ขอเล่าหน่อยนะ
เสาร์ 9 ที่ผ่านมา มีโอกาสรับชวนไปงาน 20 ปีพันธุ์หมาบ้า ที่่ร้าน Cosmic RCA
ร้าน Cosmic นี้ก็จัดงานบ่อย นับว่าก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง scene ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
ได้ยินข่าวคราวอยู่เรื่่อยๆ แต่ก็ไม่สบโอกาสเสียที
งานนี้พี่ชาติไม่ได้จัดเอง แต่น้องๆ (แต่น้องๆ ของพี่ชาติก็เป็นพี่เราอยู่ดี) จัดให้ เคยมีจัดไปแล้วรอบนึงที่ร้านประตูสีฟ้า คราวนั้นก็ว่าเป็นภาคนักเขียน ส่วนคราวนี้ก็ว่าเป็นภาคนักร้อง
เราไปเป็นคนดำเนินรายการ (ฟังดูเป็นทางการมาก) คือนั่งถามคำถามคนที่ยินดีมาร่วมงาน ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันหมด ทั้งตุลย์ โย่ง และตั้ม (Monotone) นั่งคุยกันไปได้สักพัก เป้ Slur ก็ตามมาร่วมสมทบ เป้เป็นคนเดียวที่ไม่เคยรู้จักกันเป็นส่วนตัว วงสนทนานั้นก็สวยงามไปตามสภาพและเป็นกันเองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เนื่องจากมีขวดเหล้าแบน ที่แปะฉลากเสียใหม่เป็นฉลากเดียวกับที่เป็นปก พันธุ์หมาบ้า อันใหม่ (เขียนโปรยไว้ว่า 'บ่มหมักมา 20 ปี ในถังไม้โอ๊ค') แถมยังมีการสูบบุหรี่กันอย่างเปิดเผย
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของเราที่ร่วมวงสนทนาโดยดื่มและดูดไปด้วย
(และมีเวลาอ่านทวนซ้ำไปได้แค่ครึ่งเล่ม เพราะเพิ่งผ่านอุบัติเหตุชีวิตชนิดหาที่เปรียบไม่ได้มาหมาดๆ)
อันที่จริงคุยกันไว้แต่แรกแล้วว่า เราทำสิ่งนี้เพื่อจำลองบรรยากาศแบบในหนังสือ ซึ่งหมายถึงธรรมชาติของการใช้ชีวิตของคนจริงๆ เหมือนเวลาที่เราล้อมวงกินดื่มคุยกันเรื่องหนังสือ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในชีวิตจริง บังเอิญในบรรดาพวกเรา บางคนดูด บางคนดื่ม ก็ปล่อยไปตามธรรมชาตินั้นๆ (เป้ ที่มาสมทบทีหลัง เดินมาพร้อมขวดชาเขียวแล้วถามเย้าว่า "พันธุ์หมาบ้า ดื่มชาเขียวได้มั้ยครับ" พวกเราก็ตอบว่า ได้สิ ไม่เห็นเป็นไรเลย)
เนื้อหาที่คุยกันก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่เกี่ยวพันกับหนังสือเล่มนี้ ตามแต่ละมุมกันไป
ไฮไลท์น่าจะอยู่ตอนที่เชิญ พี่เปี๊ยก มาขึ้นเวทีด้วย ซึ่งพี่เปี๊ยกนี้เองก็คือ เล็กฮิป ในหนังสือ
การได้พูดคุยกับตัวละครในหนังสือเป็นเรื่องตื่นเต้นที่ไม่คุ้นเคยเลย (ยกเว้นตัวละครในหนังสือตัวเองที่รู้จักกันอยู่แล้ว) แถมยิ่งพี่เปี๊ยกเลือดกำเดาไหล ต้องยัดทิชชู่ไว้ในรูจมูก ถามแกแกก็ว่า "ไม่ได้มา RCA บ่อย ไม่ชิน"
มีตอนนึงช่วงระหว่างรอพี่เปี๊ยก ตั้มก็ขอถามกลับว่าเรากับพันธุ์หมาบ้าเป็นยังไง
ตอนนั้นนึกอะไรไม่ออก ก็ดันปากไวตอบไปว่า อ่านตอนเรียนมหาลัย อะไรในนั้นก็ทำมาหมดแล้วยกเว้นยิงคน
ไอ้พวกนั้นก็สงสัยใหญ่เลยว่า พี่ขายเสื้อผ้าด้วยเหรอ เคยเปิดร้านที่สยามด้วยเหรอ
ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า เออว่ะ ชีวิตคนๆ หนึ่งคงไม่มีใครสามารถทำทั้งหมดแบบที่ตัวละครทุกตัวในหนังสือทำไว้รวมกัน ก็เลยนึกได้ว่า เออ เป็นไปไม่ได้จริงๆ สงสัยสมองคงจะประมวลผลเรื่องสิ่งละอันพันละน้อยในนั้น ในความหมายที่เป็นท่ีต่อต้านของสังคมส่วนใหญ่
คิดอยู่ตลอดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะได้รับการบรรจุให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับนักเรียนมัธยม
ตอนหลังมีกล้องมาสัมภาษณ์ก็พูดไปแบบนี้ วัยรุ่นไทยควรมีโอกาสได้ใช้วิจารณญาณ ควรมีโอกาสได้เห็นโมเดลชีวิตแบบต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของโมเดลชีวิตที่ผู้ใหญ่บอกกันต่อๆ มาว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ถูก
ยาเสพติดหรือคำหยาบๆ ในหนังสือเป็นเรื่องเล็ก เรารู้สึกว่าเรื่องที่ใหญ่กว่าคือการได้เห็นชีวิตของคนกลุ่มนี้ ซึ่งรับรองว่าไม่ได้เห็นบ่อย อันนี้ต่างหากที่รู้สึกว่าสำคัญกว่า
จากนั้นพี่ชาติก็ขึ้นไปอ่านนิยายเรื่องใหม่ของแกพอสังเขป ทิ้งท้ายว่าให้ไปซื้ออ่านต่อเอง (555)
จากนั้นนักดนตรีที่ชักชวนกันมาแบบพี่ๆ น้องๆ ก็มาร่วมเล่นดนตรีสด สนุกสนานกันไปตามระเบียบ
เมามายกันถ้วนหน้า เท่าที่จำได้ก็รู้สึกว่า บรรยากาศนั้นยิ้มแย้มนัก
นอกจากตัวงานแล้วก็รู้สึกดีที่ได้เจอเพื่อนๆ ได้รู้จักคนใหม่ๆ อย่าง ไทร อำนาจ ศิระวงษ์ธรรม และเป้
ไทรนั้นเราไม่เคยรู้จักเลย แต่คืนนั้นได้ยืนฟังเพลงที่เขาเล่น กีต้าร์ตัวเดียว ร้องเอง ฟังแล้วรู้สึกชอบมาก เลยไปถามตุลย์ว่าคนนี้ใคร ตุลย์ก็อธิบายให้ฟัง หลังจากนั้นตอนงานใกล้เลิก ไทรก็เดินมาหาเรา บอกว่าเพิ่งไปขอเบอร์พี่มาจากพี่ตุลย์ แล้วก็วิ่งไปที่รถไปเอาซื้อดีมาให้ พยายามจะซื้อ แต่ไทรก็ไม่ยอม บอกว่าติดตามงานพี่มานานแล้ว เออ...เรื่องก็กลับกลายเป็นอย่างงั้นไป (เอาซีดีกลับมาฟังแล้วยิ่งชอบใหญ่ มีโอกาสควรไปหาฟังกันดูนะ อัลบั้มชื่อ มหรสพชีวิต) ส่วนเป้นั้นชื่อเสียงของเขาเดินทางมาถึงก่อนตัวเขา แต่ก็ยังไม่เคยได้ฟังงานเขาเสียที มีตอนนึงเป้ ถามว่า "พี่ไม่เคยฟัง Slur จริงๆ เหรอครับ นึกว่ามุก" ได้ยินแล้วก็รู้สึกเสียใจ ก็ตอบไปว่า ยังไม่เคยฟังจริงๆ แต่มีความตั้งใจมาตลอดว่าจะหามาฟัง ก็ยังไม่สบโอกาสเสียที อธิบายไปว่าเพลงของวงใหม่ๆ ตั้งแต่ยุคหลัง Monotone แล้วก็มีโอกาสฟังน้อย เพิ่งได้ฟัง Richman Toy ไปเอง (ตั้มเรียกว่ายุค Post Monotone) จำได้ว่าวันนั้นขอโทษขอโพยเป้ไปจากใจจริง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร คุยกันไปคุยกันมาก็เลยรู้ว่ากลายเป็นเขาที่เคยผ่านตางานที่เราทำมา เรื่องก็กลับกลายเป็นอย่างนั้นไป...
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแล้วก็รู้สึกว่าแวดวงของคนทำงานนี้น่ารัก เอื้อเฟื้อ และถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไปกันมา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้วงการมันขับเคลื่อนไป
ตอนที่พี่ชาติเดินกลับ ก็สวัสดีแก แล้วบอกว่าถ้าพี่ชาติมีอะไรให้ช่วยบอกเลยนะครับ
แกก็ตอบกลับมาว่า "เหมือนกันนะ ถ้ามีอะไรให้ รับใช้ ก็บอกได้เลย" แล้วก็สวมกอดลากัน ก่อนที่แกจะกลับบ้านไป
ฟังแล้วก็แอบอึ้งไปนิดนึง เพราะแกใช้คำว่า รับใช้ ทั้งที่จริงๆ คนขนาดแกไม่ต้องพูดแบบนี้กับเราก็ได้ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไหร่เลย บ้านแกที่ปากช่องก็ยังไม่เคยไปด้วยซ้ำ (แต่อยากไปเที่ยวมาก) แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ตามที่เคยรู้มาได้ว่า พี่ชาติเป็นคนน่ารัก ทั้งกับเพื่อนๆ และน้องๆ
เสียดายที่ไม่มีรูปงานให้ดู เพราะตั้งใจไม่เอากล้องไป (กลัวทำหายเอง)
ถ้าขอรูปจากใครๆ มาได้ จะเอามาให้ดูนะ
; )