ทะลุหูขวา
text and artwork by วชิรา
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนมิถุนายน 2550
Special thanks to NOKIA 5700 XpressMusic
SEAN LENNON
เป็นบุตรชายของ John Lennon และ Yoko Ono
ว่ากันว่าเขามีชื่อเสียงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
และเป็นธรรมดาของบรรดาลูกหลานของคนมีชื่อเสียงทั้งหลาย
ที่ต้องรับแรงกดดันที่มองไม่เห็น
โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินร่วมเส้นทางเดียวกันกับบิดามารดา
ในโลกดนตรี Sean เลือกที่จะวางตัวเองไว้ระหว่าง
ดนตรีป็อปและดนตรีทดลอง (experimental)
คล้ายๆ กับ Beastie Boy, Beck หรือ Cibo Matto (ญี่ปุ่น)
ที่เดินล่วงหน้าอยู่ก่อน
Sean เริ่มชีวิตนักดนตรีจริงจังด้วยการผลักดัน Yoko ผู้เป็นแม่
ให้กลับคืนสู่เวทีอีกครั้ง เขาตั้งวงดนตรีร็อคสามชิ้นขึ้นมาสนับสนุน
ในชื่อ IMA ช่วงนั้นเองที่เขาได้พบกับ Yuka Honda
แห่ง Cibo Matto และตระเวณออกทัวร์กับ Cibo Matto
ในฐานะมือเบสและคนรัก (ในขณะนั้น) ของ Yuka
(ถ้าดูเครดิตในอัลบั้ม แดดส่อง ของ moderndog
ก็จะพบชื่อ Yuka Honda ด้วยเช่นกัน)
Sean ออกอัลบั้มแรก Into the Sun ในปี 1998
ก่อนหน้านั้นไม่นานเขาได้สัมภาษณ์กับ The New Yorker ว่า
พ่อของเขาถูกฆาตกรรมโดยรัฐบาลอเมริกัน!
บทสัมภาษณ์นั้นทำให้เขาถูกจับตามองมากกว่าธรรมดา
แปดปีต่อมา อัลบั้ม Friendly Fire ก็ปรากฏสู่สายตาประชาชน
Sean อธิบายว่าเพลงทั้งหมดได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตส่วนตัวของเขา
เป็นความหายนะที่โรแมนติก
เมื่อคนรักของเขา (ไม่ใช่ Yuka!) หลับนอนกับเพื่อนรักของตัวเอง
ทั้งคู่เลิกรากัน
เพื่อนรักคนนั้นเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมอร์เตอร์ไซค์
ก่อนที่ Sean จะมีโอกาสเปิดอกในเรื่องนี้
และเป็นที่มาของชื่อ Friendly Fire
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.seanlennon.com
(LYRIC)
PARACHUTE
LOVE IS LIKE AN AERO PLANE
YOU JUMP AND THEN YOU PRAY
THE LUCKY ONES REMAIN
IN THE CLOUDS FOR DAYS
IF LIFE IS JUST A STAGE
LET’S PUT ON THE BEST SHOW
AND LET EVERYONE KNOW
CAUSE IF I HAVE TO DIE TONIGHT
I'D RATHER BE WITH YOU
CUT THE PARACHUTE BEFORE WE DIVE
BABY DON’T YOU CRY
YOU HAVE TO BRING ME DOWN
WE HAD SOME FUN BEFORE WE HIT THE GROUND
LOVE IS LIKE A HURRICANE
YOU KNOW IT’S ON THE WAY
YOU THINK YOU CAN BE BRAVE
UNDERNEATH THE WAVES
IF LIFE IS JUST A DREAM
WHICH ONE OF US IS DREAMING
AND WHO WILL WAKE UP SCREAMING
CAUSE IF I HAVE TO DIE TONIGHT
I'D RATHER BE WITH YOU
CUT THE PARACHUTE BEFORE WE DIVE
BABY DON’T YOU CRY
YOU HAVE TO BRING ME DOWN
WE HAD SOME FUN BEFORE WE HIT THE GROUND
CAUSE IF I HAVE TO DIE TONIGHT
I'D RATHER IT WAS YOU
CUT THE PARACHUTE BEFORE THE DIVE
BABY DON’T YOU CRY YOU HAVE TO BRING ME DOWN
WE HAD SOME FUN BEFORE WE HIT THE GROUND
(ESSAY)
ผมยังไม่เคยร่วงลงจากที่สูง
(ในความหมายของสถานที่ที่อยู่สูงจริงๆ ไม่ใช่ในเชิงปรัชญา)
แต่พอเข้าใจได้ว่าภาวะของการอยู่ไกลเหนือพื้นดินนั้นไม่น่าพิศมัยนัก
โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคหวาดกลัวความสูง
ยิ่งถ้ามีเหตุจำเป็นบังคับให้ต้องแขวนชีวิตอยู่บนนั้น
แต่จะว่าไป ที่จริงเราอาจไม่ได้หวาดกลัว ‘ความสูง’
แต่กลัวการ ‘ร่วง’ ลงมาต่างหาก
เพราะถ้ามีใครสักคนอุตริรับประกันการหล่นให้เราได้
ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ อีกที่จะต้องกลัว
ไม่ร่วง ไม่ตก ไม่เจ็บ
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามนุษย์เรานั้นกลัว ‘ความเจ็บ’ มากกว่าอื่นใดทั้งหมด
น่าเสียดายที่ไม่เคยมีโอกาสถามไถ่ บรรดาคนที่มีเหตุให้ต้องร่วงลงมา
จากที่สูงโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือประคับประคอง
ว่าระหว่างทางก่อนถึงพื้นดินนั้นเกิดอะไรขึ้นในความคิดของพวกเขาบ้าง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาเหล่านั้นล้วนไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงใดๆ
ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ร่วงหล่น และ ดับไป ภายในเวลาพริบตา
ไม่มีโอกาสแก้ตัว
........
ในบรรดาทุกๆ ‘ความ’ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
ความรักน่าจะเป็นเรื่องยอดนิยมมากที่สุด
แม้ว่าความหิวและความอิ่มจะเป็นสาระสำคัญอันดับต้นๆ
ของการมีชีวิตอยู่ก็ตามที
เราส่วนใหญ่จึงก้มหน้าก้มตาทำมาหากินให้ท้องอิ่ม
เพื่อที่จะใช้เวลาส่วนที่เหลือจินตนาการถึงความรักในแบบที่เราต้องการ
(ยกเว้นบางคนที่โลภกว่าคนอื่น จึงเบี่ยงเวลาบางส่วนไว้หาสิ่งของเข้าท้องไม่สิ้นสุด)
ผลพวงจากความยอดนิยม
ความรักจึงเป็น ‘ความ’ ที่ถูกนิยามด้วยความหมายอื่นมากที่สุดอีกด้วย
ความรักคือความเข้าใจ คือการดูแล คือความอดทน คือการให้
คือความเสียสละ และอีกหลายๆ คือ
น่าแปลกใช่ไหม ที่ความหมายของความรักกลับไม่ใช่ความรักโดยตัวมันเอง
แต่ถูกอธิบายให้กลายเป็นอย่างอื่น
ผมเรียกเอาเองว่าบรรดาคำอธิบายเหล่านั้น
ที่แท้คือทัศนคติที่เรามีต่อความรัก
คล้ายอากาศ เมื่อมองไม่เห็น เราจึงต้องพยายามดิ้นรนค้นหาอธิบาย
จนเมื่อพบคำอธิบาย เราก็สบายใจ
ความรักจึงเป็นความรักโดยตัวมันเองไม่ได้ แต่ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่เราพอเข้าใจ
อย่างน้อย ก็เพื่อใช้กำกับพฤติกรรมต่างๆ นานา ที่เกี่ยวข้องกับความรักนั้น
อันเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนความอ่อนแอขั้นสุดของมวลมนุษยชาติ
จะมีอะไรเปราะบางกว่านี้อีก
การปล่อยให้ตัวเองดื่มดำ อิ่มเอม สนุกสนาน
หรือทนทุกข์ทรมานกับอะไรสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ความรัก
จะทำให้เราเคว้งคว้าง ไม่พบคำตอบ ไม่พบจุดหมาย
คล้ายลอยคอในทะเลลึกยามค่ำ ไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้ทิศทาง
และในที่สุด เราก็พ่ายแพ้ ด้วยการแสดงออกว่าเราชนะ
แสดงความเป็นเจ้าของ มีอำนาจเหนือ
และพยายามใช้อำนาจนั้นประคับประคองตัวเราให้ดำรงอยู่
เชิดหน้าชูตา แทนที่จะพยายามทำความเข้าใจสภาวะที่ไม่สามารถอธิบายได้นั้น
เรากลับผลักไสมันออกไป ยิ่งไกลยิ่งปลอดภัย ยิ่งห่างยิ่งไม่ต้องทรมาน
เป็นความขี้ขลาด อ่อนแอ
เหมือนที่เรากลัวความเจ็บ ไม่ใช่ความสูง
เหมือนที่เราพยายามยึดบางสิ่งบางอย่างไว้กับตัวเอง
ประกาศอาณาเขต แสดงความเป็นเจ้าของ
และกล่าวโทษทุกอย่างที่ไม่ดำเนินไปตามความต้องการของเรา
การปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างอิสระ เป็นความยากลำบากแสนสาหัส
เพียงเพราะเราต้องการคำตอบ
การอยู่เฉยๆ ยอมรับและพยายามทำความเข้าใจความเจ็บปวดของชีวิตนั้น
นับเป็นความกล้าหาญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
และถึงที่สุดแล้ว เราอาจค้นพบว่า เราไม่ได้เปราะบางอย่างทิ่คิด
แม้ระยะทางจากท้องฟ้าถึงพื้นดินของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน
แต่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราต้องตกลงมาอยู่ดี
ไม่มีใครลอยคว้างอยู่กลางฟ้าได้ตลอดกาล
คำถาม-ถ้าคุณต้องจบชีวิตลงภายในคืนนี้ คุณจะทำอะไร?
คำตอบ-ทำใจ
เพราะมันคือสิ่งเดียวกัน