Thursday, March 29, 2007

365 Ways: Become a protest singer


มีประเด็นในหนังสือ 365 ways ของเมื่อวันอังคารที่ 27 มีนาที่ผ่านมา...สนุกดี
เขาชักชวนให้ร้องเพลงเพื่อเสรีภาพหรือเพื่อประท้วง คัดค้าน บางสิ่งบางอย่าง
โดยมีรายชื่อเพลงตัวอย่างมาให้ดังนี้

เพลงเพื่อสันติภาพ
-Bob Marley & The Wailers 'War' (Rastaman Vibration, 1976)
-Faithless 'Mass Destruction' (No Roots, 2004)
-Bogie Down Production 'Stop the Violence' (By All Means Necessary, 1988)
-Curtis Mayfield 'We've got to have peace' (Roots, 1972)
-Spearhead 'Piece O'Peace' (Home, 1994)
-Basement Jaxx (featuring Yellowman) 'Love is the answer' (Peace Songs, 2004)

ส่วนอันนี้เป็นชุดต่อต้าน คัดค้าน
-Public Enemy 'Fight the Power' (Fear Of A Black Planrt, 1994)
-Levellers 'Liberty Song' (Levelling The Land, 1992)
-Johnny Cash 'I Shall not be Moved' (My mother's Hymn Book, 2004)
-Chumbawumba 'Enough is Enough' (Anarchy, 1998)
-The Pogues 'Streets of Sorrow/Birmingham Six' (If I Should Fall From Grace With God, 1987)
-Jimmy Cliff 'Viet nam' (Wonderful World, Beautiful People, 1970)

มีรู้จักจริงๆ อยู่ไม่กี่เพลง ที่เหลือรู้จักไม่จริงและไม่รู้จัก
คงต้องไปลองหามาฟัง (เผื่อจะได้เอามาเปิดในงาน)
หนังสือชวนว่าให้โหลดลง iPod (แนะขนาดนั้น!) แล้วหาแรงบันดาลใจจากเพลงเหล่านั้น
หรือถ้านึกสนุกจะเขียนเพลงหรือบทกวีก็สามารถเอาไปแปะไว้ในเว็บไซต์ได้

ถ้าเป็นเพลงเพื่อสันติภาพแปะที่นี่ www.365act.com
เพลงต่อต้านสงคราม แปะที่นี่ www.lacarte.org/songs/anti-war/index/html
หรือเพลงเพื่อสันติภาพ (อีกครั้ง) แปะที่นี่ www.newsongsforpeace.org
และ www.songs4peace.com

น่าสังเกตว่าไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน เพลงมีบทบาทสำคัญมนุษย์โลกเสมอ
คงจะมีแต่เนื้อหาเท่านั้นที่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปตามเวลา
'เพลงเพื่อชีวิต' อาจไม่ได้สูญหายไปกับสถานการณ์บ้านเมือง
แต่กลายรูปไปเป็นอย่างอื่น

หมายเหตุ
รูปที่แปะไว้นี้นั้นคือรูปคุณลุงบ๊อบ ดีแลน (ที่ไม่เกี่ยวกับคนในรายชื่อแต่อย่างใด!)
อยากลงรูปแก ตอนที่ค้นใน google ก็เจอหลายรูป แต่อันนี้ตลกดี
เอามาจากเว็บ http://www.brickshelf.com/
มีนักร้องนักแสดงหลายๆ คน หลายๆ วง ถูกเอามาทำเป็นตุ๊กตาเลโก้แบบนี้
ลองเข้าไปเล่นดู

Sunday, March 25, 2007

365 ways to change the world



มีหนังสือเล่มนึงอยากชวนอ่าน
ชื่อ 365 ways to change the world โดย Michael Norton
เป็นคล้ายไดอารี่สนุกๆ แต่จริงจัง เนื้อหาโดยรวมก็เหมือนชื่อเล่มคือเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร

ซื้อมาเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตัวเอง จากที่เมื่อก่อนซื้อแต่ This Diary will Change your life (เล่มนี้ก็ดีนะ เขาจะคอยบอกให้ว่าวันนี้ทำอะไร น่าสนใจตรงที่สามารถหามุมต่างๆ มาให้เรามองได้บ้าๆ บอๆ แบบสุดโต่ง ซึ่งคงทำตามจริงๆ ไม่ได้ทุกอันหรอก แต่ในแง่ของ 'มุมมอง' ที่ต่างออกไปจากชีวิตเดิมๆ ก็ถือว่าสนุกดี และคงเป็นปัญหาเดียวกันทั้งโลกไม่ว่าฝรั่งหรือไทย คือช่วงหลังๆ เริ่มซ้ำๆ วนๆ ไม่สดชื่นเท่าเล่มปีแรกๆ) ปีนี้เลยมาอ่านเล่มนี้ด้วย
เนื้อหาก็แบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ทั้งหมดครอบคลุมอยู่ในมิติของการเปลี่ยนแปลงให้กับโลก ในทิศทางที่เขาเชื่อว่าน่าจะดีขึ้น

อย่างเมื่อวาน (มีนา 24) ก็เป็นเรื่อง fairtrade chocolate ในกาน่า คร่าวๆ ก็คือว่ากาน่าเป็นประเทศที่มีเคยมีผลผลิตโกโก้เป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ปัญหาก็คือว่าเกษตรกรได้รับผลส่วนแบ่งการผลิตจากหน่วยงานจัดซื้อของรัฐน้อย จึงทำให้เกิดวิกฤตในเวลาต่อมาก็เลยมีองค์การการค้าที่ผดุงความยุติธรรมเกิดขึ้น สร้างยี่ห้อช็อกโกแล็ตขึ้นมาและเขาก็ให้เราช่วยๆ กันเป็นสายสืบว่าในท้องถิ่นของเรานั้นมีช็อกโกแล็ตยี่ห้อนี่วางขายอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ช่วยกันพยายามทำให้มี อะไรทำนองนั้นเพราะเขาบอกว่า ถ้าซื้อช็อกโกแล็ตยี่ห้อนี้ก็เท่ากับช่วยเกษตรกรโกโก้ที่กาน่านั่นเอง

แม้จะเป็นการฟังความข้างเดียว (เพราะเราไม่ได้ฟังจากฝ่ายรัฐบาลกาน่าเลย) และแม้เรื่องนี้จะโยงไยไปถึงการดำเนินการทางธุรกิจ บางคนก็สงสัยว่านี่เป็นเพียงการสร้างธุรกิจ 'สีเขียว' ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน แต่การได้รับรู้เรื่องวิกฤตของเกษตรกรโกโก้ในกาน่าก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ ส่วนใครจะไปติดตามต่อเนื่อง สืบหาค้นคว้า ก็ยิ่งดีใหญ่ และอาจจะทำให้การซื้อช็อกโกแล็ตครั้งต่อไปของหลายๆ คนอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็ได้

ส่วนวันนี้ (มีนา 25) เป็นเรื่องสวนสัตว์ เขาอยากให้เราช่วยๆ กันจับตาดูว่าสวนสัตว์ในแต่ละท้องถิ่นของเรานั้นดูแลและจัดการกับสัตว์ดีพอหรือไม่ ถ้าไม่ดีก็ให้ถ่ายรูปไว้แลัวส่งไปที่เว็บไซต์ จากนั้นก็จะมีคนดำเนินการต่อ(เดี๋ยวว่ากลับขึ้นไปเชียงใหม่ จะเริ่มต้นที่ไนต์ซาฟารีก่อน!!)

ทุกๆ เรื่องในหนังสือนี้มีเว็บไซต์ให้เสมอ มันเลยไม่จบอยู่แค่ในกระดาษ!

บางทีเราอาจต้องช่วยกันเพลาๆ วิธีมัดใจชาย พิชิตใจหญิง กันลงบ้าง (ไม่ต้องเลิกนะ แค่เพลาๆ ก็พอ!) และเพิ่มสัดส่วนของการดูแลใส่ใจโลกและคนอื่นในชีวิตเราให้มากขึ้น
เพราะถ้าโลกร้อนขนาดนี้ เกิดภัยธรรมชาติมากมายขนาดนี้ อากาศแย่ขนาดนี้ต่อไปจะไปโรแมนติกกันที่ไหนหรือ?

ข้างหลังหนังสือเขียนว่า
This world could be a lot better, right?
Something needs to be done by someone-anyone.
Why not you?

หมายเหตุ
1 ถ้าหาซื้อไม่ได้ ลองเข้าไปดูเล่นที่นี่ก่อนก็ได้ (แต่คนละเนื้อหานะ)
www.365act.com
2 สำหรับคนที่สนใจเรื่องช็อกโกแล็ต
www.dubble.co.uk
www.divinechocolate.com
3 สำหรับคนที่สนใจเรื่องสวนสัตว์
www.bornfree.org.uk

Sunday, March 18, 2007

ใครขโมยภูเขาของเขาไป?



1
ช่วงสองสัปดาห์ก่อน เวลาไปไหนมาไหนเห็นคนใส่ผ้าปิดปากปิดจมูกกันทั่วเมืองเชียงใหม่ มลพิษหมอกควันทางอากาศทำให้แสบตา หายใจขัดบทสนทนาทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ "เออ เออ...เดี๋ยวค่อยคุยกัน พี่ขี่จักรยานตามหาดอยสุเทพอยู่..."
หรือ "เฮ้อ...เดี่ยวเย็นนี้ว่าจะขับรถออกไปข้างนอกหน่อย
ไม่รู้ใครขโมยภูเขาของ เราไป..."

ฟังดูเหมือนมุขตลกไปตามสถานการณ์บนพื้นฐานอารมณ์ขันแต่เอาเข้าจริงมันไม่ตลกเท่าไหร่นัก การหายไปของภูเขา (ของพวกเขา) 'เป็นเรื่อง' มากกว่าปกติธรรมดา

2
รู้กันทั่วว่าควันที่คลุมเมืองอยู่ตอนนี้มีที่มาจากไฟป่า
แต่ที่ไม่รู้คือถ้าควันมากมายขนาดทำให้ภูเขาเลือนหายไปได้ทั้งลูก
ปริมาณของป่าที่ถูกเผาเสียหายไปจะมากมายขนาดไหน

บทความพิเศษชื่อ เชียงใหม่: เมืองในหมอกควัน เขียนโดยธเนศวร์ เจริญเมือง
ใน 'พลเมืองเหนือรายสัปดาห์' บอกว่า กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ปรากฏการณ์นี้
คือผลผวงของการกระทำสองระดับบนโลก คือ

หนึ่ง ภาวะโลกร้อนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านดินฟ้าอากาศมากมายในแทบทุกประเทศ หิมะละลาย พายุรุนแรง ภัยหนาวจัด อากาศอุ่นเร็วผิดปกติ ฝนตกน้ำท่วม ฯลฯ

สอง คือระดับท้องถิ่นเชียงใหม่เอง การเผาป่า เผาใบไม้ กิ่งไม้และขยะ อาหาร
ปิ้งย่าง การจุดประทัดปล่อยโคม พลุไฟ งานเผาศพกลางแจ้ง การไม่ดับเครื่องรถยนต์ ฯลฯ

มองเผินๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ทั่วไป บางเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าจะสนใจหรือบางเรื่องอาจดูว่าไกลตัวเกินไป
แต่ในความเป็นจริง ไฟป่ากลับไม่ใช่ลำพังเรื่องของคนในป่าอีกต่อไป
ไฟป่า ถ้าไม่เกิดขึ้นเองก็คงต้องมีคนทำถ้าเกิดขึ้นเอง ก็น่าจะมีวิธีป้องกัน หรือควบคุมไม่ให้ลุกลามใหญ่โต (ฟังดูไม่น่าจะยากกว่าการโกงสนามบินหรือส่งดาวเทียมไปโคจรนอกโลก)ถ้าคนทำให้เกิด ก็น่าจะมีวิธีให้ความรู้แนะนำ จัดการ และอำนวยความเข้าใจ(เราอำนวยกันแต่ 'ความสะดวก' กันมาพอแล้วมั้ง?)

ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่น่าจะเป็นภาระของใครคนใดคนหนึ่งแต่ต้องช่วยกัน
และรอช้าไม่ได้
เริ่มจากกิจวัตรประจำวัน เริ่มจากพยายามใช้ถุงพลาสติกให้น้อยลงก่อนก็ได้
เวลาไปซื้อของก็พยายามพกถุงผ้าไปด้วยใครที่สะพายกระเป๋าอยู่แล้ว
ก็ไม่ต้องใส่ถุงพลาสติกซ้ำอีก หรือถ้าจำเป็นจริงๆ
ก็พยายามใส่รวมๆ ในถุงเดียวกันจะดีกว่า

3
อ่านเจอใน way ของคุณพี่อธิคม ฉบับล่าสุด (ฉบับที่ 6 ปกเฉียบขาดมาก!)
ว่า IKEA-สินค้าแต่งบ้านจากสวีเดน (ลือกันมานานแล้วว่ากำลังจะเข้ามาบ้านเรา)
ออกมาประกาศว่าจะเริ่มเก็บเงินค่าถุงพลาสติกในละ 5 เซนต์ ใน 29 สาขาทั่วสหรัฐ เขาชี้แจงว่าเงินค่าถุงที่เก็บมานี้จะนำเอาไปสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปปลูกต้นไม้ ฟื้นฟูป่าและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะปีที่แล้ว สาขาของ IKEA ในสหรัฐใช้ถุงพลาสติกไปถึง 70 ล้านใบ

แม้ความพยายามลดการใช้ถุงนี้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับเมื่อปี 48 ที่คนอเมริกันร่วมกันทิ้งถุง บรรจุภัณฑ์ หรือหีบห่อต่างๆกว่า 4.4 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 5.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีการรีไซเคิล

แต่ก็ถือว่าเป็นความพยายามที่ดี

4
วันนี้เชียงใหม่ยังแสบตาและหายใจขัดอยู่
น่าเห็นใจคนที่ต้องทำงานนอกอาคารอย่างไม่มีทางเลี่ยง
ภูเขาของพวกเขาไม่ได้หายไปไหนแต่อยู่ตรงนั้น ตรงที่ไม่มีใครมองเห็น
ถ้าจะมีใครขโมยภูเขาของเขาไปจริงๆ
ก็อาจเป็นทั้งเขาและเรานั่นเอง


ขอบคุณ พลเมืองเหนือรายสัปดาห์ www.northerncitizen.org
และนิตยสาร way

Saturday, March 10, 2007

FALL ON DEAF EARS: MARCH 2007


สวัสดี
เดือนนี้แปะข่าวช้ากว่าปกติ ต้องขออภัย
เข้าใจแล้วว่าการลืมที่ชาร์ตแบตคอมพิวเตอร์ไว้กรุงเทพฯ
ขณะที่ตัวต้องใช้คอมฯ ทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่นั้นสาหัสเพียงใด

ส่งข่าวตามเคย
กิจกรรม 'ฟังเพลง' ประจำเดือนมีนา...ครั้งที่ห้า
คราวนี้จัดวันที่ 14 มีนา 2550 (วันวาเลนไทน์)
ที่เดิม-ร้านขันอาษา จังหวัดเชียงใหม่ใครสนใจก็ขอเชิญ

มีคนเล่าให้ฟังว่า วันที่ 14 มีนา เป็น WHITE VALENTINE'S
ของชาวญี่ปุ่น คล้ายๆ ว่าวันที่ 14 กุมภา นั้นผู้หญิงให้ช็อกโกแล็ตผู้ชาย
ผู้ชายก็มีเวลาหนึ่งเดือนที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ
ถ้าตอบรับก็ต้องให้ช็อกโกแล็ตกลับคืนในวันที่ 14 มีนานี้เอง
(ไม่รู้ว่าวันนี้ผู้หญิงต้องให้ดอกไม้กลับคืนผู้ชายที่ให้ดอกไม้ตัวเอง
ในวันที่ 14 กุมภาด้วยหรือเปล่า)
ถ้าจริง...ก็น่าจะดี เหมือนมีโอกาสและเวลาให้ตรึกตรอง

แต่พอถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง
เขาก็บอกว่าที่จริงเป็นกลอุบายของบริษัทขนม
ที่ต้องการให้คนซื้อของมากขึ้นแทนที่จะต้องกระหน่ำซื้อกันปีละหนึ่งครั้ง
ถ้าทำสำเร็จก็จะกลายเป็นปีละสองครั้ง
ถามย้ำหลายที เพื่อนคนเดิมก็ยืนยันว่าจริง ไม่ได้อำ
ก็ว่ากันไป ใครสนใจจริงจังคงต้องไปค้นคว้าดู
แต่การจัดวันที่ 14 ครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย
เป็นความบังเอิญที่พอดี

Fall On DVD เดือนนี้ฉายหนังสารคดีของ BLUR
ชื่อ STARSHAPED กำกับโดยคุณ Matthew Longfellow
เริ่มหนึ่งทุ่มตรง
ใครเป็นแฟนๆ พี่ๆ เขาก็มาดูลีลาเด็ดขาดอาละวาดโวยวาย
ได้ตามอัธยาศัย
หนำใจแล้ว สามทุ่มก็ค่อยเริ่ม 'ฟังเพลง' ด้วยกัน...

โปสเตอร์/ใบปลิว เดือนนี้ได้รับความกรุณาจากพี่มอ
(ไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์) ที่อนุญาตให้ถ่ายรูปผนัง (ก่อนขึ้นชั้นสอง)
ของร้าน MO SHOP มาใช้เป็นแบบ
MO SHOP เป็น...อืมม...ไม่รู้จะเรียกอะไรดี...ร้านขายของ
แกลเลอรี่ สตูดิโอ อยู่ที่เชียงใหม่ ใกล้ๆ สะพานนวรัตน์
(ชั้นสามใช้ทำงานภาพพิมพ์ได้) เป็นที่ที่พี่มอดูแล ออกแบบ
ตกแต่ง และคัดเลือกผลงานของศิลปิน นักออกแบบหลายๆ คน
มาอยู่รวมกัน น่าสนใจเชียวโดยเฉพาะความรู้สึกกับของที่ไม่น่ามาอยู่ด้วยกัน
แต่ก็อยู่รวมกันได้ที่นี่

ที่จริง MO SHOP เป็นส่วนหนึ่งของ MO HOTEL
ที่พี่มอออกแบบและตกแต่งเช่นกัน แต่ยังไม่แล้วเสร็จ
(กำลังก่อสร้างอยู่ ",)
เราเพิ่งเขียนเรื่อง MO SHOP ให้ IMAGE
น่าจะออกมาราวๆ ปลายเดือนมีนารออ่านเพิ่มเติมในนั้นก็ได้
หรือจะรออ่านในบล็อกนี้ก็ได้เช่นกัน

เอาล่ะ จนกว่าจะพบกันใหม่...

------------------------------------------------------
5
Fall On Deaf Ears
by vajira

Music-Listening Party.
Dine, Drink and Drown yourself in a variety of fine tunes.
At Khan-Asa, Chiang Mai
Wednesday 14 March 2007/21.00-00.00

Dive in and see what is going on...

Fall On DVD: STARSHAPED:
a fascinating rockumentary about the early days of BLUR.
directed by Matthew Longfellow/19.00-21.00

produced by กำลังก่อสร้าง & HIP

------------------------------------------------------
“One must talk little and listen much”
African Proverb

MARCH MAP

แผนที่ของเดือนนี้
ที่จริงพิกัดก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอก
แต่อยากทำให้มันเป็นชุดเดียวกันกับโปสเตอร์น่ะ
^^

Thursday, March 8, 2007

ONE HUNDRED YEARS MISIEM YIPINTSOI




เมื่อหลายวันก่อนไปดูนิทรรศการของคุณมีเซียม ยิบอินซอยที่ about cafe
คุณมีเซียมเป็นคนทำงานที่น่าสนใจมาก
เพราะเริ่มหัดเรียนศิลปะเมื่ออายุล่วงเข้าสี่สิบสอง
แต่ใช้เวลาไม่นานกลับมีงานออกมามากมายทั้งวาด ทั้งปั้น
และเป็นที่ชื่นชมในวงกว้าง
เธอทำงานศิลปะไปตลอดวาระสุดท้ายของชีวิต
ในหนังสือ Misiem's SCULPTURE GARDEN เธอเขียนไว้ในอารัมภบทว่า
"เมื่อดิฉันเริ่มเขียนภาพ ดิฉันเขียนเพราะอยากจะมีภาพประดับผนังบ้านตัวเอง..."

ถ่ายรูปมาให้ดูพอเพลินๆ
ใครที่อยู่หรือกำลังจะมากรุงเทพฯ
ถ้ามีโอกาสไปชมด้วยตนเองน่าจะเพลินกว่า
เข้าใจว่าจะจัดแสดงไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนโน่น

Tuesday, March 6, 2007

A Hutong after snow


life is like a circle
and someday
if we travel in an opposite directions
on the circle
then may be one day
we shall meet again...till then
...if it would have been another time, another place
it would have been more...
it would have been wonderful.