่านั้นเลยสักนิด

Wednesday, November 14, 2007

EE: PUNCH-DRUNK LOVE directed by Paul Thomas Anderson


"I have so much strength in me you have no idea. I have a love in my life. It makes me stronger than anything you can imagine."

Tuesday, November 13, 2007

เวลาเปลี่ยน

เท่าที่รู้ข่าวสารแบบจำความเอาเอง
ซึ่งก็ได้ความแบบเอาเองว่ามารี อองตัวเนต
คือราชินีผู้ฟุ่มเฟือย มีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส
เป็นชาวออสเตรียที่ต้องไปแต่งงานกับราชกุมารของฝรั่งเศส
และเสียชีวิตด้วยการถูกบั่นหัว ด้วยเครื่องกิโยติน
ประเทศของเราไกลกัน ประวัติศาสตร์ภาคชาวบ้านก็ไกลเป็นเงาตามตัว

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นเจ้าของวลี "Let them eat cake"
ที่ลือกันว่าก่อกระแสรุนแรงให้เกิดการปฏิวัติในครั้งโน้น
เพราะความที่หรูหรา ฟุ่มเฟือย
ในขณะที่ประชาชนของประเทศตัวเองนั้นไม่มีขนมปังจะกิน
พูดกันว่า ในวันที่มีคนไปบอกราชินี
ถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่มีขนมปังจะกิน
แล้วราชินีของพวกเขาตอบว่า "ก็ให้กินเค้กสิ"

แต่พอดูหนัง รวมทั้งหาอ่านเพิ่มเติมจากหนังสือ
มารี อองตัวเนต:กุหลาบแห่งแวร์ซาย (บก.เรียบเรียงโดย ดวงแก้ว วิญญตรา)
ซึ่งบอกเล่ากับเราเพิ่มเติมว่าเธอไม่ได้พูดเช่นนั้น
(น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกที่มาอ้างอิงไว้
ใครที่สนใจ คงต้องไปตามหาอ่านเอาเองจากที่อื่น)
ที่จริงแล้ว, เธอกลายเป็น 'เหยื่อ' ของการประชาสัมพันธ์
ปลุกปั่นให้เกิดการปฏิวัติเท่านั้น

สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่ สำหรับบางคนบางแผนการ, จำเป็นต้องมีเหยื่อ

จริงอยู่ ดูจากในหนังและอ่านจากหนังสือ
สาเหตุหลักของความยากจนไม่ได้มาจากลำพังความฟุ่มเฟือย
แต่มาจากการที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สวามี
ตัดสินใจสนับสนุนกองกำลังทหารสำหรับสงครามในอเมริกา
ซึ่งอยู่ไกลออกไปและเป็นการตัดสินใจบนความลังเล

แต่ประวัติศาสตร์โดยทั่วไป ก็ล้วนขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนเขียน
และแต่ละคนจะมีทางออกให้ตัวละครในอดีตนั้นอย่างไร

ยกขบวนออกจากประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฝรั่งเศสเมื่อหลายร้อยปีก่อน
มองไปรอบๆ แถวๆ บ้านเรา การบริโภคข่าวลือ ยังคงเป็นกิจวัตรที่เกิดกับทั่วไป
ทั้งในระดับชาวบ้านและการเมือง
เป็นอาหารรสโอชาที่ใครได้ลิ้มก็ล้วนติดใจ

บางคนเกิดมาแล้วตายไป พร้อมข่าวลือต่างๆ นานา
เพียงเพราะเขาไม่สำคัญกับโลกเพียงพอ
ที่จะเป็นตัวละครที่มีคนรุ่นหลังๆ มาคอยตั้งประเด็นให้ถกเถียง

การเปลี่ยนผ่านของเวลา
จะช่วยให้คนอื่นๆ มองเห็นคนอื่นๆ ในมิติที่หลากหลายขึ้นจริงหรือ?

มารี อองตัวเนต ถึงจะเป็นราชินี แต่โดยพื้นฐานก็เป็นคนธรรมดาๆ
แต่งงานเร็ว มีความรักในสามี มีลักลอบร่วมรัก
เป็นเด็กสาวที่ฟุ่มเฟือย หรูหรา ชอบแต่งตัว
ชอบสนุกสนาน ต้องสูญเสียลูกน้อย กล้าหาญ และเล่นการพนัน
ขณะเดียวกัน ก็ต้องแบกรับภาระใหญ่หลวง
ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยวัยเพียงสิบห้าปี

ลองออกไปเดินเล่นตามสยามสแควร์ดูสิ
เราอาจประเมินเด็กสาวจากภายนอกต่างออกไปจากเดิม

..................................................

หมายเหตุ ค้นๆ รูปพระนางแล้วตลกดี
รูปแรกเป็นภาพเสมือนจริง
รูปที่สองเป็นผลงานของใครสักคน สำหรับงานฮาโลวีนhttp://www.makezine.com/blog/archive/2006/10/homemade_headle.html

ส่วนรูปที่สาม เป็นอมยิ้มหัวคน
http://www.mcphee.com/items/11768.html
จากประวัติศาสตร์ที่หดหู่ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก
กลายมาเป็นอมยิ้มภายในเวลาเพียงสองร้อยกว่าปี!

Monday, November 5, 2007

ทะลุหูขวา (6): artist: Goldfrapp


ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP
ฉบับเดือนตุลาคม 2550

Goldfrapp

Goldfrapp คือวงดนตรีดูโอชาวอังกฤษ ประกอบด้วย

Alison Goldfrapp (Vocals/Synthesizer) และ Will Gregory (Synthesizer)
มีผลงานออกมาแล้วทั้งหมด 3 อัลบั้ม
(ไม่รวม อัลบั้ม We Are Glitter ที่เอาเพลงเก่ามามิกซ์ใหม่ )
คือ Felt Mountain ในปี 2000, Black Cherry ปี 2003 และ Supernature ในปี 2005

Alison Goldfrapp เพิ่มพูนความรู้ทางดนตรีและทดลองทำเพลง

ในสมัยที่เรียน fine art painting อยู่ที่ Middlesex University
แรงบันดาลใจส่วนใหญ่ในการแต่งเพลงของเธอมาจากความรู้สึกเหงาตอนเด็ก
เพลงที่เธอฟัง และหนังที่เธอชอบ
อย่าง James Bond และ Cul-de-Sac ของ Roman Polanski

Alison ยังได้แรงบันดาลใจอีกส่วนจากความเหนือจริง (surrealism)

และธรรมชาติ ซึ่งดูได้จากปกซีดี ที่เธอออกแบบเอง

ขณะที่ Will Gregory ชอบเพลงคลาสสิคและเป็นคนทำเพลงประกอบหนัง

จนกระทั่งวันหนึ่ง Will ได้มีโอกาสฟังเดโมเพลง Human
(ซึ่งภายหลังเพลงนี้มาอยู่ในอัลบั้ม Felt Mountain) แล้วชื่นชอบเสียงร้อง
เขารู้สึกได้ถึงความชอบทางดนตรีที่คล้ายกัน
จึงตัดสินใจชวน Alison ทำงานร่วมกันภายใต้ชื่อ Goldfrapp
ซึ่งก็คือนามสกุลของเธอ

การทำงานของทั้งคู่ในสตูดิโอเริ่มต้นด้วยการที่ Alison เขียนเนื้อเพลง

เธอจะร้องออกมาเป็นทำนอง พร้อมกำหนดจังหวะของกลองออกมาเลย
ส่วน Will ก็รับหน้าที่ในส่วนของดนตรีทั้งหมด
โดยจะทำให้เข้ากันกับอารมณ์ของเนื้อร้องที่ Alison เขียนและร้องเอาไว้

เพลงของ Goldfrapp มีลักษณะของเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์

นุ่มนวล เน้นเสียงหายใจและลมของ Alison
ผนวกกับการเรียบเรียงเพลงที่ซับซ้อนและเน้นการเรียบเรียงเครื่องสายของ Will

ถึงแม้จะได้รับคำชมมากมายจากนักวิจารณ์

แต่อัลบั้มแรกอย่าง Felt Mountain ที่มาในดนตรีแบบ Ambient
ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายเท่าที่ควร (ทั้งๆ ที่ไพเพราะมาก)
อย่างไรก็ตาม อัลบั้มถัดมาอย่าง Black Cherry ที่มาในแบบ Electronic
ที่ฟังง่ายขึ้นนั้นก็ได้รับความนิยมมากขึ้น
และขยายความนิยมไปถึงตามไนต์คลับต่างๆในสหรัฐอเมริกาด้วย
ต่อมาในปี 2005 อัลบั้ม Supernature ก็ได้กำหนดคลอด
พร้อมได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีเพลงเปิดตัวอย่าง Ooh La La
และซิงเกิ้ล Number 1 และ Ride A White Hourse

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.goldfrapp.com

ทะลุหูขวา (6): lyric: Fly Me Away

Fly Me Away

Drifting out of time
Something on your mind
And I wanna be the one that you call
When you get down
No matter where you are in the world
I'll be around

Fly me away on an Aeroplane
High in the sky
Wanna see you again
Wanna know this time,
Gonna tell you what I'm feeling
Gonna know this time,
Gonna get it back that feeling

Miles and miles of sun
Endless roads twist on
Don't wanna live a life
In a world that's all the same
The crazy little things
That you do are magical


This crazy life
This crazy world
We're living in is
Magical

ทะลุหูขวา (6): essay: Middleton’s Black&Mild

Middleton’s Black&Mild

หลายวันก่อน ผมมีโอกาสได้พบปะกับเพื่อนสองคน
หนึ่งคนมาจากกรุงเทพฯ อีกหนึ่งพำนักอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่นี้
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักหนา
ปกติเราก็รับประทานอาหารร่วมกันอยู่บ้าง
ตามจังหวะเวลาและโอกาส
บทสนทนาบนโต๊ะก็ไม่ผิดไปจากเดิมมากนัก
เรากิน จิบ พูดคุย บอกเล่าสิ่งที่เป็นมาและกำลังจะเป็นไป
ถกเถียง แลกเปลี่ยน หลายจังหวะไพล่ไปถึงการนินทาเพื่อนคนอื่นๆ
ที่ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารนั้น
น้ำสีองุ่นพร่องไปตามเวลาและการสนทนา ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมามวน
“ขอบ้าง” เพื่อนจากบางกอกเอ่ยปาก
“ขอด้วย” เพื่อนชาวเชียงใหม่พูดขึ้นบ้าง

ทั้งสองคนไม่ใช่คนสูบบุหรี่

วูบหนึ่ง หลังจากแจกจ่ายไปตามเสียงร้องขอ
ผมพลันเกิดความรู้สึก ‘เชื่อมโยง’ บางประการระหว่างเราทั้งสาม
ไม่น่าจะเกิดจากตัวบุหรี่
และโดยธรรมชาติของการทำกิจกรรมร่วมกันบนโลกมนุษย์นั้น
เรามักไม่นับการสูบบุหรี่ร่วมกันให้เป็นกิจกรรมหมู่ประเภท ‘เชื่อมโยง’ อยู่แล้ว

ไม่เหมือนเตะฟุตบอล ดื่มเหล้า ไปดูหนัง เต้นแอโรบิก และหรืออื่นๆ
คนที่สูบบุหรี่เป็นกิจวัตรย่อมน่าจะทราบดีว่า
แม้เรากำลังสูบบุหรี่ร่วมกับผู้อื่น
ก็ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังดำเนินกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับพวกเขาแต่อย่างใด

ความรู้สึก ‘เชื่อมโยง’ นั้นเกิดขึ้นจากไหน
.........

ในบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ตลบอบอวลอยู่ในโลกใบนี้
บางคนอาจมองเห็น ‘ความมหัศจรรย์’ จับจองตัวเองอยู่ในความอลม่านนั้น
การเจริญเติบโตของต้นไม้ จากเมล็ดเล็กๆ งอกเงยแตกกิ่ง
ผลิใบออกดอก บ้างให้ผลหลากสีหลายรส
ความหนักแน่นมั่นคงของขุนเขาที่เราเห็น
ความกว้างใหญ่ไพศาลของผืนทะเลทราย
ที่สะท้อนภาพเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา
การใช้ชีวิตของแมลงตัวน้อยที่บอบบางกว่าเศษกระดาษชำระ
แววตาซื่อสัตย์ของสัตว์เลี้ยง-ที่ไม่ใช่มีต่อตัวเรา

แต่หากมีต่อตัวมันเอง
สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในความปกติ

และมหัศจรรย์เกินกว่าจะจินตนาการด้วยเหตุผล

ผมโชคดีที่พอจะมองเห็นความมหัศจรรย์เหล่านั้น
และมันทำให้การมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ไม่น่าเบื่อเกินไปนัก

เมื่อความเบื่อหน่ายเปิดที่ให้ชีวิตได้มีโอกาสสัมผัสสิ่งอื่น
การมีชีวิตอยู่ก็เริ่มจะมีความหมายขึ้นบ้างอีกนิด
และการที่ชีวิตมีความหมาย เราก็จะสนิทสนมกับ ‘เวลา’ แนบแน่นขึ้น
แม้ว่าเราจะไม่เคยมองเห็น ‘เวลา’ เลยสักครั้ง

ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ เราจำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันบนโลกในนี้
และไม่ว่าจะอย่างไร เราจำเป็นต้องสื่อสารกับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์คนอื่นๆ
เพื่อการดำรงอยู่
มันเป็นช่วงเวลาของการป่วยไข้แล้วมีคนคอยดูแล
เป็นช่วงเวลาของการหิวโหยและได้กินอาหาร
เช่นเดียวกับเวลาที่พลัดหลงและพบทางออก
เป็นช่วงเวลาของความปีติดีใจและได้สวมกอด
เป็นการแพ้ฟุตบอลที่มีอีกหลายคนร่วมรู้สึกไปด้วยกัน
เป็นความเอื้ออาทร ที่ไม่ใช่ ‘บ้าน’ จากรัฐบาลจอมปลอม
แต่คือความหมายของการอยู่ร่วมกัน

บุหรี่ที่มวนขึ้นเองกับเพื่อนสามคนอาจหมายถึงสิ่งนี้

เป็นไปได้ว่ามีความมหัศจรรย์มากมายฟุ้งกระจายอยู่บนโลก
หรือแท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งบนโลกในนี้ล้วนคือความมหัศจรรย์ทั้งนั้น
รวมทั้งความปกติธรรมดาในชีวิต

ในภาพยนตร์เรื่อง Before Sunrise

ตัวละครหญิงชายพบกันบนรถไฟ
ตัดสินใจแวะลงเที่ยวด้วยกันในเมืองแปลกหน้าหนึ่งคืน
และแยกจากกันไปในเช้ารุ่งขึ้น
ใครสักคนหนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้นว่า
“ถ้าจะมีความมหัศจรรย์อยู่ในโลกใบนี้
มันต้องเป็นความมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจคนบางคน
ที่กำลังแบ่งปันบางสิ่งแน่ๆ มันอาจจะไม่เข้าใจหรอก
แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะคำตอบมันจะอยู่ในความมุ่งมั่นนั้นแหละ”


ผมอาจจะโชคดี ที่สูบบุหรี่เป็น มวนบุหรี่ได้
เป็นเพื่อนกับสองคนนั้น และพอจะรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ที่ว่า
มันคงเป็นความเดียวกับการที่เรารู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ร่วม ‘เวลา’ ไปกับเรา
ในท่ามกลางเวลาของชีวิตที่ทุกคนมีจำกัด
เป็นความเปราะบางของมนุษยชาติผู้เย่อหยิ่ง
เป็นการยอมรับข้อจำกัดเรียบง่าย ที่เราไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ถ้าความโหดร้ายสาหัสของมนุษยชาติ
คือการที่ใครสักคนสร้างเรามาให้เป็นหนึ่งหน่วยที่จำเป็นต้องพึ่งพิงหน่วยอื่น
การมีบางคนที่ว่านั้น ก็น่าจะเป็นของขวัญล้ำค่าที่มาคู่กัน
บางทีการมองเห็นสิ่งนี้ อาจคือความมหัศจรรย์ล้ำเลิศของชีวิต

หมายเหตุ ไม่น่าเชื่อว่า ‘การสูบบุหรี่’ ที่นับวันผู้สูบกำลังถูกสวมบทให้เป็นสัตว์ประหลาดน่ารังเกียจกว่าสิ่งมีชีวิตที่เชิดหน้าชูตาแต่เอารัดเอาเปรียบและคดโกง จะสามารถ ‘ก่อให้เกิด’ กระบวนการทบทวนความคิดให้กับผู้ที่ตั้งใจสูบอย่างจริงจังได้-มหัศจรรย์มาก!

Friday, November 2, 2007

ฟังไว้เพลินหัว


ตอนที่กลับมาจากปาย นั่งมากับรถตู้ขนของ
พวกแอมป์ และลำโพงที่ใช้จัดงานหู
ฟังเพลงมาตลอดทาง
จู่ๆ ลุงแก้ว (คนขับรถ) ก็ถูกโบกให้จอดหลบข้าง
กลางถนนมีกรวย ข้างถนนมีรถตู้จอดอยู่
มีเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว โผล่หน้ามาดู
ถามว่ามาจากไหน จะไปไหน ทำไมมาคนเดียว
ก็ตอบไปตามจริง

เขาถามต่อว่า จ่ายค่ารถเท่าไหร่
ก็ตอบไปตามจริงว่าไม่ได้จ่าย
เพราะติดรถขนเครื่องเขากลับมา
แล้วเขาก็ให้เจ้าหน้าที่คน
ที่เขาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมขนส่ง
ไปคุยกับลุงแก้ว

ตำรวจท่องเที่ยวบอกว่า
ได้รับแจ้งจากนักท่องเที่ยว ว่ามีรถตู้โก่งราคา
บางคันเรียกเงินจากฝรั่ง 700 บาท
นี่ใกล้เข้าฤดูท่องเที่ยวแล้ว
เดี๋ยวจะเสียชื่อประเทศชาติ
ซึ่งรถตู้แบบที่วิ่งรับคนนี้ ตามกฏถือว่าผิด เพราะว่าไม่ได้ตีทะเบียนรถรับจ้าง

เราบอกไปว่า น่าจะไปตรวจเกสต์เฮ้าส์และร้านเหล้าบ้าง
เพราะเห็นหน้าไฮทีไร ก็โก่งราคาขึ้นสุดตัวเหมือนกัน
แกก็ว่า ทำไม่ได้ เพราะติดขัดหลายอย่าง

กลับขึ้นรถมา ถามลุงแก้วว่า เกิดอะไรขึ้น
ลุงแก้วเล่าว่า โดนปรับไปสองพัน
ข้อหาติดตะแกรงบนหลังคารถโดยไม่ขออนุญาต
แกว่าเป็นการหาเรื่องปรับไปตามประสา
เพราะทะเบียนรถก็มี ผู้โดยสารที่เก็บเงินมาก็ไม่มี
จะปรับเป็นรถตู้เถื่อนก็ไม่ได้

ลุงแก้วบอกอีกว่าที่จริงแล้ว เป็นการว่าจ้างจากบริษัทเดินรถ
(ซึ่งเข้าใจว่าผูกขาดอยู่เจ้าเดียว)
เพื่อตัดทางทำมาหากินของบรรดารถตู้
หวังให้ทำมาหากินไม่ได้ คนก็จะไปขึ้นรถที่ให้บริการ
(จำชื่อบริษัทไม่ได้แล้ว แต่เข้าใจว่าลุงแก้วคงหมายถึงรถบัสโดยสารประจำทาง)

ไม่รู้จะเชื่อข้างไหน
ฟังไว้เพลินๆ หัว
และจบเรื่องเล่าเมืองปายแต่เพียงเท่านี้