Monday, December 18, 2006

ฝนตกปาย ปาย


ฝนตกปาย ปาย ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Nature Explorer
ฉบับเดือนสิงหาคม 2549 (ปก NEW ZEALAND)

เมื่อต้นเดือนกรกฎา ไปงานแต่งงานที่ปาย
อยู่ต่อเที่ยวเล่นอีกราวหนึ่งสัปดาห์
ได้ความและไม่ได้ความ...ดังนี้


ขอบคุณ Nature Explorer น้องหญิง พี่ชาติ GrooveYard และ BeBop


ฝนตกปาย ปาย
วชิรา

เรื่องและภาพ

บ่ายหนึ่งกลางแดดร้อนเปรี้ยงของเมืองเชียงใหม่ ผมบังเอิญได้ร่วมพบปะสังสรรค์สร้างวงเสวนาบนโต๊ะก๋วยเตี๋ยวหลอด (เจ้าเด็ด!) กับสมาชิกคุ้นหน้าคุ้นตาอีกสามท่าน ตามมารยาททั่วไปบนโต๊ะอาหาร เราต่างละเรื่องส่วนตัวไว้ไม่ไปข้องแวะสนใจ บทสนทนาต่อหน้าก๋วยเตี๋ยวหลอด (และปอเปี๊ยะสด ที่เสิร์ฟตามมาทีหลัง) จึงละเรื่อยไปกับลมฟ้าอากาศ ความเอร็ดอร่อยของรสอาหาร สถานการณ์บ้านเมือง จนถึงหน้าที่การงาน

“คนนี้กำลังจะลาออก” คนนั้นชี้ไปที่เพื่อนร่วมงานของตัว “ไปแต่งงาน”
คนถูกชี้ยิ้มเขิน
ผมไม่ได้เขินไปกับเธอ แต่นึกสงสัยว่า ‘ไปแต่งงาน’ ทำไมต้องลาออก
“อ๋อ จะไปอยู่ปายค่ะ” เธอเฉลย ยังคงยิ้ม แต่ไม่เขิน
น้ำเสียงหนักแน่นของเธอชวนให้ผมต้องเงยหน้าจ้องมองด้วยความหนักแน่นไม่แพ้กัน ก่อนรำพึงเบาๆ ผ่านซากเศษปอเปี๊ยะสดคาจานออกไปโดยไม่ได้ชั่งใจใดๆ (แต่เธอดันได้ยิน) ว่า “ชีวิตมันโรแมนติกอย่างนั้นเชียวหรือ”
.........

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เมืองเล็กๆ ในหุบเขาแห่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน (ที่ดูตามลักษณะทางภูมิศาสตร์แล้วน่าจะปิดตัว ‘เงียบเชียบ’ เช่นเดียวกับอีกหลายร้อยหลายพันตำบลอำเภอในประเทศนี้ที่ยังไม่มีใครรู้จัก) กลายเป็นเมืองยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครที่มีโอกาสสลัดคราบคนเมืองเพียงปีละครั้ง

ใครๆ ต่างก็หลงรักปาย

ด้วยองค์ประกอบครบครันของความโรแมนติก-แม่น้ำปายทอดตัวเป็นสายยาวไหลผ่านเกสต์เฮ้าส์ (ราคาพอรับได้) ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีรสนิยม รอบๆ มองเห็นภูเขาน้อยใหญ่โอบล้อม หรือถ้าอยากเปลี่ยนวิวทิวทัศน์ก็สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์รายวันขี่ออกไปชื่นชมธรรมชาติรอบนอกโดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงอึดใจ กลับเข้ามาในเมืองมีตลาดสดของชาวบ้านแท้ๆ ทั้งเย็นและเช้า หรืออาจเช่าจักรยานขี่เล่นชมบรรยากาศชีวิตชาวเมือง จอดแวะโน่นชมนี่ตามรายทาง เหนื่อยนักก็พักนั่งร้านกาแฟหรือบาร์เหล้าขนาดกำลังดีที่ทยอยเปิดตัวไว้เป็นอาณาเขตให้เพื่อนเก่าและใหม่ใช้ทำความรู้จัก (หรือสนใจสูบชิชาก็มีร้านเปิดให้บริการ) ยังไม่นับรวมบรรดาร้านขายของที่ระลึกเก๋ๆ ที่จำหน่ายสิ่งของน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มและโปสการ์ดสวยๆ ช่วยย้ำความทรงจำรสหวานที่บรรดานักท่องเที่ยวได้ลิ้มชิมแม้ในช่วงเวลาสั้นๆ

ยิ่งถ้าหลับตาจินตนาการถึงอากาศหนาวยะเยือกในช่วง ‘ไฮ’-ปลายฝน ต้นและกลางหนาว (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) เมื่อบรรยากาศรอบตัวปกคลุมไปด้วยไอหมอกไหลเรี่ยบนพื้น วันที่สำลักไอควันออกปากพร้อมคำขณะพูด ยิ่งชวนให้นึกตามได้แต่ภาพ ‘ยูโธเปีย’ ของนักท่องเที่ยว (หรือสวรรค์ของนักเดินทางเขตร้อน) อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ได้ยินว่าหลายคนหลายคู่ อพยพย้ายถิ่นฐานปักหลักอยู่อาศัยทำมาหากินที่เมืองปายก็ไม่น้อย

ราวทศวรรษครึ่งที่แล้ว ผมเคย ‘ผ่านทาง’ มาแถวนี้หนึ่งครั้ง และยังไม่มีโอกาสกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง อาจเป็นเพราะผมได้รับรู้เรื่องเมืองปายจากปากคำ (และปากกา) ของคนอื่นๆ อยู่บ่อยๆ (บ่อยกว่าเมืองอื่น) แทบทุกครั้งที่ฤดูหนาว (ว่ากันว่าถือกำเนิดอยู่ประมาณช่วงปลายของปี) ผ่านไป จะต้องมีคนเล่า (หรือเขียน) ถึงปายให้เข้าหู (และเข้าตา) อย่างน้อยหนึ่งคน (หรือหนึ่งครั้ง) เสมอ
และทุกคนคล้ายถูกโปรแกรมป้อนให้พูดซ้ำๆ คล้ายๆ กันว่า-พวกเขาหลงรักปาย
คนไกลปายอย่างผมจึงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ พยายามใช้ความสามารถในการจินตนาการเท่าที่มีอยู่จำกัดจำเขี่ยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จนกระทั่งได้พบว่าที่เจ้าสาว (เจ้าของรอยยิ้มเขินบนโต๊ะก๋วยเตี๋ยวหลอด) วันนั้น ผมจึงตื่นเต้นดีใจตกปากรับคำมาร่วมงานแต่งงาน และถือโอกาสกลับไปสัมผัสปายด้วยตาตัวเอง...ครั้งที่สอง

ปายเปลี่ยนไป!

เปล่า, ผมไม่ได้พูด คนอื่นพูด ผมจำอะไรไม่ได้
อย่างเดียวที่น่าจะพอยืนยันได้คือเมื่อสิบห้าปีก่อน สมัยที่ผมและเพื่อนๆ มายืนๆ นั่งๆ รอโบกรถอยู่แถวๆ สี่แยกเมืองปาย (เพื่อจะต่อไปยังเมืองสบป่อง) ที่นี่น่าจะยัง ‘ไม่มี’ ป้ายห้ามจอดรถวันคู่วันคี่และไฟจราจรเขียวเหลืองแดงลอยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางสี่แยกดังเช่นวันนี้ (หนำซ้ำยังมีตัวเลขดิจิตอลนับถอยหลังบอกเวลา ‘รอคอย’ แบบที่ชาวกรุงเทพมหานครพออกพอใจนักหนาอีกด้วย-ทันสมัยมาก!)
ผมพยายามทำความเข้าใจแต่ก็ไร้ผล ขนาดของไฟเขียวแดง ดูอย่างไรก็ไม่พอดีกับที่ที่มันอยู่

ปายวันนี้ฝนตก

สำหรับผู้ประกอบกิจการอาจไม่น่าพึงใจนัก เพราะเป็นช่วง ‘โลว์’ ที่นักท่องเที่ยวบางตาจนนับหัวได้ ยิ่งเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน ทางการประกาศว่าแม่น้ำปายเอ่อล้นกว่าปกติเนื่องจากมีฝนตกหนักในบริเวณพื้นที่ นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยก็รีบหอบข้าวหอบของอพยพย้ายหนี (จากปากคำของพี่คนขายพิซซาแถวหัวสะพาน)

เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อราวหนึ่งปีก่อน (สิงหาคม 2548) ยังประทับอยู่ในความรับรู้ของผู้คนทั้งนักท่องเที่ยว ชาวบ้าน และผู้ประกอบการ เมืองเล็กๆ ที่เคยเป็น ‘สวรรค์’ ของนักท่องเที่ยวจู่ๆ เกิดน้ำท่วมฉับพลัน โคลนถล่มทับเมือง ซุงท่อนโตจำนวนไม่น้อยลอยมากับน้ำกระแทกทำลายบ้านเรือน สร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินไปไม่น้อย

หลายคนเริ่มเกรง-กลัวปาย

ณ วันนี้ เกสต์เฮ้าส์บางแห่งที่เคยเป็นที่พำนักพักใจริมสายน้ำของนักท่องเที่ยว จำต้องงดให้บริการบ้านบางหลังที่ตั้งติดชิดแม่น้ำไว้ก่อน นัยว่าใช้เวลาปรับปรุงซ่อมแซมจากอุทกภัยน้ำเอ่อเมื่อต้นสัปดาห์ ทั้งยังเป็นการแสดงความเป็นห่วงเป็นไยต่อนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังอันตรายอันไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ (น้ำชอบมาตอนตีสองตีสาม-จากปากคำของคนดูแลเกสต์เฮ้าส์ริมน้ำ)

ขาประจำของปายหลายท่าน (ที่ร่วมขบวนไปงานแต่งงานด้วยกัน) ช่วยกรุณาพาผมไปเยี่ยมชม ‘ความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำ’ หลังเหตุการณ์ใหญ่ผ่านไปหนึ่งปี พาไปดูถนนขาด (ที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ ) พาไปเห็นซุงท่อนโตวางตัวสงบนิ่งอยู่บนตลิ่ง (เราสันนิษฐานกันเองว่าน่าจะลอยมากับสายน้ำเมื่อคราวก่อน-เรื่องตลกสุดเหวี่ยงคือหลังจากเหตุการณ์สงบ มีการประเมินความเสียหายจากเจ้าหน้าที่รัฐบางท่านโดย ‘กล่าวโทษ’ ชาวบ้านว่าเป็นผู้ตัดไม้ทำลายป่า บุกรุกทำไร่เลื่อนลอยจนเป็น ‘สาเหตุหลัก’ ทำให้น้ำท่วม!! ขณะที่ตัวแทนฝ่ายชาวบ้านให้ความเห็นว่า ชาวบ้านเป็นเพียง ‘ลูกจ้าง’ รับจ้างตัดไม้เพื่อนำมาใช้ปลูกสร้าง ‘รีสอร์ต’ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ของนายทุนเท่านั้น!!*) และที่สำคัญคือพาไปเห็นการเปลี่ยนขนาดและเส้นทางของแม่น้ำสายหลักของเมือง
“ธรรมชาติกำลังจะเรียกทุกอย่างคืน” หนึ่งในผู้ร่วมขบวนรำพึงเบาๆ (แต่ผมได้ยิน)

ถ้าย้อนเวลากลับไปแล้วมีคนบอกว่าปายจะน้ำท่วมใหญ่ รับรองไม่มีใครเชื่อ แต่ถึงวันนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ขอให้สังเกตดูว่าชาวบ้านๆ แท้ๆ นั้น ไม่มีใคร ‘ปลูกบ้าน’ อาศัยอยู่ใกล้น้ำขนาดนั้น (ไม่เหมือนเกสต์เฮ้าส์ที่เรียงรายติดน้ำอยู่ในขณะนี้) จะมีก็แต่การสร้างพื้นที่เกษตรทำกินเท่านั้น เพราะชาวบ้านต่างรู้ว่าแม่น้ำปายเป็นแม่น้ำร่องตื้น สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางการไหลได้ง่ายดาย (จากปากคำชาวปายที่ทำงานในเกสต์เฮาส์บนภูเขา)
มีแต่คนต่างถิ่นจากเมืองใหญ่ที่ต้องการอยู่ชิดติดน้ำขนาดนั้น

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะต้องการหรือไม่ก็ตาม-ไม่ใช่ความผิดของความเปลี่ยนแปลง

สำหรับคนที่ ‘ผ่านมา’ แล้วผ่านไป (อย่างผม) ความเปลี่ยนแปลงใดๆ อาจไม่มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากนัก แต่สำหรับคนที่ ‘อาศัย’ อยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะอยู่มานมนานหรือเพิ่งตัดสินใจย้ายมาลงหลักปักฐานก็ตาม, ผมไม่แน่ใจ
.........

เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือของผม (หลังจากที่ชาวคณะเดินทางกลับเชียงใหม่ไปแล้ว) ใช้ไปกับการนั่งอ่านหนังสือสลับดูฟ้าดูฝนที่หมั่นตกไม่รู้เหนื่อย เมื่อไหร่แดดออก (ร้อนเหงื่อหยด) ก็แวบเข้าร้านหนังสือมือสอง (ที่พบอยู่ 4 แห่งในเมือง) วันไหนตื่นเช้าฝนไม่ตกก็ออกไปเดินเล่นเห็นนักเรียนใส่เสื้อสีๆ (เข้าใจว่าวันนั้นคงมีวิชาพละ) เดินเป็นกลุ่มๆ ไปเข้าโรงเรียน (ปายวิทยาคม) บ่ายๆ หน่อย (ถ้าฝนไม่ตก) ก็ขี่รถไปด้อมๆ มองๆ โรงพยาบาลปายที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล พบเห็นชาวบ้านและชาวเขา (ทราบภายหลังว่าส่วนใหญ่เป็นชาวไทยใหญ่) นั่งเต็มท้ายรถกระบะมาเข้ารับการรักษา ค่ำๆ ก็นั่งหลบฝนใต้ชายคาปัดยุง (ตัวเท่าช้าง) ให้ช่วยไปหากินไกลๆ

ใครๆ ก็หลงรักสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี
ใครๆ จึงหลงรักปาย (หน้า ‘ไฮ’)

ความโรแมนติกจำเป็นต้องมีองค์ประกอบมากมาย หนึ่งในหลายนั้นคือความยินยอมพร้อมใจ ความรู้สึกหลงรัก, หลายครั้งจึงอิ่มเอมเมื่อเพียง ‘รู้สึกได้’ ว่าได้รับรักตอบ

เป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่เราหลงรักปาย ในวงเล็บอาจหมายถึงเราหลงรักเพียงบรรยากาศโรแมนติกของปาย
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราอาจจำเป็นต้องรู้ว่าเมืองกับชีวิตก็คล้ายกัน คือไม่ได้มีด้านเดียว
ปายวันนี้ฝนตก
และนักท่องเที่ยวบางคนก็ดูยิ้มแย้มไปกับมัน


*ตัดความจาก ‘น้ำท่วมปาย’ เซ็กชั่น จุดประกาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2548

Monday, December 11, 2006

FALL ON DEAF EARS: DECEMBER 2006



แจ้งข่าวงานปาร์ตี้ 'ฟังเพลง' ขนาดกระทัดรัด
ชื่อ FALL ON DEAF EARS
16 ธันวา ที่ร้านขันอาษา จ.เชียงใหม่ เริ่มแต่ 19.00 เป็นต้นไป
(หนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว หนแรกทุลักทุเลมาก แต่เห็นว่าสนุกสนานกันดี เลยจัดต่อ ต้องขอขอบคุณความเอื้อเฟื้อของร้านขันอาษามา ณ ที่นี้ด้วยเน้อ!)

อันที่จริง FALL ON DEAF EARS เป็นโปรเจกต์ใหม่แกะกล่องได้แรงบันดาลใจรวมๆ จากเมืองเชียงใหม่โดยเฉพาะ จากขนาดของเมือง และจากบรรยากาศของความสนใจในกิจกรรมดนตรีที่ไม่เหมือนเมืองไหน เราว่าคนที่อยู่ที่นี่ หรือคนที่เพิ่งมาจากที่อื่นอย่างเราคงรู้สึกได้
บวกความคิดพื้นๆ จากการได้ยินเพลงซ้ำๆ ตามสถานที่ต่างๆ เวลาที่ออกไปร่าเริงนอกบ้านเช่น i will survive, can't take my eyes of you, zombie ฯลฯ เพลงเหล่านี้ไม่ใช่ไม่ดีแต่เราคิดว่าโลกนี้มีเพลง 'อื่นๆ ' อีกมาก อย่างน้อยก็มากกว่าที่มีคนเปิดให้เราฟัง

จึงถือโอกาสลองเริ่มเอาเพลงที่เราฟังในชีวิตประจำวันมาแบ่งๆ กัน ซึ่งคงถูกหูบ้าง ไม่ถูกหูบ้าง แต่นั่นก็น่าจะดีเพราะอย่างน้อย คนฟังก็มีทางเลือกที่หลากหลายขึ้น และหวังไว้ในอนาคตว่า ต่อๆ ไปคงได้แลกเปลี่ยนเพลงกันฟัง
ถือเป็นการค่อยๆ เจริญเติบโตทางหูร่วมกัน

ปาร์ตี้เดือนละครั้ง (ถ้าเป็นไปได้) เป็นครึ่งเดียวของโปรเจกต์นี้เท่านั้น รอให้ทุกอย่างลงตัว คงได้แจ้งข่าวอีกครึ่งที่เหลือ แต่พอบอกได้ว่าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับขีดๆ เขียนๆในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง กับวงดนตรีที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของเขา ซึ่งจะว่าไป ทุกๆ คนก็คงมีเพลงและวงดนตรีที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน และงานศิลปะร่วมสมัยในโลกนี้ ล้วนส่งอิทธิพลถึงกันอย่างแยกไม่ออก(และคิดว่าคงไม่มีประโยชน์นัก ถ้าจะพยายามแยกมันออกจากกัน)

ฉะนั้นเลยคิดจับมารวมกันด้วยประการฉะนี้

ว่างๆ ก็มาฟังเพลงกันนะ

วชิรา

Tuesday, November 28, 2006

ตายอย่างสงบเถิดความงาม ข้าพเจ้าจะเดินทาง!

HIP ชวนเขียนเรื่องเดินทาง
เป็นคอลัมน์ชวนๆ กันหมุนเวียนมาเขียน
พอดีมีเรื่องนี้ค้างคาอยูในใจ ได้ระบายออกมาก็โล่ง

กับทดลองใช้สรรพนาม 'ข้าพเจ้า' แทน 'ผม' ...ก็สนุกดี
รู้สึกว่าเสียดสี <ตัวเอง> ได้สนุกปากขึ้น


ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับที่ 24 เดือนตุลาคม 2549


HIP GuestHouse
ตายอย่างสงบเถิดความงาม ข้าพเจ้าจะเดินทาง!
วชิรา

ข้าพเจ้านั่งรอการมาถึงของใครบางคนจากเมืองหลวง ชะโงกหน้าชมความงดงามยามเย็นของดอยสุเทพเป็นระยะๆ ก่อนท้องฟ้าจะค่อยๆ หรี่แสง สถานที่แห่งนี้คือร้านอาหารเลื่องชื่อ ส้มตำหมูเกลือที่เพิ่งสั่งไปเมื่อราวห้านาทีก่อนยังเดินทางมาไม่ถึงบนโต๊ะ เพื่อนผู้นี้ของข้าพเจ้าก็เช่นกัน

ข้าพเจ้าไม่ได้สั่งเขามาจากกรุงเทพฯ เขาออกจากบ้านมาตามความตั้งใจของตัวเอง โดยไม่มีใครรู้เหตุผล

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ที่การ ‘เดินทาง’ เกี่ยวดองกับการ ‘ท่องเที่ยว’ จนแทบกลายเป็นเนื้อเดียว (และบางเวลาเริ่มดองจนส่งกลิ่นเปรี้ยว!) รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อเราไม่พึงใจเรียกพนักงานขายของที่ต้องตระเวนขายไปตามจังหวัดต่างๆ ว่า ‘นักเดินทาง’ ไม่เรียกคนขับรถทัวร์ รถไฟ เรือ หรือเครื่องบิน ที่ตัวของเขาออกเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งบ่อยกว่าใครๆ ในโลกนี้ด้วยคำๆ นั้น-พวกเขาไป ‘ทำงาน’ ไม่ใช่ ‘เดินทาง’ เราคิด
นักเดินทางเป็นอย่างไรกัน-ข้าพเจ้าคิด

ใช่หรือไม่ที่พวกเขาสะพายเป้บนร่างกายภายใต้เสื้อผ้าซอมซ่อ ดื่มด่ำกับสุราหลากรส หลงใหลยาเสพติด (ชนิดดูด) หลับนอนในเกสต์เฮ้าส์ราคาถูก ขี่จักรยานหรือเช่ามอเตอร์ไซค์ออกไปที่โน่นที่นี่พบปะผู้คนถ้องถิ่น ถกเถียงแลกเปลี่ยนกับคนต่างถิ่นพวกเดียวกัน จาริกไปตามถนนหนทางที่ไม่ค่อยมีผู้คน แสวงหาความหมายบางอย่างระหว่างการเตร็ดเตร่อยู่นอกบ้าน บ้างตั้งความหวังว่าจะค้นพบ ‘ตัวเอง’ ที่หล่นหายไปจาก ‘ตัวเอง’ อีกทอดหนึ่ง (หล่นไปได้อย่างไรไม่มีใครทราบ)
เพียงเท่านั้นหรือ-ข้าพเจ้าสงสัย

ฉากหลังคือเทือกเขาเย็นหนาว ละอองไอพวยพุ่งออกจากปาก ตลาดยามเช้า ร้านกาแฟเก๋ๆ สิ่งก่อสร้างดึกดำบรรพ์ พระเดินบิณฑบาต เด็กๆ เล่นกระโดดยางใต้ต้นไม้ คุณยายขายผักผลไม้ ชายชราเข็นรถขายไอติม สายน้ำเอื่อยไหล (‘กลิ่นไออากาศเย็นของดอยสุเทพ’ ในย่อหน้าแรกนั้นก็ด้วย) ข้าพเจ้ายังคงสงสัย ความงดงามเหล่านั้นประกอบกันเป็นความหมายของการเดินทางใช่หรือไม่

จินตนาการไกลเลยไปยังประเทศตะวันออกกลางหรือสามเมืองทางใต้ สงครามยังกรุ่น สถานการณ์ยังไม่คลาย กับระเบิดถูกโปรยฝังลงบนผืนแผ่นดิน ไม่เลือกข้างฝ่ายทหารหรือประชาชน จินตนาการถึงแขนขากระเด็นกระดอนโดยไม่รู้ตัว เสียงกรีดร้องที่คนขับเครื่องบินไม่มีวันได้ยิน โรงเรียนถูกถล่ม ครูอาจารย์ถูกฆ่า ห้างสรรพสินค้าถูกวางระเบิด จุดหมายเหล่านี้ไม่เหมาะกับการเดินทางใช่หรือไม่

การเดินทางช่างลำเอียง เลือกฉายแต่ภาพสวยสดงดงาม

ราวสี่เดือนก่อน ข้าพเจ้าตั้งใจเก็บเสื้อผ้า จากบ้านเกิดย้ายเมืองมาหลับนอนยังจังหวัดเชียงใหม่ ตามแหล่งพำนักอาศัยที่พึงหาพึ่งพาได้ ‘ตัวเอง’ ของข้าพเจ้าไม่ได้หล่นหาย จึงไม่สบโอกาสให้ออกตามหา ข้าพเจ้าเพียงฉวยความเอื้ออำนวยในการใช้ชีวิตและคว้าโอกาสในการโยกย้ายถิ่นที่อยู่ก็เท่านั้น
การขับรถยนต์ส่วนตัวเป็นวิธีและพาหนะที่ข้าพเจ้าเลือกใช้

ราวปลายเดือนพฤษภาคม ข้าพเจ้าจึงได้โลดแล่นอยู่บนถนนหลวง เวลากว่าแปดชั่วโมงกับระยะทางราวเจ็ดร้อยกิโลเมตรทำให้ข้าพเจ้าค้นพบความเพลิดเพลินบนความอ่อนล้าจากการออกเดินทางในวันนั้น
และค้นพบโศกนาฏกรรมในคราวเดียวกัน

นานมาแล้ว ที่หน้าจอโทรทัศน์ ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงสะอื้นคร่ำครวญจากบางคนถึงการจากไปของแม่กวางในสารคดีชีวิตสัตว์ ภาพการพยายามหลบหนีหัวซุกหัวซุน จบลงที่ร่างไร้ชีวิตขณะถูกกรงเล็บเสือตะปบเข้าที่ซอกคอนั้นยังคงตราตรึง เจ้าของเสียงนั้นคร่ำครวญว่าแม่กวางช่างโชคร้าย ต้องตกเป็นเหยื่อแม่เสือ (ข้าพเจ้าสันนิษฐานเอาเองให้เป็นเพศเดียวกัน) และจบลงด้วยการตีโพยตีพายก่นด่าช่างกล้องผู้บันทึกภาพว่าน่าจะมีเมตตายื่นมือเข้าช่วยเหลือ

ถ้าช่วย แม่กวางอาจรอด-เธอว่า
ฝ่ายข้าพเจ้ารำพึงในใจว่าถ้าแม่กวางรอด แล้วแม่เสือตัวนั้นจะกินอะไร ไม่ช้าไม่นานแม่เสือ (และลูกเสือ) ย่อมต้องอดตาย
ชีวิตประกอบขึ้นด้วยความตาย-ข้าพเจ้าพยายามทำความเข้าใจความหมายนั้น

บนเส้นทางถนนหลวง มักปรากฏซากหมานอนตัวแข็งทื่อที่ฟากใดฟากหนึ่งของถนน บ้างมีฝูงแมลงวันกลุ้มรุมดื่มกิน บ้างศพยังหมาดๆ คราบเลือดยังไม่เหือด

หมาไม่ใช่กวางและคนไม่ใช่เสือ ขณะเดียวกันรถก็ไม่ใช่อาวุธ หมาจึงไม่ใช่อาหารและคนเราไม่มีความจำเป็นอันใดต้องขับรถชนหมาเพื่อล่าเนื้อมากิน ศพหมาตายตามรายทางจึงไม่คล้องจองกับเหตุการณ์แม่กวางแต่อย่างใด

แม้ข้าพเจ้าจะไม่รักหมาขนาดชักชวนกันนอนร่วมเตียง แต่ก็ไม่ค้นพบเหตุผลของการมีสิทธิ์ขับรถชนหมาตายบนโลกใบนี้

อุบัติเหตุ-คำวิเศษที่ช่วยให้ทุกอย่างมีทางออก
ป้องกันได้ ถ้าไม่ประมาท-ข้าพเจ้าโน้มเอียงไปทางวิธีนี้มากกว่า

ข้าพเจ้าไม่เห็นความจำเป็นต้องคร่าชีวิตผู้อื่น จึงพยายามเลี่ยงการฆาตกรรมหมู่หมาด้วยการเพิ่มความระมัดระวัง แต่ข้าพเจ้าอาจลืมไปว่าสิ่งสามารถ ‘เสีย’ ชีวิตบนถนนด้วยน้ำมือของมนุษย์หน้าโง่อย่างข้าพเจ้าใช่จะมีแต่หมา ยังมีแมลงต่างๆ นานาอีกนับชนิดไม่ถ้วน

และมีผีเสื้อ!

ช่วงรอยต่อจังหวัดกำแพงเพชรกับจังหวัดตาก และจากจังหวัดตากถึงจังหวัดลำปาง เป็นสถานที่เกิดเหตุ ข้าพเจ้าเดินทางมาอย่างเพลิดเพลินแต่อ่อนล้าและคร่ำเคร่งกับการพยายามไม่ชนหมา โดยไม่ทันสังเกตฝูงผีเสื้อโบกปีกโบยสะบัดผ่านหน้า เชื่องช้า แช่มช้อย ลวดลายสีเหลืองละลานตา

สัตว์น้อยแสนสวย สัญลักษณ์แห่งความฝันและจินตนาการหวามไหวถูกข้าพเจ้าปลิดชีพลงคาที่ ซากชีวิตติดกระจังหน้ารถไม่หลงเหลือความแช่มช้อย

ข้าพเจ้าเสียใจ-และรู้สึกราวกับเป็นนักดาบเลินเล่อที่ไม่ระวังคมดาบของตัวเอง
ในช่วงเวลาต่อจากนั้น ข้าพเจ้าคิดถึงการมีชีวิตโดยไม่เบียดเบียน คิดถึงการเดินทางที่จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อชีวิตอื่น
แต่ไม่พบคำตอบ

ฟ้ามืดแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถดื่มด่ำความงดงามของดอยสุเทพได้อีก แต่ก็เป็นเวลาที่ส้มตำหมูเกลือเดินทางมาถึงพอดี ทันทีที่ลิ้นลิ้มรสอร่อย ข้าพเจ้าอดคิดถึงหมูตัวที่ต้องเสียชีวิตและเสียงขูดข่วนบนผิวเนื้อมะละกอจนสลายกลายเป็นชิ้นฝอยไม่ได้

แม้ข้าพเจ้าจะไม่นิยมการคร่าชีวิต แต่การอยู่ต่อของข้าพเจ้าบนโลกใบนี้ก็จำต้องยืมมือผู้อื่น
ข้าพเจ้าไม่อาจไม่มีชีวิต ขณะเดียวกันก็ไม่อาจหยุดเดินทาง
ข้าพเจ้าจึงทำได้เพียงใคร่ครวญถึงความตายของฝูงผีเสื้อผ่านชิ้นเนื้อของชีวิตหมูและฝอยมะละกอที่จะช่วยยืดชีวิตของข้าพเจ้าออกไปได้อีกค่ำคืน

ขณะรอคอยการมาถึงของ ‘นักเดินทาง’ อีกผู้หนึ่ง

Sunday, November 19, 2006

download HIPPO 00-01


download HIPPO cover






HIPPO คือโครงการอบรมทำนิตยสารที่เชียงใหม่
โดยนิตยสาร HIP กับ กำลังก่อสร้าง
สนับสนุนโครงการโดย NOKIA

คัดเลือกนักศึกษา 6 คน ไม่เกี่ยงสถาบัน ไม่เกี่ยงประสบการณ์
มาทำงานร่วมกันหนึ่งเดือน
ผลิตออกมาเป็นนิตยสาร 16 หน้า <ไม่รวมปก>
ตีพิมพ์อยู่ใน HIP ฉบับเดือนพฤศจิกายน
มีวางแจกทั่วไปที่เชียงใหม่
แต่สำหรับคนที่หาไม่ได้ หรือชาวจังหวัดอื่น
ขอเชิญติดตามได้ที่นี่

; >
วชิรา

หมายเหตุ ตอนนี้ยังอ่านที่หน้าจอไม่ได้ ต้องดาวน์โหลดออกไปอ่านนะ

ย้ายที่

สวัสดี
เนื่องจากใช้ my space ไม่ค่อยสะดวก
จึงขอโยกย้ายถิ่นที่อยู่มาที่ใหม่นี้
พร้อมๆ กับย้ายงานบางชิ้นตามมาด้วย
ขณะนี้ยังไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่
แต่จะพยายามให้มาก
ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกันนะ

; >
วชิรา


hello test

hi