เป็นคอลัมน์ชวนๆ กันหมุนเวียนมาเขียน
พอดีมีเรื่องนี้ค้างคาอยูในใจ ได้ระบายออกมาก็โล่ง
กับทดลองใช้สรรพนาม 'ข้าพเจ้า' แทน 'ผม' ...ก็สนุกดี
รู้สึกว่าเสียดสี <ตัวเอง> ได้สนุกปากขึ้น
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับที่ 24 เดือนตุลาคม 2549
HIP GuestHouse
ตายอย่างสงบเถิดความงาม ข้าพเจ้าจะเดินทาง!
วชิรา
ข้าพเจ้านั่งรอการมาถึงของใครบางคนจากเมืองหลวง ชะโงกหน้าชมความงดงามยามเย็นของดอยสุเทพเป็นระยะๆ ก่อนท้องฟ้าจะค่อยๆ หรี่แสง สถานที่แห่งนี้คือร้านอาหารเลื่องชื่อ ส้มตำหมูเกลือที่เพิ่งสั่งไปเมื่อราวห้านาทีก่อนยังเดินทางมาไม่ถึงบนโต๊ะ เพื่อนผู้นี้ของข้าพเจ้าก็เช่นกัน
ข้าพเจ้าไม่ได้สั่งเขามาจากกรุงเทพฯ เขาออกจากบ้านมาตามความตั้งใจของตัวเอง โดยไม่มีใครรู้เหตุผล
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ที่การ ‘เดินทาง’ เกี่ยวดองกับการ ‘ท่องเที่ยว’ จนแทบกลายเป็นเนื้อเดียว (และบางเวลาเริ่มดองจนส่งกลิ่นเปรี้ยว!) รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อเราไม่พึงใจเรียกพนักงานขายของที่ต้องตระเวนขายไปตามจังหวัดต่างๆ ว่า ‘นักเดินทาง’ ไม่เรียกคนขับรถทัวร์ รถไฟ เรือ หรือเครื่องบิน ที่ตัวของเขาออกเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งบ่อยกว่าใครๆ ในโลกนี้ด้วยคำๆ นั้น-พวกเขาไป ‘ทำงาน’ ไม่ใช่ ‘เดินทาง’ เราคิด
นักเดินทางเป็นอย่างไรกัน-ข้าพเจ้าคิด
ใช่หรือไม่ที่พวกเขาสะพายเป้บนร่างกายภายใต้เสื้อผ้าซอมซ่อ ดื่มด่ำกับสุราหลากรส หลงใหลยาเสพติด (ชนิดดูด) หลับนอนในเกสต์เฮ้าส์ราคาถูก ขี่จักรยานหรือเช่ามอเตอร์ไซค์ออกไปที่โน่นที่นี่พบปะผู้คนถ้องถิ่น ถกเถียงแลกเปลี่ยนกับคนต่างถิ่นพวกเดียวกัน จาริกไปตามถนนหนทางที่ไม่ค่อยมีผู้คน แสวงหาความหมายบางอย่างระหว่างการเตร็ดเตร่อยู่นอกบ้าน บ้างตั้งความหวังว่าจะค้นพบ ‘ตัวเอง’ ที่หล่นหายไปจาก ‘ตัวเอง’ อีกทอดหนึ่ง (หล่นไปได้อย่างไรไม่มีใครทราบ)
เพียงเท่านั้นหรือ-ข้าพเจ้าสงสัย
ฉากหลังคือเทือกเขาเย็นหนาว ละอองไอพวยพุ่งออกจากปาก ตลาดยามเช้า ร้านกาแฟเก๋ๆ สิ่งก่อสร้างดึกดำบรรพ์ พระเดินบิณฑบาต เด็กๆ เล่นกระโดดยางใต้ต้นไม้ คุณยายขายผักผลไม้ ชายชราเข็นรถขายไอติม สายน้ำเอื่อยไหล (‘กลิ่นไออากาศเย็นของดอยสุเทพ’ ในย่อหน้าแรกนั้นก็ด้วย) ข้าพเจ้ายังคงสงสัย ความงดงามเหล่านั้นประกอบกันเป็นความหมายของการเดินทางใช่หรือไม่
จินตนาการไกลเลยไปยังประเทศตะวันออกกลางหรือสามเมืองทางใต้ สงครามยังกรุ่น สถานการณ์ยังไม่คลาย กับระเบิดถูกโปรยฝังลงบนผืนแผ่นดิน ไม่เลือกข้างฝ่ายทหารหรือประชาชน จินตนาการถึงแขนขากระเด็นกระดอนโดยไม่รู้ตัว เสียงกรีดร้องที่คนขับเครื่องบินไม่มีวันได้ยิน โรงเรียนถูกถล่ม ครูอาจารย์ถูกฆ่า ห้างสรรพสินค้าถูกวางระเบิด จุดหมายเหล่านี้ไม่เหมาะกับการเดินทางใช่หรือไม่
การเดินทางช่างลำเอียง เลือกฉายแต่ภาพสวยสดงดงาม
ราวสี่เดือนก่อน ข้าพเจ้าตั้งใจเก็บเสื้อผ้า จากบ้านเกิดย้ายเมืองมาหลับนอนยังจังหวัดเชียงใหม่ ตามแหล่งพำนักอาศัยที่พึงหาพึ่งพาได้ ‘ตัวเอง’ ของข้าพเจ้าไม่ได้หล่นหาย จึงไม่สบโอกาสให้ออกตามหา ข้าพเจ้าเพียงฉวยความเอื้ออำนวยในการใช้ชีวิตและคว้าโอกาสในการโยกย้ายถิ่นที่อยู่ก็เท่านั้น
การขับรถยนต์ส่วนตัวเป็นวิธีและพาหนะที่ข้าพเจ้าเลือกใช้
ราวปลายเดือนพฤษภาคม ข้าพเจ้าจึงได้โลดแล่นอยู่บนถนนหลวง เวลากว่าแปดชั่วโมงกับระยะทางราวเจ็ดร้อยกิโลเมตรทำให้ข้าพเจ้าค้นพบความเพลิดเพลินบนความอ่อนล้าจากการออกเดินทางในวันนั้น
และค้นพบโศกนาฏกรรมในคราวเดียวกัน
นานมาแล้ว ที่หน้าจอโทรทัศน์ ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงสะอื้นคร่ำครวญจากบางคนถึงการจากไปของแม่กวางในสารคดีชีวิตสัตว์ ภาพการพยายามหลบหนีหัวซุกหัวซุน จบลงที่ร่างไร้ชีวิตขณะถูกกรงเล็บเสือตะปบเข้าที่ซอกคอนั้นยังคงตราตรึง เจ้าของเสียงนั้นคร่ำครวญว่าแม่กวางช่างโชคร้าย ต้องตกเป็นเหยื่อแม่เสือ (ข้าพเจ้าสันนิษฐานเอาเองให้เป็นเพศเดียวกัน) และจบลงด้วยการตีโพยตีพายก่นด่าช่างกล้องผู้บันทึกภาพว่าน่าจะมีเมตตายื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ถ้าช่วย แม่กวางอาจรอด-เธอว่า
ฝ่ายข้าพเจ้ารำพึงในใจว่าถ้าแม่กวางรอด แล้วแม่เสือตัวนั้นจะกินอะไร ไม่ช้าไม่นานแม่เสือ (และลูกเสือ) ย่อมต้องอดตาย
ชีวิตประกอบขึ้นด้วยความตาย-ข้าพเจ้าพยายามทำความเข้าใจความหมายนั้น
บนเส้นทางถนนหลวง มักปรากฏซากหมานอนตัวแข็งทื่อที่ฟากใดฟากหนึ่งของถนน บ้างมีฝูงแมลงวันกลุ้มรุมดื่มกิน บ้างศพยังหมาดๆ คราบเลือดยังไม่เหือด
หมาไม่ใช่กวางและคนไม่ใช่เสือ ขณะเดียวกันรถก็ไม่ใช่อาวุธ หมาจึงไม่ใช่อาหารและคนเราไม่มีความจำเป็นอันใดต้องขับรถชนหมาเพื่อล่าเนื้อมากิน ศพหมาตายตามรายทางจึงไม่คล้องจองกับเหตุการณ์แม่กวางแต่อย่างใด
แม้ข้าพเจ้าจะไม่รักหมาขนาดชักชวนกันนอนร่วมเตียง แต่ก็ไม่ค้นพบเหตุผลของการมีสิทธิ์ขับรถชนหมาตายบนโลกใบนี้
อุบัติเหตุ-คำวิเศษที่ช่วยให้ทุกอย่างมีทางออก
ป้องกันได้ ถ้าไม่ประมาท-ข้าพเจ้าโน้มเอียงไปทางวิธีนี้มากกว่า
ข้าพเจ้าไม่เห็นความจำเป็นต้องคร่าชีวิตผู้อื่น จึงพยายามเลี่ยงการฆาตกรรมหมู่หมาด้วยการเพิ่มความระมัดระวัง แต่ข้าพเจ้าอาจลืมไปว่าสิ่งสามารถ ‘เสีย’ ชีวิตบนถนนด้วยน้ำมือของมนุษย์หน้าโง่อย่างข้าพเจ้าใช่จะมีแต่หมา ยังมีแมลงต่างๆ นานาอีกนับชนิดไม่ถ้วน
และมีผีเสื้อ!
ช่วงรอยต่อจังหวัดกำแพงเพชรกับจังหวัดตาก และจากจังหวัดตากถึงจังหวัดลำปาง เป็นสถานที่เกิดเหตุ ข้าพเจ้าเดินทางมาอย่างเพลิดเพลินแต่อ่อนล้าและคร่ำเคร่งกับการพยายามไม่ชนหมา โดยไม่ทันสังเกตฝูงผีเสื้อโบกปีกโบยสะบัดผ่านหน้า เชื่องช้า แช่มช้อย ลวดลายสีเหลืองละลานตา
สัตว์น้อยแสนสวย สัญลักษณ์แห่งความฝันและจินตนาการหวามไหวถูกข้าพเจ้าปลิดชีพลงคาที่ ซากชีวิตติดกระจังหน้ารถไม่หลงเหลือความแช่มช้อย
ข้าพเจ้าเสียใจ-และรู้สึกราวกับเป็นนักดาบเลินเล่อที่ไม่ระวังคมดาบของตัวเอง
ในช่วงเวลาต่อจากนั้น ข้าพเจ้าคิดถึงการมีชีวิตโดยไม่เบียดเบียน คิดถึงการเดินทางที่จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อชีวิตอื่น
แต่ไม่พบคำตอบ
ฟ้ามืดแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถดื่มด่ำความงดงามของดอยสุเทพได้อีก แต่ก็เป็นเวลาที่ส้มตำหมูเกลือเดินทางมาถึงพอดี ทันทีที่ลิ้นลิ้มรสอร่อย ข้าพเจ้าอดคิดถึงหมูตัวที่ต้องเสียชีวิตและเสียงขูดข่วนบนผิวเนื้อมะละกอจนสลายกลายเป็นชิ้นฝอยไม่ได้
แม้ข้าพเจ้าจะไม่นิยมการคร่าชีวิต แต่การอยู่ต่อของข้าพเจ้าบนโลกใบนี้ก็จำต้องยืมมือผู้อื่น
ข้าพเจ้าไม่อาจไม่มีชีวิต ขณะเดียวกันก็ไม่อาจหยุดเดินทาง
ข้าพเจ้าจึงทำได้เพียงใคร่ครวญถึงความตายของฝูงผีเสื้อผ่านชิ้นเนื้อของชีวิตหมูและฝอยมะละกอที่จะช่วยยืดชีวิตของข้าพเจ้าออกไปได้อีกค่ำคืน
ขณะรอคอยการมาถึงของ ‘นักเดินทาง’ อีกผู้หนึ่ง