Monday, June 30, 2008

ล้อมวงคุย

ขออภัยที่หายไปนาน ช่วงที่ผ่านมามีโอกาสออกไปเดินทาง
เดี๋ยวคงได้เล่าสู่กันฟัง ^^

กลับมาแล้วก็ยังแขวนอยู่ที่กรุงเทพฯ สักพัก มีโอกาสได้ไปงาน 'ล้อมวงคุย' ที่หน้าร้านประตูสีฟ้า (ร้านหนังสือขนาดเล็กน่ารัก ที่ลานจอดรถเอกมันซอย 10 นี่เอง) ล้อมวงคุยคิดงานของพี่ชาติ กอบจิตติ ในโอกาสที่แกออกหนังสือเล่มใหม่ ชื่อเดียวกับชื่องาน และถือจังหวะจัดงานระลึกถึง 'พันธุ์หมาบ้า' ครบรอบยี่สิบปี! ไปพร้อมๆ กัน

เวลาผ่านไปเร็วจริง หนังสือเล่มหนึ่งเดินทางมาถึงยี่สิบปีแล้ว!
(ทราย เจริญปุระ บอกว่าอ่านครั้งแรกตอนอายุ 8 ขวบ!!!!)

ที่งานบรรยากาศน่ารักมาก คนอุ่นหนาฝาคั่ง ทั้งแฟนหนังสือ นักข่าว พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ นักเขียน เข้าใจว่าทุกคนเป็นแฟนผลงานของพี่ชาติ เวลาคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันมาอยู่รวมกัน เห็นแล้วก็น่ารักดี เสียดายที่ไม่ได้พกกล้องไปด้วย เลยไม่มีรูปมาลงให้ดู (ปกติไม่เคยไม่พกเลย วันนั้นลืมจริงๆ) เสร็จงานกลางวันแล้วก็ยังไม่จบ ไปต่อกันที่โอลด์เล้งอีก สนุกมาก มีพี่ๆ ตามมากันอีกเพียบ

ได้ข่าวแว่วๆ มาว่า ยี่สิบปีพันธุ์หมาบ้านี้ยังไม่เลิกง่ายๆ จะมีจัดงานอีกครั้งวันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม ที่ Cosmic Cafe RCA คราวนี้เป็นหมวดพูดคุยกับนักร้องร่วมสมัย (ถ้าจำไม่ผิดคิดว่ามี เป้ Slur กบ Big Ass แล้วก็ตุลย์ อพาร์ตเม้นท์) อาจได้ไปโผล่แถวๆ นั้นด้วยเหมือนกัน ยังไงจะแจ้งข่าวอีกทีนะ
; )

โพรง (3): จุดนัดพบ (1)

โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา

www.rabbithood.net

จุดนัดพบ (1)

เมื่อไม่นานมานี้ สุภาพบุรุษท่านหนึ่งจากกรุงเทพมหานครเดินทางมาเชียงใหม่ จะประกอบด้วยเหตุผลอะไรอื่นหรือไม่นั้นผมเองก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเขาติดต่อขอนัดพูดคุย คล้ายเป็นการเสวนากาแฟ ว่าด้วยเรื่องเชียงใหม่

เขาตั้งข้อสงสัยว่า ‘ทำไมใครๆ ก็มาเชียงใหม่’ อันนำไปสู่ความห่วงไยว่าเมืองหลวงของภาคเหนือแห่งนี้จะ ‘เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร’
ผมได้รับการชักชวนในฐานะพลเมืองหน้าใหม่ที่เพิ่งย่างเท้ามาหมาดๆ (สองปีเต็ม สิ้นเดือนพฤษภา 2551)

วงเสวนาลูกมะเกี๋ยง (มีแต่ลูกมะเกี๋ยงสีม่วงเข้ม รูพรุน ไม่มีน้ำ ไม่มีกาแฟ) ประกอบด้วยพี่ๆ อีกสามท่าน ทั้งที่เกิดที่นี่และโยกย้ายมาแต่เก่าก่อน ทั้งในสายงานวิชาการ สิ่งแวดล้อม และศิลปวัฒนธรรม ผมขออนุญาตไม่เอ่ยนาม เพราะไม่ได้ขออนุญาตไว้ก่อน ทั้งสิ่งที่จะเขียนต่อจากนี้ก็ล้วนเป็นมุมมองส่วนตัวของผมคนเดียวเท่านั้น

ทำไมใครๆ ก็มาเชียงใหม่

การมาของคนต่างถิ่นนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องแปลก ทั้งการออกไปของคนท้องที่ก็เช่นกัน ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาเมื่อมองในฐานะมนุษย์ตาดำๆ ที่แรงขับ (ผลัก) ของการดำเนินชีวิตแตกต่างกันไปตามภูมิหลัง การศึกษา สังคม สภาพแวดล้อม และสภาพเศรษฐกิจ

ถ้าถอยหลังออกมามองให้กว้างขึ้นอีกนิด แรงขับของมนุษย์ตาดำเหล่านั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากลำพังในระดับส่วนบุคคล แต่น่าจะเคลื่อนไหวอยู่บนทิศทาง นโยบาย และแผนการที่ออกมาจากส่วนปกครองต่างๆ ทั้งในรูปการบริหารส่วนราชการและการท่องเที่ยว ทั้งในระดับประเทศและในระดับหมู่บ้าน

ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่สังเกตหรือให้ความสนใจก็อาจมองเลยไปได้สบายๆ เหมือนลูกจ้างที่ไม่เคยขั้นตอนการทำงานของเจ้านาย

เราจึงเห็นเพียง ‘จุดขาย’ ทางวัฒนธรรมต่างๆ นานาที่ทั่วโลกพร้อมจะ ‘ขาย’ หรือ ‘ให้บริการ’ อันนำมาซึ่งเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ถือเป็นการลงทุนที่ประหยัดที่สุดกับทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น

นี่ยังไม่รวมการใช้จ่ายทรัพยากรบุคคลซึ่งเป็นกลไกหลักสำคัญในการขับเคลื่อน

ไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ ไม่ว่าจะเล่นน้ำสงกรานต์ ให้ของขวัญในวันคริสต์มาส ปล่อยโคมคืนลอยกระทง เวียนเทียนวันวิสาขะ ให้ดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์ กินขนมเทียนวันตรุษจีน แต่งผีคืนฮาโลวีน ฟ้อนโชว์ในร้านอาหาร หรือจะสาธิตวิธีการทำร่ม แกะไม้ ถ้าไม่ได้สนใจแต่ลำพัง ‘เม็ดเงิน’ เพียงอย่างเดียว จนเกิดภาพปลอมๆ ของประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวี่วัน

เมืองไหนที่ดูดวิญญาณนักท่องเที่ยวได้มาก ก็มีแนวโน้มที่คนจะแห่แหนกันมามากขึ้น ทั้งยอมมาให้ดูดและอยากเป็นผู้ดูด

ผมคิดว่าความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดขึ้นตรงนี้
เป็นเสมือนจุดนัดพบ

เมื่อผสมผสานกับแรงขับภายในส่วนบุคคล จึงเกิดเป็นปรากฏการณ์โยกถิ่นย้ายฐานที่เห็นกันอยู่ (และกลายเป็นข้อสงสัยบนความห่วงไยให้สุภาพบุรุษท่านนั้นดั้นด้นมาจากกรุงเทพมหานครเพื่อพูดคุย) เป็นความคล้องจองของทัศนคติ วิถีชีวิต ลักษณะนิสัย รสนิยม ความทะเยอทะยาน หรืออาจเป็นความเบื่อหน่าย

จำเพาะกันที่หมวดโยกย้าย ผมค่อนข้างตื่นตาตื่นใจที่เห็นความแตกต่างชนิดสุดขั้วมาอยู่รวมกัน ทั้งจากนักธุรกิจ (ใหญ่-เล็ก) จากนักคิด นักเขียน ศิลปินหลากหลายแขนง (เล็ก-ใหญ่) จากนักเรียนนักศึกษา และจากชาวต่างชาติ จะมีกี่เมืองในโลกที่สามารถดึงดูดคนหลากหลายสาขาอาชีพมารวมตัวกันในปริมาณมากมายได้ขนาดนี้
ที่แพ้ภัยตัวเองเก็บกระเป๋าม้วนเสื่อกลับบ้านก็มาก โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจ (อันนี้พี่ๆ ที่อยู่มาก่อนเล่าให้ฟัง) ที่ลงหลักปักฐานจริงจังก็ไม่น้อย ที่เตรียมหาลู่ทางอพยพย้ายต่อไปที่อื่นๆ ก็ดูเหมือนจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยส่วนตัว ผมได้ข้อสรุปหลังวงสนทนาลูกมะเกี๋ยงว่าเหตุผลที่ชอบเชียงใหม่เป็นเพราะบรรยากาศ ขนาดของเมือง และพลังงานจากคนรอบข้าง การได้เห็นภูเขาทุกวัน การเดินทางไปไหนมาไหนด้วยระยะเวลาสั้นๆ ทั้งกิจธุระในเมืองหรือออกไปเที่ยวเล่นรอบนอก ทำให้สามารถจัดการ ‘เวลาจริง’ ของการใช้ชีวิตได้มากกว่า องค์ประกอบที่พอเหมาะของความเป็นเมืองและธรรมชาติ อัธยาศัยของผู้คนที่ไม่ขึงขังจนอึดอัด ขนาดสังคมของคนที่มีความสนใจใกล้เคียงกัน กลุ่มเพื่อนหลากชาติหลายเผ่าพันธุ์ที่แวะเวียนกันมาและผ่านไป องค์ความรู้หลากหลายที่ปราชญ์หลายๆ ท่านเผยแพร่เอาไว้

อาจฟังดูสายลมแสงแดด แต่ผมคิดว่าเชียงใหม่เข้มข้นกว่านั้น
มันเป็นเรื่องของจริตคุณภาพชีวิต


(โปรดติดตามเรื่องความเปลี่ยนแปลง ฉบับหน้า!)

ทะลุหูขวา (14): PORTISHEAD


ทะลุหูขวา [Fall On Deaf Ears]
text and artwork by RabbitHood

www.rabbithood.net

{artist}
PORTISHEAD

PORTISHEAD อาจไม่ใช่วงที่คิดค้นดนตรี Trip-Hop แต่ก็ถือว่าอยู่ในหมวดหมู่ของวงดนตรีที่ทำให้ Trip-Hop ได้รับความนิยมในยุคแรกๆ โดยเฉพาะในอเมริกา เกาะหลัง Massive Attack และ Tricky มาติดๆ แม้จะไม่ฉึกฉักอย่าง Massive Attack หรืออวองการ์ดเท่า Tricky แต่ดนตรีของ PORTISHEAD ก็มีเสน่ห์ของบรรยากาศหม่นเศร้าชวนหลงไหล มีความ ‘เหมือนจะป็อป’ ที่ล้มล้างโครงสร้างเดิมๆ ของเพลงแบบ ‘มหาชนนิยม’ ด้วยการ‘ทดลอง’ต่างๆ นานา สิ่งนี้เองทำให้เพลงของพวกเขาแพร่หลายกว้างขวางโดยเฉพาะในหมู่คนช่วงวัย 30

อัลบั้มแรก Dummy ออกมาในปี 1994 ได้รับการตอบรับอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ทั้งจากนักวิจารณ์ โพลสำนักต่างๆ และผู้ฟังในอังกฤษ ก่อนจะขยับขยายไปโด่งดังในอเมริกา ด้วยยอดจำหน่าย 150,000 แผ่น ทั้งที่วงยังไม่ได้ไปทัวร์อเมริกา Dummy ได้รับรางวัล Mercury Music Prize ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีของอังกฤษและไอร์แลนด์ เฉือนเอาชนะวงอื่นๆ ในปีเดียวกันอย่าง Oasis (Definitely Maybe), Supergrass (I Should Coco), Tricky (Maxinquaye), PJ Harvey (To Bring You My Love), Van Morrison (Days Like This) ฯลฯ (วงอื่นๆ ที่ได้รับรางวัลเดียวกันนี้ในปีอื่นๆ ก็เช่น Primal Scream–Screamadelica (1992), Suede–Suede (1993), Pulp–Different Class (1996), Badly Drawn Boy–The Hour of Bewilderbeast (2000), Franz Ferdinand–Franz Ferdinand (2004), Arctic Monkeys–Whatever People Say I Am, That's What I'm Not (2006), Klaxons–Myths of the Near Future (2007) และในสองปีถัดมาก็ปรากฏวงดนตรีที่ละม้ายคล้ายคลึงกันออกมาให้เห็นเกลื่อนกลาด ขณะที่ PORTISHEAD เก็บตัวเงียบจากชื่อเสียงรางวัลเพื่อทำอัลบั้มที่สองต่อไป

ชื่อ PORTISHEAD มาจากชื่อเมืองท่าทางตะวันตกของ Bristol ประเทศอังกฤษ (ห่างออกไป 13 ก.ม.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1991 ประกอบด้วย Geoff Barrow ซึ่งทำงานอยู่ที่ Coach House Studio และเป็นที่ที่ Barrow ได้พบกับ Massive Attack และ Tricky ต่อมาหน้าที่การงานทำให้ Barrow ได้พบกับ Beth Gibbons ซึ่งขณะนั้นร้องเพลงอยู่ในผับต่างๆ หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มทำงานเพลงด้วยกัน โดยมีกำลังสำคัญอีกคนคือ Adrian Utley นักกีตาร์แจ๊ซที่เคยเล่นให้กับ Big John Patton และ The Jazz Messengers มาก่อน

ก่อนที่จะออกอัลบั้มแรก สมาชิกทั้งสามของ PORTISHEAD เขียนบทหนังสั้น To Kill a Dead Man เพื่อการระลึกถึงหนังสายลับในยุค 60 Barrow, Gibbons และ Utley ทั้งแสดงและทำเพลงประกอบกันเองจนเตะตาค่าย Go! Records และเซ็นสัญญากันในเวลาต่อมา

ทั้ง Barrow และ Gibbons เป็นมนุษย์จำพวก ‘อายสื่อ’ ช่วงแรกๆ Gibbons จึงปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้คนฟังทั่วไปไม่รู้จัก PORTISHEAD ผ่านสื่อต่างๆ เลย ทั้งที่สื่อเหล่านั้นต่างชื่นชอบผลงานของพวกเขามาก แต่ไม่นาน ค่ายและวงก็พัฒนากลยุทธ์การตลาดของตัวเองอย่างชาญฉลาด พวกเขาเลือกใช้วิธีการบันทึกจุดเด่นของวงซึ่งก็คือ ‘บรรยากาศ’ แล้วค่อยนำออกสู่สื่อ หลังจากนั้นความนิยมก็ล้นหลามตามมา

อัลบั้มที่สองชื่อเดียวกับวง Portishead ออกมาในปี 1997 ใช้วิธีอัดสดและนำไปบันทึกลงแผ่นไวนิลอีกที ซึ่งทำให้เกิดลักษณะเสียงเสียงแตกๆ สากๆ (อัลบั้มนี้ติด Top Ten ชาร์ตใน UK) และ Roseland NYC Live อัลบั้มบันทึกการแสดงสดกับวงเครื่องสาย New York Philharmonic Orchestra ก็คลอดในปีถัดมา (พร้อม DVD) จากนั้นในปี 1999 สมาชิกในวงก็ต่างแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง พวกเขากลับมารวมกันอีกครั้งในปี 2005 ด้วยการแสดงสดครั้งแรกในรอบ 7 ปี เพื่องาน Tsunami Benefit Concert ใน Bristol และทำอัลบั้มที่สาม Third ซึ่งห่างจากอัลบั้มที่สองถึง 10 ปีเต็ม ทั้ง 11 เพลงในอัลบั้ม Third เคยถูกนำไปเปิดในวิทยุอินเทอร์เน็ต Last.fm (ก่อนที่อัลบั้มจะออกวางขาย) ปรากฏว่ามีผู้ฟังทั้งสิ้น 327,000 คนภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง

เพลงของ PHEAD (ชื่อเล่น) เหมาะอย่างยิ่งที่จะฟังคนเดียวหรือในหมู่คณะที่รู้สึกว่าต่างคนต่างอยู่คนเดียว

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ http://www.portishead.co.uk/

*ภาพประกอบจากในปกอัลบั้ม Third

Tempted in our minds.Tormented inside lie.Wounded and afraid.Inside my head.Falling through changes.

SONG: SILENCE

Thursday, June 12, 2008

why?


วันหนึ่งไปบ่อน้ำ พบช่างไม้
ได้ยินเขาฮัมเพลงนี้

Why do birds suddenly appear
Every time you are near?
Just like me, they long to be
Close to you ...

Sunday, June 8, 2008

กระต่ายออมสิน


ได้รับกระต่ายออมสิน (สวยงามมากกก) มาจากเจ้าของร้าน 'ดื่ม' JJ เชียงใหม่
ที่จริงก็ไม่ค่อยได้ไปดื่มร้านเขาบ่อยนัก วันนั้นบังเอิญไปซื้อต้นไม้แถวๆ นั้น
และบังเอิญไปนั่งดื่มน้ำที่ร้านเขา ตอนเย็นๆ เดินเล่นไปมาในร้านเห็นกระต่ายตัวนี้เข้า
เลียบๆ เคียงๆ ว่าซื้อที่ไหน เพราะอยากได้กระปุกออมสินมานานแล้ว
ถามไปถามมา เขาเลยใจดียกให้ ทั้งที่ไม่ได้สนิทกัน
พร้อมเหตุผลว่า 'คงดูแลมันดี เพราะเห็นว่าชอบ'
รับของเขามาแล้ว (หยอดกระปุกเต็มแล้วด้วย ตอนนี้กระต่ายตัวหนักอึ้ง) ก็จะรักษาสัญญา ก็ว่าจะดูแลอย่างดี

ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ^^

Friday, June 6, 2008

NYMPH / NO MORE BELTS' HAPPENING


มีสองงานของเพื่อน ขออนุญาตเอามาแปะไว้
งานแรกเป็นนิทรรศการภาพวาดของนวล-นวลตอง ประสานทอง ชื่อ NYMPH
จัดที่ J Gallery @ 4fl. J-Avenue ทองหล่อ
ตั้งแต่ 12-25 มิถุนายนนี้ (สั้นมาก ขอบอก)
มีงานเปิดวันที่ 12 ตอนหกโมงเย็น ใครว่างๆ ขอเชิญไปชมกัน
ลองเข้าไปดูรายละเอียดอื่นๆ ได้ที่นี่
www.jgallerybangkok.com

นวลเคยวาดรูปให้ 'งานหู' ด้วย ถ้านึกไม่ออกลองกลับไปดูที่นี่นะ (สวยมาก)
http://iamvajira.blogspot.com/2007/09/fall-on-deaf-ears-september-2007.html

............

อีกงานเป็นของพี่วิภว์ แห่ง Happening
เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ (เข้าใจว่าครั้งแรกของ happening) ที่จัดร่วมกับ No More Belts (ของคุณ หนึ่ง Sleeper One) มีศิลปินทุกคนในค่าย No More Belts และร่วมด้วย friday, scrubb และ Crescendo

งานมีวันที่ 14 มิถุนายนนี้แล้ว!

ได้อีเมลมาจากพี่วิภว์สองฉบับ ตัดทอนแล้วได้ความว่า...งานนี้ไร้สปอนต์เซอร์ จึงหวังให้คนรักดนตรีช่วยสนับสนุนกันหน่อย ขอกระซิบดังๆ ว่าบัตรคอนเสิร์ตนี้จะแถมเพลงพิเศษถึง 8 เพลงด้วยนะ พร้อมทั้งมีมีลิงค์ you tube มาให้ดู เป็นลิงค์โปรโมตคอนเสิร์ต No More belts happening นั่นเอง ไม่อยากจะคุยมาก ...แต่ขอกระซิบก่อนให้ชมว่าในคลิปนี้มีคนดังๆ อย่าง ติ๊ก เจษฎาพร, ตูน บอดี้สแลม, ดีเจก้อย รัชวิน, วีเจ วุ้นเส้น อยู่ในนั้นด้วย!!!
ลองเข้าไปดูนะครับว่าพวกเขาจะมาทำอะไรกัน

http://www.youtube.com/watch?v=j8Bw-yknIek

ถ้าสนใจรายละเอียดของงานนี้ คลิกเข้าไปอ่านได้ที่นี่ครับ
http://www.happeningnow.net/index.phpoption=com_content&task=view&id=128&Itemid=55

งานนี้ทำเพื่อเพื่อนครับผม ;-)
วิภว์

ใครว่างๆ และสนใจก็ขอฝากชวนด้วยอีกคนนะครับ ทั้งสองงานเลย
เราจัดงานเองก็รู้อยู่ ว่าเวลาที่ไม่มีสปอนเซอร์นั้น หนักหนาสาหัสขนาดไหน
คงได้พบกันนะ ^^

Tuesday, June 3, 2008

The Invention of Hugu Cabret by Brian Selznick


อ่านจบไปพักนึงแล้วน่ะ แต่เพิ่งเอามาลง อยากชวนให้ลองอ่านดู สนุกดี ทั้งเรื่องและวิธีการ ภาคภาษาไทยชื่อ 'ปริศนามนุษย์กล ของ อูโก้ กาเบรต์' แปลโดยคุณ ปิยณัฐ รัตนเดช เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งอาศัยอยู่ในสถานีรถไฟ แล้วต้องตามไขปริศนาที่โยงไปถึงพ่อของตัวเอง

เนื่องจากคุณ ไบรอัน เซลนิค (ชาวอเมริกัน) เป็นทั้งนักเขียนและนักวาดภาพประกอบสำหรับเด็ก หนังสือเล่มนี้จึงผสมปนเปกันทั้งเรื่อง ภาพ และสตอรี่บอร์ดแบบภาพยนตร์! (ถ้าเป็นภาษาปัจจุบันก็ว่า...ปนกันได้อีกกกกกก...)

เอาล่ะลองอ่านดูนะ น่ารักดี
อ้อ เข้าไปชมที่นี่ก่อนก็ได้ หรูหราอลังการเชียว

http://www.theinventionofhugocabret.com/index.htm