Wednesday, December 26, 2007

F>O>D>E> DECEMBER 2007


จดหมายเดือนธันวา อากาศ (กลับมา) หนาวกำลังดี
เลือกตั้งเพิ่งผ่านไป ซานตาคลอสก็เหมือนกัน
merry X นะ

ทะลุหูขวา.ธันวา @ SEE-SCAPE เชียงใหม่.
F>O>D>E> DEC> 2007
(scroll down for english texts.)

สวัสดีเดือนธันวา เดือนสุดท้ายของปีแล้วซี

เดือนนี้ไม่ได้ส่งข่าวช้า แต่ว่าเลื่อนวันจัดงาน
เดิมทีว่าจะจัดประมาณกลางๆ เดือนเหมือนที่จัดทุกครั้ง
แต่เกิดเหตุฉุกเฉิน มีข่าวกระซิบว่าห้ามจำหน่าย จ่ายและแจก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงวันที่ 14-15-16 เนื่องจากตรงกับช่วงวันเลือกตั้งล่วงหน้า

นำมาซึ่งความแปลกใจเป็นล้นพ้น ว่าคนที่ไม่ต้องเลือกตั้งล่วงหน้า ทำไมต้องติดแหไปด้วย?(ถึงวันนี้ ก็คงรู้ผลเลือกตั้งกันแล้ว...)

ช่างเถอะ! ไหนๆ เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ข่าวว่ามาเป็นอย่างนี้ก็ไหลตามน้ำ จึงใคร่ขอเลื่อนวันจัดงานเป็นวันที่ 29 ธันวาคมแทน (ตรงกับวันเสาร์เหมือนเดิม)

ที่เคยเกริ่นไว้นานแล้ว ว่าพอขึ้นปีที่สอง จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มความตื่นเต้น อย่างแรกก็คือเราตั้งใจจะย้ายที่จัดงานไปเรื่อยๆ จากเดิมที่ประจำการอยู่ขันอาษามาตลอดหนึ่งปี อันนี้ก็เพื่อทดลองหาบรรยากาศใหม่ๆ และโอกาสในการได้ทำอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นมาก่อน(แต่ยังคงรักษาตัวงานให้เป็นขนาดเล็กเหมือนเดิม) ถึงแม้ว่า 'ส่วนเมือง' ของเชียงใหม่จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่หนึ่งปีที่ผ่าน เราคิดว่ายังมีพื้นที่ต่างๆ ที่น่าสนใจรออยู่

ประเดิมการย้ายที่ครั้งแรกนี้ไปที่ SEE-SCAPE นิมมานเหมินทร์ ซอย 17 SEE-SCAPE เป็นร้านที่อยู่มานานพอควร (ดำเนินงานโดยเฮียเหิร) เป็นที่ชุมนุมของศิลปินมากหน้าหลายตาบรรยากาศเป็นสวนๆ มีบ่อน้ำตื้นๆ เล็กๆ (เล็กมาก...แต่เห็นคนตกบ่อย!) เหมาะกับอากาศหนาวๆทั้งยังเป็นร้านที่อยู่ระดับพอดีๆ คือไม่ผู้ใหญ่เกินไป ไม่เด็กเกินไป ไม่หรูหราเกินไป และไม่ซอมซ่อเกินไป

อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือเดือนนี้เราได้การสนับสนุนจาก ABSOLUT VODKAซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญยิ่งที่ทำให้งานมีสีสันมากขึ้นเราคิดธีม 'THE GARDEN OF swEDEN' ขึ้นมาก็เพราะเหตุนี้เอง (ปล. ABSOLUT มาจากสวีเดน) หมายความว่างานเดือนนี้ จะเปิดแต่เพลงของศิลปินสวีดิชล้วนๆยกตัวอย่างที่พอคุ้นหูกันก็เช่น Club 8, Acid House Kings, The Cardigans, KENT, The Hives, Cloudberry Jam, Peter Bjorn and John, The Concrete, Popsicle (Andreas Mattsson), The Legends, The Radio Dept.(วงหลังนี่เราเพิ่งเขียนถึงไป และได้ข่าวว่ากำลังจะมาเล่นที่เมืองไทย!)

คนที่ฟังเพลงอาจพอทราบว่า ดนตรีบางส่วนจากสวีเดนนั้น ไพเราะเพราะพริ้งขนาดไหนโดยเฉพาะเมื่อยิ่งฟังในบรรยากาศสวนๆ หนาวๆ โอว..........

คนที่ติดตามงานหู คงจำได้ว่าเราเคยจัด 'ไทยไนต์' ที่เปิดเพลงจากศิลปินไทยล้วนๆนี่ก็คล้ายเป็นภาคขยายของแนวคิดเดียวกันนั้น ครั้งนี้สวีเดน ต่อๆ ไปก็จะมีอีกหลายๆ ชาติตามมาแต่คงต้องใช้เวลา เพราะต้องทำการบ้านมากพอดู

เมื่อช่วงต้นเดือนเราลงไปกรุงเทพฯ เพื่อติดต่อกับสถานทูตสวีเดน ขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศของเขาทั้งในด้าน ดนตรี หนัง หนังสือ งานออกแบบ หนังสือสำหรับเด็ก และแฟชั่น ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างดียิ่ง (ขอขอบคุณสถานทูตสวีเดน และคุณพี่จงจิตต์ อัธยาตมวิทยา สำหรับความเอื้อเฟื้อด้วยนะครับ)
ทำให้ได้รู้และได้เห็นงานจากศิลปินจากสวีเดนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนทำให้เราต้องไปตามหาซีดีของ KENT และ THE KNIFE เพิ่มเติม (ซึ่งหาได้แล้ว!)
ทำให้เราต้องไปหาหนังสุดคลาสสิคของคุณปู่ Ingmar Bergman มาดูอีกครั้ง (แกเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาที่ผ่านมานี่เอง)
และทำให้เรา..... (ขืนเล่าหมดคงเหนื่อยอ่านกันพอดี ถ้าใครสนใจเพิ่มเติม รออ่านอื่นๆ และอื่นๆ ได้จากในบล็อกนี่เน้อ!)

ให้บังเอิญอีกเช่นกัน เมื่อคิดธีมสวีเดนนี้ได้ ก็เหลือบเห็น OOM ฉบับล่า (No.21) ทำเรื่องสวีเดนพอดี (Let's Go Sweden) ปกติเราเป็นขาประจำ OOM อยู่แล้ว เล่มนี้ก็ยิ่งตั้งใจอ่านมากขึ้นและทำให้รู้สึกว่า มีโอกาสเมื่อไหร่ ต้องไปเยือนสวีเดนบ้างแน่ๆ เมืองอะไร...สวยงามชะมัด

ไม่ได้เดินทางนานแล้วเหมือนกันนะ

วัฒนธรรมจำเป็นต้องมีความหลากหลายและเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่าให้ใครหรืออะไรพยายาม 'กั้น' เราไว้เชียว

อ้อ...แวะมาที่โปสเตอร์นิดนึง รูปเดือนนี้ถ่ายที่หน้า TITA Gallery แม่ริมนี่เอง ขอบคุณคุณนุ้ย ที่เอื้อเฟื้อ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นต้นอะไร แต่เห็นแล้วรู้สึกว่ามันหนาวๆ ดี ดูๆ ไปอาจคล้ายภาพถ่ายงานชุด muse ของคุณชยาภรณ์แต่ขอความกรุณาอย่านำไปเปรียบเทียบกันเลยนะ...อายเขา

ไปดีกว่า...กำลังเตรียมทำเตากระทะ ไว้ปิ้งมันกินกันคืนวันงาน...สมนาคุณจากทางร้าน!(เห็นพี่เหิรบอกว่าจะทำบาร์บิคิวมาขายด้วย)

สรุปอีกทีว่างานหูเดือนธันวานี้ จัดวันที่ 29 ที่ SEE-SCAPE นิมมานเหมินทร์ซอย 17เริ่มเวลาประมาณ 20.30 ยาวไปจนถึง 23.30 (เลิกเร็วหน่อยนะเดือนนี้! อย่ามาช้าล่ะ) ช่วงแรกจะมีฉายดีวีดีเช่นเดิม เป็นภาพต่างๆ จากสวีเดน และ THE CARDIGANS live in london (จากค่าย universal) และแถมพิเศษด้วยของขวัญเล็กๆ น้อยจาก ABSOLUT เจ้าาาาา... (ของที่ระลึกเจ๋งมาก...ขอบอก)
ขอขอบคุณ ABSOLUT VODKA อีกครั้งครับ

มาฟังเพลงใหม่ๆ กัน
สำรองโต๊ะล่วงหน้าได้ที่นี่ 086 663 0303 (มี 30 กว่าโต๊ะเท่านั้นนะ)
ส่วนคนที่จะเดินทางมาจากจังหวัดอื่น สำรองที่พักแต่เนิ่นๆ เน้อ

ช่วงนี้หนาวขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหรือการเมือง
รักษาตัวด้วย
สวัสดีปีใหม่ครับ

เกือบลืม ในบล็อกมีให้โหวตวงดนตรีสวีเดนที่ชอบ ใครว่างๆ เข้าไปเล่นดู ไม่มีอะไรหรอก เพิ่งหัดทำเป็น ^^ (ตอนแรกจะให้โหวตนโยบายหาเสียงที่ชอบ แต่ขออภัย ยังจำชื่อพรรคการเมืองไม่ได้จริงๆ)
-----------------------------
ABSOLUT VODKA presents
F>O>D>E>14 'THE GARDEN OF swEDEN' by vajira
A Music-Listening Party
Dine, Drink and get down to Contemporary Swedish Tunes
Saturday 29 December 2007 @ SEE-SCAPE (Nimman Soi 17)
20.30 onward
FOR RESERVATION, PLS CALL 086 663 0303

Sunday, December 23, 2007

BLACK SUNDAY


วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พุทธศักราช 2550 ขณะนี้เป็นเวลา 18 นาฬิกา 32 นาที ตามเวลาประเทศไทย

Wednesday, December 19, 2007

MIND THE GAP Northern Line Tour 2007


ข่าวฝากจากญาติโยม อันที่จริงก็เป็นญาติใหม่ เพิ่งรู้จักกัน ผ่านมาทางจีน (FUTON) น้องๆ MIND THE GAP เป็นกลุ่มดนตรีอิสระขนาดเล็ก (มาก) ฝีมือค่อนข้างดี ทำกันเอง ดูแลกันเอง ได้ข่าวว่ามีมิตรรักแฟนเพลงเหนียวแน่นแล้วประมาณนึง พวกเขาอยากมาเชียงใหม่ จีนเลยฝากฝังมา

เราไม่ได้ช่วยอะไรมาก ติดต่อประสานงานโน่นนี่ อาศัยว่าคุ้นเคยพื้นที่กว่าพวกเขานิดหน่อย ส่วนใหญ่ที่เหลือพวกเขาก็ทำกันเอง แต่ยิ่งประสานงานกันไป ก็ยิ่งพบว่าเขาเจอปัญหากันมากเหลือเกิน (น่าสงสารโคตร) ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องความไม่แน่นอนของข้อตกลง ที่ต้องคอยตามแก้ไขกันไป นี่จะวันเล่นอยู่แล้ว ข้อสรุปบางอย่างก็ยังไม่แน่ชัด

สิ่งเดียวที่ชัดคือยังไงก็เล่น ไม่เลื่อนแน่ๆ !
(เพราะว่าเหล่าวงดนตรี ออกเดินทางมาเชียงใหม่แล้วเป็นที่เรียบร้อย)

ทั้ง 4 วงจะเล่นที่ BeBop ปาย (พี่ชาติเจ้าเก่า) วันพฤหัสที่ 20 ธันวา สองทุ่มเป็นต้นไป แล้วจะกลับลงมาเล่นที่เชียงใหม่ วันศุกร์ที่ 21 ธันวา ที่ Urban (กาดเชิงดอย) สองทุ่มเป็นต้นไปเหมือนกัน
ไม่มีค่าผ่านประตูใดๆ!

เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่ตกลงกันไปแล้ว จู่ๆ Urban ก็ปิดตัวลงกระทันหัน ทีมงานก็โทรไปคุย โดยเข้าใจดีว่าการปิดตัวของร้านใดๆ ก็ตามย่อมเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า
ปัญหาคือว่า ทำประชาสัมพันธ์ไปหมดแล้ว นักดนตรีมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีเครื่องเสียงอยู่ที่ร้าน และไม่มีเครื่องดื่มจะจำหน่ายให้แล้ว
ไม่มีคนเสิร์ฟ ไม่มีอะไรทั้งนั้น

โชคดีที่แอร์ยังมี (และหวังว่าจะยังมีไปจนถึงวันงาน)

เรื่องก็เลยกลายเป็นว่า ทีมต้องเช่าเครื่องเสียง (จากเดิมที่ไม่ต้องเช่า) ต้องหาเครื่องดื่มมาขายเอง (จากเดิมที่ไม่ต้องหา) และคงต้องเคลียร์ร้าน เก็บกวาด และอื่นๆ ที่งอกเงยจากงานคืนนั้น

ฟังแล้วก็เหนื่อยใจแทน

ที่น่ารักก็คือ พวกเขา ทั้งทีมงานและนักดนตรี สมัครใจช่วยกันในทุกๆ อย่าง ทุกๆ ส่วน เห็นว่าจะคอยแบ่งๆ หน้าที่กันไปตามอัตภาพ

เราชอบบรรยากาศแบบนี้ ทำงาน ช่วยกัน
ในเงื่อนไขแบบนี้ เงินทองถึงแม้จะจำเป็น แต่ก็กลายเป็นเรื่องรอง
เขียนถึงตรงนี้แล้ว ถ้าใครอ่านเจอ ก็สามารถไปช่วยกันได้อีกหลายๆ แรง

ใครว่าง ไปชม
ใครอยากช่วย ไปช่วย
แล้วพบกัน

ปล ตามแผนแรกคือเราจะช่วยเปิดเพลงด้วยนิดหน่อย ซึ่งตอนนี้ แผนนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง ^^

Monday, December 17, 2007

EE--> DAY NIGHT DAY NIGHT a film by Julia Loktev


เป็นเรื่องของผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวไปเป็นมือระเบิดพลีชีพที่ตึกไทม์สแควร์ หนังตัดรายละเอียดอื่นๆ ทิ้งไปอย่างไม่มีเยื่อไย เหลือไว้แต่บรรยากาศและภาวะอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่การเตรียมตัว นัดหมาย ซักซ้อม ไล่ไปเรื่อยจนถึงวันปฏิบัติภารกิจ เหมือนจะน่าเบื่อ แต่ก็ละสายตาไปไม่ได้เลย เพราะรู้สึกเหมือนกำลังดูภาพเหตุการณ์จริง

แล้วความจริงก็พุ่งชนใส่หน้าเรา

Saturday, December 15, 2007

ทะลุหูขวา (8): artist: THE RADIO DEPT.


พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนธันวาคม 2550
ขอขอบคุณ ABSOLUT VODKA

(ได้ข่าวว่า THE RADIO DEPT. กำลังจะมาแสดงสดในเมืองไทย มีความคืบหน้าอย่างไร จะแจ้งให้ทราบโดยด่วน ^^)

{artist}
THE RADIO DEPT.

ใครที่ได้ดู Marie Antoinette ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ Sofia Coppola คงจำได้ว่าเพลงประกอบในหนังเรื่องนั้นไพเราะขนาดไหน (หนังของ Sofia เพลงเพราะทุกเรื่อง จนหลายคนค่อนขอดว่าเพลงดีกว่าหนัง) หนึ่งในบรรดาวงดนตรีที่มีรายชื่อร่วมบรรเลงในนั้นคือ THE RADIO DEPT.

พวกเขาเป็นวงดนตรีจากเมือง Lund (ลุนด์) ประเทศสวีเดน เมืองเก่าแก่ที่ประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจนนัก
ว่ากันว่าถูกค้นพบแถวๆ ปีค.ศ.1000 โน่น

วงดนตรี THE RADIO DEPT. เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1995 โดย Elin Almered กับ Johan Duncanson ในสมัยที่ทั้งสองยังเรียนมัธยม ชื่อของวงมาจากป้ายชื่อใหญ่ยักษ์ของร้านซ่อมวิทยุที่แต่เดิมเคยเป็นปั๊มน้ำมันมาก่อน ป้ายนั้นเขียนว่า "Radioavdelningen" ซึ่งก็คือ The Radio Department ในภาษาสวีดิช
กิจวัตรส่วนใหญ่ในชีวิตของทั้งสองคน มักคลุกคลีอยู่กับเพื่อนๆ ที่สนใจดนตรี ภาพถ่าย หนัง ศิลปะ และกิจกรรมอะไรเทือกๆ นั้น ชื่อ Radio Department จึงเป็นเหมือนชื่อแผนกหนึ่งในวิถีชีวิตของพวกเขา

แต่สองคนนี้ก็เล่นดนตรีอยู่ด้วยกันไม่นานนัก วงก็ต้องหยุดพัก

สามปีต่อมา (1998) Duncanson กลับมาทำดนตรีกับเพื่อนใหม่ Martin Larsson และตัดสินใจใช้ชื่อ THE RADIO DEPT. อีกครั้งจากนั้นอีกสามปีถัดมา Lisa Carlberg แฟนสาวของ Larsson ก็ถูกชักชวนมาร่วมวงในตำแหน่งมือเบส ตามมาด้วย Per Blomgren ที่ตำแหน่งกลอง และ Daniel Tjader ที่หน้าแป้นคีย์บอร์ด
พวกเขาออกแสดงตามที่ต่างๆ อัดเสียงระบบ 4 แทรกตามสถานที่หลากหลาย ทั้งในห้องนั่งเล่นที่บ้านเพื่อน โกดังเน่าๆ ที่บ้านตัวเอง ห้องอัดเดโมที่ไฟติดๆ ดับๆ หรือไม่บางทีก็อัดเสียงกันที่โรงเรียน ช่วงปลายปี 2001 นี้เอง THE RADIO DEPT.ส่งเพลงที่ทำเสร็จแล้วไปยังนิตยสารดนตรีที่ชื่อ Sonic ผลลัพธ์คือเสียงวิจารณ์ที่ดี และยังได้รับเลือกให้ถูกบรรจุลงไปในแผ่นซีดีตัวอย่างที่แถมไปนิตยสาร ค่ายเพลง Labrador Records (เจ้าพ่ออินดี้ของสวีเดน) ได้ยินเข้า ก็รีบจับเซ็นสัญญาทันที แล้วอัลบั้มแรก Lesser Matter ก็ออกสู่รูหูประชาชน

Per Blomgren ออกจากวงไปก่อนที่อัลบั้มแรกจะวางแผง ขณะที่ Lisa Carlberg ก็เก็บกระเป๋าตามไปติดๆ ในเวลาอีกไม่นาน

หลังจากนั้น THE RADIO DEPT. ยังไม่เคยใช้บริการมือกลองและมืองเบสคนไหนอีกเลย พวกเขาตกลงใจจะใช้โปรแกรมกลองพร้อมให้เหตุผลว่าเป็นสไตล์ใหม่สำหรับอัลบั้มที่สอง Pet Grief.

แน่นอน, คนทั้งโลกสนใจพวกเขามากขึ้น หลังจากที่หนัง Marie Antoinette ออกฉายเมื่อปี 2006

ดนตรีของ THE RADIO DEPT. ล่องลอย ชวนเคลิ้ม ติดรสหวาน แต่ก็หนักแน่นอยู่ในที พวกเขาถูกจัดอยู่ในหมวด Shoegazer ซึ่งเป็นหนึ่งในหมวดของดนตรี alternative rock หมวดนี้ตั้งชื่อโดยสื่อมวลชนอังกฤษที่ไว้ใช้เรียกวงดนตรีประเภท ‘เคลื่อนไหวน้อย’ ขณะอยู่บนเวที (คล้ายๆ กับว่าเล่นไปก็จ้องรองเท้าตัวเองไป...ทำนองนั้น) ตอนที่ออกอัลบั้มแรก นิตยสาร NME ถึงกับสรรเสริญว่าเป็น ‘a minor classic’ และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีในปีนั้น ส่วนอัลบั้มที่สองนี้ ทางค่าย Labrador Records ก็ได้สรรเสริญสำทับไปว่าเป็น ‘a major classic’ เป็นที่เรียบร้อย

ปัจจุบัน THE RADIO DEPT. มีสมาชิกสามคนคือ Johan Duncanson, Martin Larsson และ Daniel Tjader

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ http://www.myspace.com/officialradiodept

ทะลุหูขวา (8) lyric: I DON'T LIKE IT LIKE THIS

{lyric}
I DON’T LIKE IT LIKE THIS

WORDS FAIL ME ALL THE TIME
I DON’T EVEN FEEL LIKE TALKING
STILL I GO ON AND ON
I'M DYING HERE AND YOU KEEP WALKING

WHY ARE YOU ASKING ME THIS?
CAN’T YOU SEE I’M TRYING?
I DON’T LIKE IT LIKE THIS
NO I THINK I’M DYING

I CAN’T CALM DOWN AT ALL
PANIC IS WHAT PANIC FEELS LIKE
CAN’T WE JUST STAY SILENT?
SPEAKING NOW SEEMS FAR TOO VIOLENT


WHY ARE YOU ASKING ME THIS?
CAN’T YOU SEE I’M TRYING?
I DON’T LIKE IT LIKE THIS
NO I THINK I’M DYING

Friday, December 14, 2007

ทะลุหูขวา (8) essay: เงียบ

{essay}
เงียบ

มีเหตุจำเป็นบางประการที่ทำให้ผมต้องนั่งจ่อมตัวอยู่หน้าเครื่องโทรทัศน์เป็นเวลาติดกันยาวนานราวสองเดือนครึ่ง เนื้อในนั้นประกอบด้วยผู้คนหลากหลาย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด เดินเหินไปมาขวักไขว่ สีหน้าอาการเคร่งเครียดเร่งรีบ บรรยากาศที่ทำงานถูกจัดขึ้นหลวมๆ ปึกกระดาษเอกสารวางพะเนินอยู่บนโต๊ะ เคียงข้างแฟ้มเอกสารสีดำที่เรียงตัวซ้อนกันขึ้นสูง บางครั้งภาพฉายให้เห็นช่วงเวลาเวลาประชุมที่สีหน้าของผู้คนเหล่านั้นมักจะเคร่งขรึมผิดปกติ สูทสีเข้มเกลื่อนจอ พร้อมเลขาสาวสวยตามติดข้างกาย

ตัดภาพมาที่บ้านเห็นประตูอัลลอยด์บานเขื่อง มีคนรับใช้ที่คอยจิกตาสอดรู้สอดเห็น ชนชั้นเจ้านายเคลื่อนไหวเชื่องช้า พร้อมบ่าวไพร่ที่แบ่งข้างเป็นฝักฝ่าย อาหารการกินจืดชืด ไม่ค่อยมีใครสนใจนัก เก้าอี้ชนิดหลุยส์ขนาดใหญ่อ้าแขนรอก้นงอนงามของเจ้าของหย่อนกระแทกลงไปด้วยความเกรี้ยวกราด

บางครั้ง เอ่อ...ก็ถูกใช้เป็นเตียงชั่วคราว ยามที่ใครสักคนมีปัญหารุมเร้าจนเมามาย (น่าสังเกตว่าคนเหล่านั้นไม่เคยดื่มเพราะมีความสุข เกือบทั้งหมดวิ่งเข้าหาการดื่ม เวลาที่มีความทุกข์ทั้งนั้น ทั้งที่ในชีวิตจริง คนเราก็สามารถดื่มบนพื้นฐานของการมีความสุขได้เช่นกัน)

ส่วนใหญ่นอกเหนือจากการกระทำ พวกเขามักจะพูด พูด พูด และพูดใส่กัน นานๆ ครั้งจะนุ่มนิ่มนวลหู แต่ส่วนใหญ่แล้วน้ำเสียงที่ใช้ เมื่อประกอบกับหน้าตาถมึงทึง ล้วนโหนขึ้นสูงปรี๊ดราวกับหมายจะทำลายแก้วหูของผู้ชมให้แหลกสะบั้นในบัดดล

เคราะห์ดีที่เครื่องรับโทรทัศน์ของผมมีรีโมตควบคุมเสียงได้จากระยะไกล
.........

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าการแสดงออกในละครโทรทัศน์นั้น มักใช้คำพูดและสีหน้าเป็นหลัก อันนำมาซึ่ง ‘ท่าทาง’ ของคนที่กำลังเครียด การพลิกข้อมือมองนาฬิกาขณะกำลังรอใครสักคน การ ‘บอกกล่าว’ สิ่งที่กำลังจะทำออกมาเป็นเสียงให้เราได้ยิน (เช่น “คอยดูเถอะ เดี๋ยวชั้นจะแก้แค้นให้สาสม”) รวมถึงการบอก ‘สิ่งที่คิด’ ออกมาในรูปคำรำพึงรำพันกับตัวเอง

(“เค้าจะรู้มั้ยนะ ว่าชั้นเจ็บปวดเพียงไหน ที่เห็นเค้าไปกับผู้หญิงคนนั้น...”)

หลายครั้ง ผมก็อดรำพึงออกมาไม่ได้ว่า (“เค้าจะรู้มั้ยนะ ว่าไม่ต้องให้ตัวละครพูดออกมาก็ได้ ดูจากสถานการณ์ก็รู้แล้วว่า หล่อนเสียใจขนาดไหน”)

ถ้าการพูดเป็นช่องทางหนึ่งของการ ‘สื่อ’ เนื้อหาที่คนเราคิดอยู่ข้างใน เราย่อมรู้กันดีอยู่ว่ามนุษย์เรามีการสื่อสารหลายทาง มีช่องทางอื่นที่จะสามารถสื่อ ‘สาร’ ชนิดเดียวกัน ในทางกลับกัน, ในฐานะที่เป็นผู้รับสาร เราจะสามารถ ‘รับสาร’ ได้เช่นกัน ลำพังการ ‘ฟัง’ สิ่งที่คนอื่นบอก ไม่น่าจะเป็นวิธีเดียวที่เราจะได้รับเนื้อหา

อย่างน้อย คุณก็กำลังอ่านอยู่ในขณะนี้

เป็นโชคและลาภที่มนุษยชาติมีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า ภาษา
ประดิษฐกรรมทางภาษา ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน พูดหรือเขียน ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับต้นๆ ของโลก ตามสายตาของผม เพราะมันสามารถแผ่ขยายขอบเขตการอธิบายสิ่งที่อยู่ใจมนุษยชาติให้กว้างไกลออกไปจากพรมแดนเดิม

คล้ายเป็นการกำหนด ‘ค่ากลาง’ ให้คนจำนวนมากไว้ใช้สื่อสารระหว่างกัน

แต่การพูดกันมากขึ้น จะทำให้คนเราเข้าใจกันมากขึ้นจริงหรือ ในบางครั้งบางสถานการณ์ ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ สถานการณ์อาจยิ่งเลวร้ายลงไม่ใช่หรือ (ถึงตรงนี้ กรุณารำพึงออกมาว่า “นี่มันทำให้ชั้นนึกถึงนักการเมืองปากไวบางคน ที่ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ยิ่งดูแย่ลงทุกที ไม่รู้เหมือนกันนะว่า เค้าจะรู้ตัวมั้ย”)

อย่างไรเสีย แม้สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดของโลกก็ย่อมมีข้อบกพร่อง ‘ค่ากลาง’ ที่ถูกคิดค้นไว้ให้สื่อสารระหว่างกันนั้น จำเป็นต้องใช้ประกอบกับคุณสมบัติบางประการของผู้ใช้-อย่างน้อยที่สุด ก็น่าจะอยู่บนพื้นฐานของการซื่อสัตย์กับสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในใจตัวเอง

ยังไม่ต้องพูดถึงความผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี ให้ยากแก่การนิยาม เพราะด้วยแง่มุมหลากหลายของมิติทางภาษา การตีความคำ ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี นั้นย่อมสามารถพลิกพลิ้วให้เกิดมิติที่เอื้อประโยชน์ส่วนตนได้ไม่ยากเย็น

คนที่ชีวิตได้เคยเฉียดใกล้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘ความรัก’ น่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี คำหวานที่พรั่งพรูออกมาจากปากของคู่รักนั้น ไม่ว่าจะพยายามทำความเข้าใจอย่างไร ไม่ว่าสภาพจิตใจจะเข็มแข็งหนักแน่นเพียงใด ก็ยังยากต่อการ ‘ค้น’ ให้ ‘พบ’ ความหมายที่แท้จริงของมัน

เราเกือบทุกคนล้วนยินยอมพร้อมใจหลงไหลเคลิบเคลิ้ม ไปกับอารมณ์สิเน่หาของถ้อยคำ

เสียดายที่ผมไม่ใช่ผู้สันทัดกรณี จึงไม่สามารถอธิบายอะไรไปได้มากกว่านี้ แต่เท่าที่นึกออก ผมยังคงตราตรึงภาพของตัวละครสองตัวในนิยายขนาดย่อมที่เคยผ่านตามาช้านาน เป็นเรื่องราวความของชายหนุ่มอายุน้อยและหญิงสาวสูงวัย ความรักของทั้งคู่หมิ่นเหม่ทว่าหนักแน่น ทั้งสองพบกันที่ประเทศญี่ปุ่น ในโอกาสที่สามีฝ่ายหญิงอยากพาไปเปิดหูเปิดตา ฝ่ายชายเป็นนักศึกษาหนุ่มเล่าเรียนอยู่ที่นั่น และต้องรับเป็นธุระจัดการดูแลให้ความสะดวก

ความรักของทั้งสองแตกต่างสิ้นเชิงจากความรักดาษดื่นที่พบเห็นได้ทั่วไป

ฉากกลางๆ ของ ‘ข้างหลังภาพ’ ที่ ‘ศรีบูรพา’ เขียนไว้เมื่อพ.ศ. 2480 ระหว่างที่ครบกำหนดสองเดือนในญี่ปุ่น คุณหญิงกีรติมาพบนพพรเพื่อกล่าวคำอำลา ขณะนั้นความรักของนพพรที่มีต่อคุณหญิงกำลังพลุ่นพล่านเกินเยียวยา

ช่วงนาทีนี้คือช่วงเวลาสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันเป็นส่วนตัว

คุณหญิงกล่าวคำอำลาขึ้นว่า “เธอจงตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียนให้สำเร็จสมความปรารถนา อยู่ทางเมืองไทย ฉันจะภาวนาเอาใจช่วยเธอ”

นพพรตอบว่า “ขอให้คิดถึงผมตลอดเวลาด้วย ขอจงเห็นใจในความรักภักดีของผม”

“ฉันรับรองว่าจะปฏิบัติตาม แล้วมีอะไรอีกนพพร?” คุณหญิงถาม

“ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำ เพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจความทั้งล้านคำนั้น แต่ผมก็นังนึกหาคำไม่ออก” นพพรว่าต่อ

คุณหญิงได้ฟังดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า “เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้ ส่วนที่เหลืออยู่นั้น ฉันจะอ่านจากดวงตาของเธอ”

จากนั้นนพพรสบตาคุณหญิงแล้วพูดขึ้นว่า “จงอ่านดูเถิด ผมยังไม่รู้ที่จะพูดว่ากระไร”

ลำพัง ‘ค่ากลาง’ ที่พวกเรามีไว้ใช้สื่อสารกันนั้น จริงอยู่อาจทำให้การสื่อสารจะหว่างพวกเราง่ายขึ้น ตรงขึ้น และอาจทำให้ชัดเจนขึ้น แต่การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ค่ากลางของเราทำหน้าที่ไม่ได้ถนัดนัก

ถึงเวลานั้น ความเงียบจะทำหน้าที่ของมันเอง โดยไม่ต้องการคำอธิบาย
เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ แต่มักหลงลืมไป
หรือไม่ก็พ่ายแพ้แก่ความพลุ่นพล่านในใจตัวเอง

Wednesday, December 12, 2007

thepowerofiberry(ortv)


สองวันก่อนไปช่วยพี่โน๊ตเสิร์ฟไอติมที่ iberry
ที่จริงจะผ่านไปหาเฉยๆ แต่ปรากฏว่าคนแน่นร้าน ราวกับทัวร์ลง
เลยต้องไปช่วยเก็บโต๊ะ เช็ดโต๊ะ ส่งน้ำ เสิร์ฟไอติม
ที่จริงก็สนุก เพราะอยากทำมานานแล้ว
การที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอด ทำให้รู้สึกดี คล้ายๆ ทำให้เกิดสมาธิ ยิ่งทำนานเข้าจะยิ่งเหนื่อยและหมดแรง แล้ววันนั้นก็ผ่านไปอีกหนึ่งวันอย่างรวดเร็ว

เริ่มเข้าใจหัวอกคนที่ทำงานเสิร์ฟ ชอบได้ยินบ่อยๆ ว่า
จะไปเรียนเมืองนอก จะทำงานร้านอาหารไปด้วย เรียนไปด้วย
ที่ได้ยินบ่อยกว่านั้นคือว่า พอไปทำงานจริงๆ แล้วไม่ค่อยได้เรียน หรือเรียนได้ช้า เพราะมันคงเหนื่อยเกินไปอย่างนี้นี่เอง
(ที่เชียงใหม่นี่ก็เห็นหลายคนทำงานร้านอาหารไปด้วย เรียนไปด้วย หรือว่าทำงานประจำไปด้วย แล้วก็ทำงานร้านอาหารด้วย)

คนที่ทำงานร้านอาหารไปด้วยแล้วเรียนไปด้วยจนสำเร็จ นับว่าน่ายกย่อง

อีกเรื่องที่คุยกันคือ อำนาจของสื่อทีวี
เพราะหลังจากที่แกไปโผล่ในรายการทีวี แป๊ปเดียวคนก็แห่แหนกันมา
บวกกับร้านที่บรรยากาศสบายๆ (สบายจริงๆ ไม่ต้องดัดจริตสบาย)
ยิ่งวันไหนที่แกอยู่ร้าน ก็คงปากต่อปากต่อๆ กันไป

มุมหนึ่งก็ดีใจไปกับแก
แต่อีกมุมก็รู้สึกสะท้อนใจในพลังอำนาจของทีวี

Friday, December 7, 2007

EE--> THIS IS ENGLAND a film by Shane Meadows


"Listen to me. He's a young lad. He's had a fucking bad week. So we bring him in wi' us to show him a bloody good time and you've just friggin back handed him roun' head. I'M DISAPPOINTED MATE! "

Saturday, December 1, 2007

Wisut LIVE IN CMU


เมื่อวานนี้เจอนรา (นราวุธ ไชยชมภู) โดยบังเอิญ
เรากำลังซื้อซีดีอยู่ที่ร้านป้าโดเรมี นราเปิดประตูเข้ามาทัก แล้วจากไป (โดยไม่ได้ซื้อซีดี-ฮา!!)
นราบอกว่าตั้มกำลังจะขึ้นมาเชียงใหม่ ช่วยงานตั้ม
ตั้มคือ วิศุทธ์ พรนิมิตร-เป็นเจ้าของงานการ์ตูน hesheit และอื่นๆ
มีงานมากมายทั้งในไทยและญี่ปุ่น
เมื่อก่อนวาดอยู่ที่ Katch และ Manga Katch
ต่อมาขยับไปลงที่ a day แต่หยุดไปได้สักพักแล้ว

นอกจากวาดการ์ตูนแล้ว ตั้มยังแสดงเปียโนสดประกอบการ์ตูนของตัวเองด้วย
ตระเวณไปเล่นมาแล้วมากมายหลายที่ในโลก
นราบอกว่าตั้มจะมาแสดงที่เชียงใหม่ วันที่ 6 ธันวาคมนี้
18.30 น. ที่ดาดฟ้าชั้น 3 MEDIA ART มช.
เลยเอาข่าวมาแปะไว้ เพื่อใครสนใจ (ขอแนะนำว่าควรลอง!)

เรียกน้ำย่อยแต่เพียงเท่านี้ละกัน
พบกันวันงาน ^^

ปล เข้าไปชมงานตั้มได้ที่นี่ (มี hesheit ตอนใหม่ให้อ่านด้วย)
http://web.mac.com/wisut/wisut/main.html