Tuesday, April 28, 2009

The Red Tree Puppet Performance: THEATRE


ข่าวด่วนมาจากสื่อสร้างสรรค์พระจันทร์พเนจรฯ และแกะดำดำ
(เกือบโทรไปจองที่ไม่ทัน)

..............................................................
The Red Tree Puppet Performance

3 รอบสุดท้าย กรุณาสำรองที่นั่งล่วงหน้า และรับบัตรก่อนเวลาที่หน้างาน

วันที่ 28 / 29 เมษายน 2552 ( บัตร 50 บาท )
วันที่ 30 เมษายน 2552 ( รอบระดมทุน บัตรราคา 100 บาท )
ทุกรอบแสดงเวลา 19.00 น.

กรุณามาก่อนเวลา 30 นาที เพื่อชมนิทรรศการและภาพถ่ายจากโครงการ
ณ เทพศิริ แกลอรี่ ซอยวัดอุโมงค์ หลังมช. เชียงใหม่
ในงานมีมุมนิทรรศการภาพวาดสีน้ำ Illustration
โดย ศิลปินรับเชิญ คุณวันเอก จันทราทิพย์ จากโป่งน้อยอาร์ตสเปส
ในงานมีมุมของว่าง เครื่องดื่ม จัดจำหน่าย

The last 3 performance reservation in advance

28th / 29th April 2009 ( 50 Baht )
30th April 2009 ( fund raising / suggested donation 100 Baht )

Show time 19.00 pm.
@ Thepsiri Gallery, Soi Wat Umong behind the CMU campus Chiang Mai
Please come 30 mins before to enjoy the gallery, including a
special exhibition called “Illustration”
by invited artist Mr. Wonaek Juntaratip from Pong Noi Art Space
Cafeteria corner is available on the performance day

Tel 085 040 1565 www.wanderingmoontheatre.com


Monday, April 27, 2009

MONSTER BY HANDS @ PONG NOI ART SPACE

แวะไปดูมาวันท้ายๆ งานแล้ว
ตุ๊กตาแต่ละตัวน่ารักและกวนตีนมาก!
(ได้ข่าวว่ามีคนจองซื้อไว้เพียบเลย)
รูปที่เห็นแปะอยู่บนผนังคือรูปของชาวบ้านพนักงาน
ที่มาทำเวิร์คช้อปกับศิลปิน วิภู ศรีวิลาส
(ศิลปินไทนสัญชาติออสเตรเลีย/ศิลปินพำนักคนแรกของไทยศิลาดล)
แล้วก็ปั้นสัตว์ประหลาดเหล่านี้ขึ้นมา

น่าเสียดายแทนคนที่มีโอกาสแต่ไม่ได้ไปดู

ปล ชอบน้องปากแดงที่สุด!


The Book of Bunny Suicides: BOOK


เล่มนี้อ่านนานมากแล้ว แต่เพิ่งได้ลิ้งค์มา เลยเอามาแปะดีกว่า
ชอบที่อ่านแล้วรู้สึกว่าทุกๆ เรื่องในโลก มีวิธีอธิบายได้หลายแบบ
แม้กระทั่งเรื่องโหดๆ ผิดศีลธรรม และบางความเชื่ออย่างการฆ่าตัวตาย
ก็สามารถอธิบายด้วยอารมณ์ขันเยี่ยงนี้

http://www.jimmyr.com/blog/Bunny_Suicide_Comic_Pics_226_2007.php


ขอเชิญอ่านได้ตามอัธยาศัยนะ

(กระต่ายกวนตีนโคตร!)

^^

เขียนโดย Andy Riley

Friday, April 24, 2009

THE MASTURBATE: PARTY


ข่าวฝากจากชาว Cosmic (บางกอก) ^^

ปล Rabbit Love 'Yellow Fang'!
..........................................

THE MASTURBATE!!
Cosmic cafe
Saturday 25 April 2009
Start 05.00pm. To 02.00am.
Video Art, Music Video, Short Film, Photography, Live Music, Poem, Interactive Art การผสมผสานศิลปะดนตรีและความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินหลาก Genaration ครั้งแรกของ Cosmic Cafe

นำโดย

นิวัติ กองเพียร
เป็นเอก รัตนเรือง
นนทรีย์ นิมิบุตร
โลเล
เกี้ยมอี๋
ปริทัศน์ กองเพียร, ธนัญชนก สุบรรณ ณ อยุธยา, ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์
สรพันธ์ กิ่งพโยม
วุฒิกร คงคา
เปรง ยาซึ
วงนั่งเล่น
วง Tom&Stawberry
วง The Diet Pills
วง Keylookz
วง Yellow Fang

Thursday, April 23, 2009

QUICK BITES: DESIGN FOR BETTER EATING: EXHIBITION



ข่าวจาก TCDC บางกอก ^^
...........

เชื่อหรือไม่ คนกรุงเทพฯ กินอาหารหาบเร่แผงลอย ในมูลค่าหมุนเวียนกว่า 150 ล้านบาทต่อวัน หรือ 54,750 ล้านบาทต่อปี
ความสรรจะกินและกินทั้งวัน ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมชั้นยอดที่ปลอดรางวัลโนเบล แต่สามารถเลี้ยงปากท้อง ส่งลูกเรียนเมืองนอกจบมาแล้วหลายคน พิสูจน์ความ "เวิร์ก" ของบรรจุภัณฑ์ฉลาดใช้ที่ประยุกต์จากของใกล้ตัวเพื่อลดต้นทุน
ใครจะคิดว่านักประดิษฐ์ริมฟุตบาทจะสรรสร้างกลยุทธ์การตลาดเพิ่มยอดขายได้อย่างน่าอัศจรรย์ พบกับตำนานสู้แล้วรวยของธุรกิจดีลิเวอรี่ที่พัฒนาจากหาบเร่สมัยก่อนคุณทวด จนถึงเครือข่ายซาเล้งผลไม้
เปิดปริศนาการแสดงรถเข็นระเบิดครั้งแรกในเมืองไทย วิเคราะห์ความเป็นมาของครัวริมทางอันคุ้นเคย พร้อมเจาะลึกความต้องการของพ่อค้าแม่ขายและคนกรุงนักกินกว่า 1,600 คนกับเอแบคโพล เพื่อยกระดับวิถีอร่อยริมทาง

Every year, the street stalls of Bangkok generate a turnover of more than 54,750 million baht, quelling the hunger and quenching the thirst of the city's inhabitants.
This "eat-all-day" obsession has created Bangkok's renowned 24/7 city-wide buffet, and along with it countless food, packaging and catering innovations. Low cost, and adapted from everyday objects, these designs for better eating show off Thai common sense and quirkiness. Behind them are some of the city's most successful business stories.
What opportunities lie hidden in a nation's quest for quick bites, day and night? Discover how sidewalk entrepreneurs have transformed their sales through wok-grown marketing strategies.Be inspired by the rags-to-riches story of the fruit cart franchise which grew from great granddaddy's hawker basket into one of the capital's biggest street fruit vendors.
Marvel at the ingenuity of the humble street cart, exploded to expose its design matrix. And listen to 1,600 curbside vendors and customers share their complaints with ABAC Poll, in the biggest survey of how people really want to eat in Bangkok.

Wednesday, April 22, 2009

TWILIGHT: MOVIE


ก็เพิ่งจะได้ดูกะเขา (ช้าตามเคย)
โอว...อะไรจะรักกันปานนั้น
-_-'

ชอบบุคลิกไม่แยแสคนอื่นของตัวละคร Bella (แสดงโดย Kristen Stewart)
ชอบความกล้าหาญที่พร้อมจะยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
จากการตัดสินใจของตัวเอง

แล้วก็ชอบวิวในหนัง...สวยมาก

ปล เพื่อนผู้หญิงเกือบทุกคนที่รู้จักที่ได้ดูแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...อยากถูกกัด!

Directed by Catherine Hardwicke

Tuesday, April 21, 2009

DISCOVER MORE MAGIC OF YOUR "HANDS": WORKSHOP


ได้รับข่าวมาจากเก๋ แห่ง Likaybindery
(มีลิ้งค์อยู่ใน Rabbit friends ด้วยนะ ^^)

ลิเกบายเดอรี่ คือสตูดิโอขนาดย่อมเยาว์ ทำงาน ตัด พับ ติด เจาะ ปะ เย็บ สมุดและงานกระดาษ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2548 โดย มะลิ จาตุรจินดา (LI) และ พันทิพา ตันชูเกียรติ (KAY)

ที่จริง RH มีโครงการจะทำงานร่วมกับลิเกฯ อยู่แล้ว (เราชอบงานของลิเกฯ มาก) สำหรับชาวเชียงใหม่โปรดติดตาม

ส่วนชาวบางกอก ขอเชิญติดตามรายละเอียดได้ในโปสเตอร์ หรือที่นี่ http://www.likaybindery.blogspot.com/

^^

Monday, April 20, 2009

The Reader: BOOK


นี่ก็เพิ่งได้อ่าน ^^
ได้รับมาจากพี่ 'ปราย ตั้งแต่เมื่อปี 02 (ตอนนี้ 09 ก็เจ็ดปีพอดี)
ชอบความรู้สึกของตัวละครเอกที่ตกอยู่ตรงกลางระหว่างช่องว่างอันหนึ่งกับช่องว่างอีกอันหนึ่ง

ตอนหนึ่งในเรื่อง ตัวเอกรู้สึกว่า

...ผมต้องการเข้าใจในสิ่งที่ฮันนาทำ แต่ในขณะเดียวกัน ผมต้องการจะประณามมันด้วย แต่มันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเกินไป เพราะเมื่อผมพยายามทำความเข้าใจการกระทำแบบนั้น ผมก็เกิดความรู้สึกว่าผมไม่ควรจะประณามเธอ และเมื่อผมประณามด่าว่าการกระทำแบบนั้น มันก็ไม่มีที่ทางเหลือให้กับความเข้าใจ แต่ผมจะต้องทำความเข้าใจกับการกระทำของฮันนาให้ได้ เพราะการไม่ยอมเข้าใจเธอก็เหมือนกับว่าผมทรยศต่อเธออีกครั้งหนึ่ง ผมยังหาทางออกไม่ได้ ผมต้องการให้ตัวเองทำได้ทั้งสองอย่าง ทั้งเข้าอกเข้าใจและทั้งประณาม แต่มันก็สุดวิสัยที่จะทำทั้งสองอย่างได้พร้อมกัน...

อ่านจบแล้วเหมือนได้ยินเสียงในหัวของคนเยอรมันรุ่นใหม่ที่มีต่อบรรพบุรุษของเขาในช่วงสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว

ถ้าเกิดขึ้นในบ้านเรา เราจะรู้สึกยังไงนะ

เขียนโดย Bernhard Schlink
แปลโดย สมชัย วิพิศมากูล

มันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง


ขอเกริ่น...

เพิ่งได้อีเมลนี้มา (อีกแล้ว-มีคนบอกว่าเขาได้รับกันนานแล้ว)
แต่คิดว่าน่าจะเอามาหารือกัน

ส่วนตัวอ่านแล้วคิดว่าน่าสนใจ และไม่เห็นด้วยกับหัวจั่วอีเมลที่ว่า "อ่านแล้วไม่อยากไปลาวเลยหวะ (ผู้ ญ อ่านเหอะ)" เพราะอ่านแล้วไม่รู้สึกว่าเป็น ที่ไหน แต่รู้สึกว่าเป็น เรื่องอะไร

มันเป็นเรื่องของ การเดินทาง
บนสมมติฐานว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ

หมายความว่า ถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ที่ไหน ก็ไม่มีความหมาย เพราะมันไม่ได้เกิด
แต่ถึงแม้ว่าถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ มันก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ที่ช่วยให้เราจินตนาการถึงสิ่งที่ อาจจะ เกิดขึ้นได้

ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับว่า ที่ไหน อยู่ดี

มันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง...ไม่ว่าที่ไหน

ท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ลองอ่านดูนะครับ
ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย

^^
วชิรา
(มาอย่างสันติ)

ปล ผมลอกแปะลงมาโดยไม่ได้แตะต้องข้อความใดๆ ทั้งสิ้น ช่วยกระเถิบบางบรรทัดขึ้นให้เท่านั้น

.........................................................................

เที่ยวลาว : ผู้หญิงไปกันเองโดยลำพังต้องระมัดระวังให้มาก อันตรายครับ

เที่ยวนี้ผมเข้าลาวเป้าหมายไปหลวงพระบาง-วังเวียง โดยเวียงจันทน์เป็นทางผ่าน ผมเข้าลาวตั้งแต่หัวค่ำวันที่ 1 กพ.พักที่วียงจันทน์ก่อน รุ่งขึ้นเข้าหลวงพระบาง

ที่หลวงพระบาง ผมเดินเที่ยวเองในเมือง เนื่องจากความตั้งใจต้องการไปวัด โบราณสถาน โรงเรียนและใส่บาตรข้าวเหนียวเป็นหลักซึ่งส่วนใหญ่สถานที่หลักๆก็อยู่ในเมือง ส่วนสถานที่อื่นๆ หากมีเวลาก็ไป พักอยู่สองคืนก็เดินทางย้อนกลับเข้าวังเวียง พักสองคืน

ที่วังเวียง เป้าหมายคือธรรมชาติ กระโดดน้ำ ถ้ำน้ำ ถ้ำอื่นๆ และหากอยู่แล้วชอบอาจพักหลายคืน
เนื่องจากเที่ยวนี้พอมีเวลาแต่แล้วผมก็พักอยู่แค่สองคืน คืนที่สองผ่านไปรุ่งเช้าคือวันที่ 6 กพ.
ผมเก็บข้าวของเดินทางรวดเดียวจากวังเวียง-กรุงเทพฯ ต่อรถเรื่อยๆไม่หยุดพักค้างคืนที่เวียงจันทน์หรืออุดรฯอีกคืน ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะพักที่เวียงจันทน์หรืออุดรฯอีกคืนปิดท้ายการเดินทาง เนื่องจากได้รับรู้เหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาจะพบเห็น ทำให้ไม่สบายใจ

เรื่องราวที่ไม่พึงปรารถนาจะพบเห็นและทำให้ไม่สบายใจ เกิดขึ้นที่วังเวียง

เหตุการณ์เกิดตอน 1day trip ที่วังเวียง
ผมซื้อความสบายหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีมีความปลอดภัย
ไม่ต้องดิ้นรน หนึ่งวันจะประกอบด้วย นั่งห่วงยางลอดถ้ำน้ำ
เลี้ยงอาหารกลางวันมีข้าวผัด บาบีคิว กล้วยน้ำว้าสองใบ มีน้ำดื่มให้หนึ่งขวดใหญ่
พายเรือคะยัค กระโดดน้ำ และพายเรือคะยัคต่อหรือล่องห่วงยางถึงวังเวียง แล้วแต่เวลา

1day trip ผมซื้อในราคา 90000 กีบโดยไม่ต่อราคา(เข้าใจว่าต่อได้)
ในคืนวันที่ 4 กพ.ที่ไปถึงวังเวียง เช้าวันต่อมา 5 กพ. คนของทัวร์มารับยังที่พัก 9.30 น.
พาขึ้นรถบรรทุกตะเวนรับนักท่องเที่ยวตามที่พักหรือสำนักงานขายทัวร์รวมกันไปด้วยรถบรรทุกสองคัน
ช่วงที่รับคนญี่ปุ่นขึ้นรถ ได้ยินชาวลาวคุยกันว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นสวยด้วยแล้วก็หัวเราะกัน (ภาษาลาว แต่พอฟังออก) ทั้งหมดรวมกันประมาณ 24-27 คน ผมจำไม่ได้แน่นอน

ใน trip นี้มีผมเป็นคนไทยคนเดียว นอกนั้น ผู้ชายชาวอินโดฯ 1 คน
ชายชาวเกาหลีหนึ่งคนมากับผู้หญิงชาวลาว(คาดว่าเป็นผู้หญิงกลางคืน)
สาวญี่ปุ่น 4 คน นอกนั้นฝรั่งทั้งนั้นหลายชาติหลายภาษา

รถบรรทุกขับพาลูกทัวร์ออกนอกเมืองไปประมาณ 15 กิโลฯทางที่จะขึ้นไปหลวงพระบาง
เมื่อไปถึงรถเลี้ยวจากทางหลักเข้าซอยที่เป็นฝุ่นแดงไม่ไกลนัก คณะทัวร์ก็ลงจากรถเดินเข้าไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงถ้ำน้ำ
ตรงนี้ไกด์จะจัดแบตเตอรี่พร้อมหลอดไฟมีสายคาดที่ศรีษะโดยให้หลอดไฟอยู่ตรงหน้าผากนักท่องเที่ยวพานั่งห่วงยางเข้าไปในถ้ำน้ำใช้เวลา
ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เวลาเหมาะสม ตอนนี้ก็สนุกดี น้ำเย็น สะอาดอยู่ เหนื่อยนิดหน่อย ผมไม่ได้ถ่ายรูปเพราะกลัวเปียกน้ำ
ไปคนเดียวถ่ายรูปตัวเองขณะนั่งห่วงยางลอดถ้ำน้ำก็ไม่ได้และเป็นภาระ นำแต่กระเป๋าเงินกับกุญแจห้องพักและกุญแจล็อคกระเป๋าเดินทางใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมมาจากบ้านเอง ใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้นที่มีซิป(ทัวร์จะมีถุงกันน้ำให้ แต่ผมไม่ต้องใช้เพราะไม่เอาอะไรติดตัวไป หากใครนำผ้าเช็ดตัว หมวก แว่นกันแดด ครีมกันแดด กล้องถ่ายรูป และอื่นๆก็ต้องใช้ถุงกันน้ำ) อ่อ..ฝรั่งบางคนกล้องถ่ายรูปกันน้ำ เขาก็นำติดตัวไป เข้าใจว่าแพง ผมไม่มีปัญญาซื้อ

ช่วงระหว่างลอดถ้ำน้ำ ไกด์จะเข้าไปด้วยบางคน บางคนก่อไฟปิ้งบาบีคิว เพื่อเป็นอาหารกลางวันสำหรับนักท่องเที่ยว

หลังจากเสร็จจากถ้ำน้ำก็ทานข้าวกลางวันกันที่นั่น ไกด์มากัน 6 คน ก็ช่วยกันแจกข้าวกล่อง
บาบีคิวคนละสองไม้ ขนมปังแบบฝรั่งเศส 1 ชิ้น กล้วยน้ำว้า 2 ใบ เมื่อทานเสร็จไกด์ก็เรียกนักท่องเที่ยวบอกเราจะไปถ้ำช้างกัน

ช่วงนี้เองเริ่มมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น

เรื่องผิดปกติคือเมื่อไกด์เรียกนักท่องเที่ยวไปต่อ ผมเดินขึ้นไปก่อน
ส่วนคนอื่นๆก็เก็บข้าวของทยอยตามมา ช่วงที่รอคนอื่นผมก็ยืนคุยกับไกด์ชาวลาว สะดุดตรงคำพูดที่ว่า

"ไกด์ : พี่มาคนเดียวหรือ กลับพรุ่งนี้หรือป่าว ค่ำนี้ค้างแถวสไลด์เดอร์เช้าเขาจะไปส่งที่พัก
ผม : มีอะไรหรือ ถึงให้ค้างที่นั่น
ไกด์ : ผู้หญิงญี่ปุ่น 4 คน ไม่มีผู้ชายมาด้วย เดี๋ยวผมจัดให้พี่หนึ่งคน (สาวญี่ปุ่นมากันสี่คนยังเด็กทั้งหมดเรียนหนังสืออยู่ เพราะได้ทักทายกันบ้างนิดหน่อย)
ผม : พยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร (ในตอนนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าผิดปกติ ไกด์มีสิทธิ มีอำนาจสั่งคนญี่ปุ่นได้ขนาดนั้นหรือ และ"จัดให้" ที่ว่าหมายถึงอะไร)"

พอนักท่องเที่ยวอื่นๆเดินมาถึงก็หยุดคุยกันและเดินต่อไปถ้ำช้าง ไปถึงผมก็เข้าไปไหว้พระ
ไกด์ก็อธิบายให้นักท่องเที่ยวคนอื่นฟังเกี่ยวกับพระพุทธรูปและเรื่องราวทางศาสนา ผมไหว้พระเสร็จก็ออกมายืนฟัง

เสร็จจากถ้ำช้างไกด์ก็เรียกขึ้นรถ รถขับพากลับไปทางที่จะเข้าวังเวียงประมาณ 5 กิโลฯ เพื่อเอาเรือคะยัคลงลำน้ำชอง
ไกด์ก็อธิบายการพายเรือให้นักท่องเที่ยวฟัง แล้วก็จัดให้นักท่องเที่ยว ใครจะพายคนเดียว ใครจะพายสองคน
ช่วงนี้ไกด์จัดให้คนญี่ปุ่นหนึ่งคนลงเรือคะยัคไปกับผม ผมปฏิเสธบอกพายเรือไม่เป็น ขอไปกับไกด์ดีกว่า

เมื่อเรือคะยัคพายมาได้ช่วงหนึ่ง ถึงตรงกระโดดน้ำก็หยุด แวะให้นักท่องเที่ยวกระโดดน้ำ
ผมโดดไปสองหนก็สนุกเที่ยวแรก เที่ยวหลังเริ่มไม่หวาดเสียวก็เลยพอ ยืนดูดีกว่า ฝรั่งสนุกสนานมากกินเหล้ากินเบียร์กัน
ผมหันไป-มามองคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย หันไปเจอกลุ่มไกด์กำลังก่อไฟในเตาถ่านปิ้งปลาที่จับในลำน้ำชองกินกับข้าวเหนียว
ไกด์กวักมือเรียกผม ผมก็เดินเข้าไป ไกด์ชวนให้กินด้วย ผมบอกอิ่มกินไม่ไหว ไกด์จึงล้วงขวดเหล้าออกมา ยี่ห้อเหล้าไม่คุ้น
เข้าใจเองว่าเป็นเหล้าท้องถิ่นของลาวชวนผมกินด้วย ผมบอกกินเหล้าไม่เป็น

ผมนั่งคุยกับไกด์ได้สักพัก เหล้าเหลือครึ่งขวด ไกด์ล้วงกระเป๋าสะพายดึงของออกมาสองซอง
ฉีกแล้วเทลงขวดเหล้าที่เหลือครึ่งขวด (ผมเห็นแบบนั้นนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของไกด์ทันที
"ผู้หญิงญี่ปุ่นสวยด้วย"ตอนเพิ่งขึ้นรถในวังเวียง กับ "พี่มาคนเดียว ค่ำนี้พักที่นี่ เดี๋ยวผมจัดคนญี่ปุ่นให้หนึ่งคน")
ซองแบบนั้นผมเคยเห็นเมื่อตอนที่ไปแม่สายข้ามไปท่าขี้เหล็ก คนที่เคยไปคงนึกภาพออกถึงคนพม่าสะพายตะกร้าห้อยคอขายไวอะกร้าและสินค้าอื่นๆ
รวมทั้งซองแบบนี้ด้วย บนซองจะมีภาพพิมพ์รูปผู้หญิง ผมบอกไกด์ปวดถ่ายเบาลุกเดินออกมา แล้วเดินไปหาที่ถ่ายเบา
ในความคิดตอนนั้นเริ่มแน่ใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่มันอาชญากรรมแล้ว ผมจะจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างไร

เมื่อถ่ายเบาเสร็จ ผมเดินไปดูตรงที่กระโดดน้ำ ซึ่งคนญี่ปุ่นสี่คนกระโดดน้ำแล้วมายืนอยู่แถวนั้น
ผมยืนและครุ่นคิดในใจจะเอาไงดี จะบอกคนญี่ปุ่นดีหรือไม่ ผมมายืนตรงนี้หลังจากถ่ายเบาประมาณไม่ถึงนาที
หนึ่งคนในคณะไกด์ก็เดินมาพร้อมขวดเหล้า ผมไม่ได้หันไปมอง ตาน่ะมองคนกระโดดน้ำ แต่หางตามองไปทั่ว สมองก็คิดเริ่มเครียด

ไกด์รินเหล้าใส่แก้วใสใบเล็กๆให้คนญี่ปุ่นกิน เขาก็กินแฮะ ชิมนิดหน่อย ไกด์กวักมือแสดงท่ากินให้หมด คนญี่ปุ่นก็ว่าง่ายกินหมดแก้ว จนครบ 4 คน

ผมเข้าใจว่า คนญี่ปุ่นคงนึกว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของบริการใน trip อาจจะประกอบกับอาการสนุกสนาน ตื่นเต้น เหนื่อย ระคนกันไป ที่สำคัญยังเด็กด้วย

ผมยืนอยู่ข้างๆห่างไม่เกินสองเมตรเห็นเหตุการณ์นั้น ไม่สบายใจเลย

สักพักหลังจากคนญี่ปุ่นกินเหล้าครบทั้ง 4 คน ไกด์เรียกกลับแล้ว (เร็วกว่าเวลาตาม trip หนึ่งชั่วโมง) ร
ะหว่างทางเดินจากที่กระโดดน้ำถึงเรือคะยัค ไกด์เดินมาคุยกับผมบอก จะแยกกรุ๊ปทัวร์ออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกเขากับเพื่อนอีกคนจะพานักท่องเที่ยวพายเรือคะยัคกลับเข้าวังเวียงจบ trip แล้วแยกคนญี่ปุ่น 4 คนกับผมออกไปที่สไลด์เดอร์
โดยมีหนุ่มเกาหลีกับสาวกลางคืนชาวลาวและคณะไกด์ที่เหลืออีก 4 คนอยู่ด้วย โดยไกด์บอกผมว่าไปส่งนักท่องเที่ยวกลับแล้วเดี๋ยวจะกลับมา

ตามโปรแกรมทัวร์ สไลด์เดอร์ไม่อยู่ในรายการ trip นี้ และคนที่เคยไปคงนึกภาพออกแถวสไลด์เดอร์มีร้านขายเหล้าเบียร์มีดนตรี และละแวกนั้นมีบังกะโลหรือจะเรียกกระท่อมเป็นหลังๆ ก็แล้วแต่จะเรียก คนไม่เยอะ ไม่เหมือนแถวกระโดดน้ำ ระหว่างพายเรือคะยัคจากจุดกระโดดน้ำถึงสไลด์เดอร์น่าจะประมาณไม่เกิน 10 นาที ผมนั่งมาในเรือกับไกด์เหมือนเดิม ถึงไลด์เดอร์ ไกด์พายเรือจะเข้าฝั่งส่งผม แล้วค่อยพานักท่องเที่ยวฝรั่งอื่นๆกลับวังเวียง พอเรือใกล้ฝั่งผมหันไปบอกไกด์ผมเหนื่อยมาก เพลียและเจ็บตัวจากที่ขาผมขูดกับเตียงนอนของที่พักเป็นแผล เมื่อโดนน้ำแล้วผมกลัวไม่สะอาดจะรีบกลับไปทำแผล แล้วผมไม่ชอบคนญี่ปุ่นชอบคนไทยมากกว่า เขาตอบกลับมาว่าเที่ยวนี้ไม่มีคนไทย อาทิตย์ที่แล้วสิคนไทย ผมได้ยินแบบนั้นก็ทำเฉยๆ
บอกไปอีกว่าผมกลับดีกว่า (ช่วงนั้นผมไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องอื่น คิดอยู่แต่เรื่องจะทำอย่างไรดี เอาไงดี รวมเวลาตั้งแต่ที่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุอะไรคือเห็นฉีกซองใส่ขวดเหล้าจนถึงสไลด์เดอร์น่าจะประมาณ 15-20 นาที ) ไกด์จึงตะโกนบอกเพื่อนให้ชวนหนุ่มอินโดฯอยู่ด้วย หนุ่มอินโดฯก็เลือกที่จะอยู่

ที่ผมตัดสินใจกลับเข้าวังเวียง นึกอยู่ว่า นี่ต่างถิ่น ไกด์ 6 คนและอาจมากกว่า ส่วนผมคนเดียว เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มี ผมตัดสินใจนิ่งเฉยปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร ฉีกตัวเองออกจากเหตุการณ์

เมื่อกลับถึงที่พักก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมานั่งสั่งข้าวกินที่รีสอร์ท ระหว่างกินไปก็ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ ลำดับเหตุการณ์ ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่สบายใจ ใจอยากกลับเมืองไทยเดี๋ยวนั้น แต่ความจริงกลับไม่ได้หรอก ไปไม่ทันด่านปิดแน่ คืนนั้นผมนอนไม่หลับเกือบตลอดคืน ทั้งๆที่เหนื่อย เพลีย ปวดเมื่อยไปหมด นึกถึงแต่เหตุการณ์และการตัดสินใจของตนเอง ผมยอมรับนอนน้ำตาไหลบนที่นอน ทั้งๆที่เด็กสาวชาวญี่ปุ่นไม่เกี่ยวข้องกับผม ไม่ใช่ญาติพี่น้องผมเลย

เช้าวันรุ่งขึ้นผม หารถ minivan (รถตู้เล็กฮุนได) กลับเข้าเวียงจันทน์ เช้าวันนั้น 6 กพ.
ที่วังเวียงฝนตกหนักด้วย ถึงเวียงจันทน์ที่ตลาดเช้า ผมซื้อตั๋วขึ้นรถเที่ยวบ่ายสองกลับไทยโดยไม่แวะเที่ยวที่เวียงจันทน์แล้ว


พูดถึงระยะเวลาของเหตุการณ์สั้นๆ 15-20 นาทีตอนนั้น แต่ในความรู้สึกผมมันช่างยาวนานมากเหลือเกิน คิด เลือกที่จะตัดสินใจกลับไป-มาหลายตลบเสมือนหนึ่งสับสนด้วย เครียดด้วย แล้วกับเด็กสาวชาวญี่ปุ่นทั้ง 4 คน คืนนั้นคงเป็นคืนที่ยาวนานมากกว่าผมหลายร้อยหลายพันเท่า

ตอนที่คิดกลับไป-มาหลายตลบนั้นมีหลายหนทางเหลือเกิน
-ชนเลยดีไม๊
-เลือกอยู่ต่อที่สไลด์เดอร์ดีไม๊
-เจรจากับไกด์ดีไม๊
-สุดท้ายผมตัดสินใจก่อนเรือถึงฝั่งที่สไลด์เดอร์ว่ากลับเมืองวังเวียง พร้อมทั้งนึกในใจพี่ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ช่วยน้องเลย
ที่ผมตัดสินใจกลับวังเวียง เนื่องจากคิดว่าผมไม่ใช่ตัวละครในไดฮาร์ดหรือแรมโบ้ อยู่กลางเขาสายน้ำชอง ต่างถิ่น ใกล้ค่ำแล้ว เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มี หากชนผมคงไม่ได้กลับเมืองไทย

อย่างหนึ่งคือ ตอนนั้นผมนึกถึงข้อความที่คุณป้อมโพสไว้ในนี้ว่า "ที่ลาวให้ระวังคนดีมากกว่าคนร้าย"

ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สบายใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แม้เหตุการณ์ไม่ได้เกิดผลร้ายต่อผม เพียงถูกไกด์พยายามดึงให้เข้าไปมีส่วนร่วม

ทำไมผมไม่โวยวายตรงกระโดดน้ำ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวฝรั่งเป็นร้อยเต็มไปหมด
ทำไมผมกลับถึงเมืองวังเวียงไม่เล่าให้เจ้าของรีสอร์ตฟัง
ทำไมผมไม่ไปแจ้งความกับตำรวจลาว
ทั้งสามกรณีผมบอกได้เลยว่าตอนนั้นนึกไม่ออก
ผมไปลาวเที่ยวนี้ ตั้งใจไปไหว้พระทำบุญ ตักบาตรข้าวเหนียว แต่กลับมาด้วยความไม่สบายใจ พบเห็นเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ไม่รู้ว่าตัวเองไปได้บุญหรือได้บาปกลับมา ไม่รู้ว่าตนเองเลือกหนทางถูกหรือไม่ ไม่รู้ว่าตนเองตัดสินใจถูกหรือไม่ ผมนิ่งเฉยไม่ทำอะไรทั้งๆที่คาดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวชาวญี่ปุ่นทั้ง 4 คน

ผมได้แต่กลับมาเตือนคนไทยด้วยกัน ไปเที่ยวลาว ผู้หญิงไปกันเอง ใช่ว่าปลอดภัย หากแต่อันตรายมาก

Sunday, April 19, 2009

REHEARSAL 01: PARTY


ข่าวฝากจากจีน (ex-futon)
รายละเอียดตามนี้จ้า


FRI 24/04/09 REHEARSAL 01
At Club Culture, Sri Ayudthaya Rd.
Near Phayathai BTS.


New materials & live gigs from...........

Gene Kasidit & The Anorexics
http://www.myspace.com/genekasidit

B 250 with 1 Drink.
9pm.


Let's rehears our dreams.......................................

All is full of whatever!
Love.
-- Gene Kasidit

Thursday, April 16, 2009

YOUTUBE SYMPHONY: MUSIC


ขอเชิญรับชม...และฟัง


^^

PINKY: CANDY


ลูกอมหวานเม็ดเล็กกลมๆ แบนๆ จากญี่ปุ่น
อร่อยมาก รสชาติชุ่มลิ้นและคอเป็นที่สุด
นานๆ จะได้กินสักที เพราะว่าต้องรอฝากเพื่อนที่ไปญี่ปุ่นซื้อมาให้

เมื่อนานมาแล้วเคยเอาไปเล่าให้พี่กาเหว่าฟัง (เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย)
หลังจากนั้นไม่นาน พี่กาเหว่ามาบอกว่า
ในบางกล่อง จะมีบางเม็ดเป็นรูปหัวใจปะปนไปกับเม็ดอื่นๆ

ก็ว่าน่ารักดีแฮะ

Wednesday, April 8, 2009

CHANGELING: MOVIE



พี่เกด (เจ้าของร้าน Mood Mellow) เพิ่งให้ยืมมาดู
ชอบที่ได้เห็นการดิ้นรนต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่าอย่างไม่คิดชีวิต
ถึงแม้ว่าจะหวาดกลัว
แต่ก็ยืนยันที่จะซื่อสัตย์ต่อสัญชาตญาณตัวเอง
จนได้รับการยื่นมือช่วยเหลือ

Directed by Clint Eastwood

^^
rb

Tuesday, April 7, 2009

EATING PARTY*9


ข่าวสารจากชาว minimal
ปาร์ตี้กินแมลงกลับมาแล้ว
RH ไปช่วยเปิดเพลงเช่นเดิม

เจอกันวันเสาร์นี้เน่อ
^^

OPENING HESHEIT 1+2+3


เข้าไปเจอในเว็บไต้ฝุ่นเลยขออนุญาตเอามาบอกต่อนะครับ
แฟนๆ ตั้มหรือแฟนๆ hesheit ที่อยู่กรุงเทพฯ ในช่วงนั้นก็ลองไปฟังกันดูนะ

ถ้าสนใจรายละเอียดกว่านี้
ลองเข้าไปติดตามในเว็บไต้ฝุ่นนะครับ

http://www.typhoonbooks.com/web/typhoon_thai.html

Monday, April 6, 2009

Powerful earthquake in central Italy


เกิดเหตุแผ่นดินไหวในอิตาลี ที่เมือง L'Aquila ตอนตีสามครึ่ง (เวลาท้องถิ่น)
คาดว่าถึงตอนนี้มีคนเสียชีวิตราว 20
และยังมีคนสูญหายอีก

เข้าไปดูภาพข่าวได้ที่นี่นะ
http://cosmos.bcst.yahoo.com/up/player/popup/?rn=3906861&cl=12835475&ch=4226714&src=news

(ภาพจากสำนักข่าว AP)

Hey Mickey!


เพื่อนส่งมาให้ทางเมล สันนิษฐานว่าตั้งอยู่หน้า PlayGround ทองหล่อ
ไม่รู้ว่าอยู่ที่นั่นจริงมั้ย? หรือว่าถ้าเคยอยู่ ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่มั้ย?

ที่จริงก็ไม่น่ายกออกเลยนะ ตลกดีออก ^^

Thursday, April 2, 2009

DOTS LINES COLORS CIRCLES: DRAWING EXHIBITION



เมื่อคืนก่อนไปงานนิทรรศการของพรเทพที่ minimal
งานเขาน่ารักดี เราเคยเจอกันที่ปาย (เขาเคยวาดกระต่ายให้ตัวหนึ่งด้วย)
ในงานมีต้น หุ่นพูด มาแสดงให้ชมกันสดๆ ด้วย
(เพิ่งรู้ว่าต้นอยู่เชียงใหม่ ไม่ได้เจอกันนาน)

ถ่ายรูปมาให้ดูพอหอมปาก ใครว่างๆ ขอชวนไปชมได้ที่ minimal รายละเอียดตามในโปสเตอร์นะ ^^

โพรง (11): ปลาเทราท์บนภูเขา



พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2552

โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา

http://www.rabbithood.net/


ปลาเทราท์บนภูเขา

สัปดาห์สุดท้ายก่อนเข้าช่วงเทศกาลปีใหม่ ผมมีโอกาสได้พบปะกับเปเล่และเร แมคโดนัลด์ ในช่วงเวลาที่พวกเขาขึ้นมาถ่ายทำรายการท่องเที่ยวรายการใหม่ชื่อ Journey โดยเลือกเชียงใหม่เป็นตอนแรกที่ออกอากาศ

ถ้าเป็นคนที่ติดตามรายการโทรทัศน์อยู่บ้าง คงพอจะรู้ว่าเรนั้นทำรายการท่องเที่ยวมาแล้วเกือบทั่วโลก ภาพชีวิตของเขาในสายตาของคนทั่วไปถือเป็นภาพที่น่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้เที่ยวและทำงานไปพร้อมๆ กัน (ก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนเพิ่งรวบรวมเงินออกเดินทางโดยรถไฟจากเมืองไทยไปยุโรป แล้วเอากลับมาทำเป็นรายการท่องเที่ยวทางทีวีที่ชื่อ Roaming)

รายการใหม่นี้เป็นครั้งแรกที่เรทำรายการท่องเที่ยวในประเทศ

ตลอดหนึ่งวันที่คลุกคลีอยู่ด้วยกัน ผมกับเรและเปเล่ได้มีโอกาสคุยกันหลายเรื่อง ทั้งการโยกย้ายมาอยู่เชียงใหม่ของผม ภาพชีวิตจริงๆ ของเขาที่เราไม่ได้เห็นทางทีวี และการเลือกเชียงใหม่เป็นทริปแรกของรายการ หลายๆ ช่วงของการสนทนาผมตั้งข้อสังเกตว่าเชียงใหม่ในสายตาของนักท่องเที่ยวหรือคนที่ไม่ได้พำนักอยู่ที่นี่ มักเป็นเชียงใหม่ในความหมายของเขตตัวเมืองเท่านั้น

หลับตาก็เห็นท่าแพ ลืมตาก็เห็นนิมมานฯ

ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ เวลาใครพูดถึงโตเกียว ผมเองหลับตาก็เห็นชิบุยะ ลืมตาก็นึกถึงฮาราจูกุและรปปงหงิ ผมเดาสุ่มเอาว่ากระบวนการรับรู้ของคนเรานั้นเกิดขึ้นจากข้อมูลที่ได้รับและพฤติกรรมความต้องการในการรับรู้ ตามประสานักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่มีเวลาน้อย จึงได้รับรู้เฉพาะเรื่องราวของจุดหมายที่เป็นที่นิยม (ทางเศรษฐกิจ!) และมีแนวโน้มว่าความสนใจจะหยุดอยู่แค่นั้น ตามเงื่อนไขของเวลา

ตามแผนการชีวิตส่วนตัว (ที่ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง) ผมตั้งใจว่าปีแรกจะวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ในเมือง พอขึ้นปีที่สองก็ตั้งใจว่าจะออกไปเที่ยวเล่นนอกเขตเมืองบ้าง ไปเที่ยวแบบไปเที่ยวจริงๆ ไม่ได้ไปทำงานหรือทำภารกิจใดๆ ทั้งสิ้น

แล้วก็บังเอิญให้มีเพื่อนๆ ชวนไปเที่ยวโครงการหลวงที่ดอยอินทนนท์

อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการหลวงมากนัก นอกจากผักผลไม้แปลกๆ ที่หาซื้อได้ในร้านจำหน่ายของโครงการฯ เมื่อค้นคว้าภายหลังจึงพบรายงานเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับโครงการหลวง” ของคุณ เพชรดา ชุนอ่อน มูลนิธิเกี่ยวกับศิลปะ ที่นำเสนอต่อ มูลนิธิทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เดือนพฤษภาคม ปี 2551 เขียนอธิบายถึงที่มาของโครงการไว้ว่า “มูลนิธิโครงการหลวง หรือชื่อในตอนแรกก่อตั้งว่า “โครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา” เกิดขึ้น เมื่อ พ.ศ.2512 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดตั้งโครงการ มีหม่อมเจ้า ภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือราษฎรชาวเขาในด้านความเป็นอยู่ กำจัดการปลูกฝิ่น และทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขา และรักษาฟื้นฟูสภาพดิน และให้มีการใช้พื้นที่อย่างถูกต้อง มูลนิธิโครงการหลวงได้รับความร่วมมือช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งนอกจากการจัดหาพันธุ์พืชมาให้เกษตรกรปลูกแล้ว มูลนิธิโครงการหลวงยังรับซื้อผลผลิตจากเกษตรก เพื่อนำออกจำหน่ายในรูปแบบผลิตภัณฑ์สด และเปิดโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ตลอดจนให้คำแนะนำในการเพาะปลูกและดูแลรักษาพืชอีกด้วย”

เฉพาะที่โครงการหลวงดอยอินทนนท์นั้นก็เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2522 ตามพระราชประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวไทยภูเขาให้มีพื้นที่ทำกินด้วยการปลูกพืชทดแทนฝิ่นเพิ่มรายได้จากการทำเกษตรและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขา ทั้งยังสร้างแนวป้องกันการบุกรุกแผ้วถางป่าเปลี่ยนการทำไร่เลื่อนลอยให้เป็นเกษตรแบบยั่งยืนและฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

ที่ผมสนใจเป็นพิเศษเห็นจะเป็นการเพาะเลี้ยงปลาเทราท์ (Trout)
สนใจเพราะว่ารู้สึกแปลกดีที่มีการเพาะเลี้ยงปลาบนภูเขาสูง

ช่วงที่คณะของเราเดินทางไปเที่ยวนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว ได้ยินว่าอุณหภูมิราวสิบกว่าๆ องศาในตอนหัวค่ำ เวลาคุยกันมีไอพวยพุ่งออกมาจากปากชวนให้ระลึกถึงฤดูหนาวสมัยเด็ก ไปถึงก็ไม่ได้ทำอะไรกันมากมาย หิวก็เดินมากินอาหารที่ร้านอาหารในโครงการ อิ่มก็เดินกลับไปนั่งคุยกันที่บ้านพัก ตามประสาเพื่อนๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันมากนัก

เช้าอีกวันก็ออกไปเที่ยวเล่นชมแปลงผลไม้ดอกไม้ เดินดูแปลงสตรอว์เบอร์รี่ แถมยังได้เด็ดชิมเคปกูสเบอร์รี่พันธุ์เล็ก (ลูกเท่าปลายนิ้วก้อย) ที่มีรสชาติเหมือนใส่นมลงไปด้วย (เพื่อนที่ทำงานโครงการหลวงอธิบายว่าเคปกูสฯ พันธุ์นี้ยังไม่มีวางจำหน่ายเพราะเพิ่งผลิตได้หมาดๆ)

เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นเชฟ เล่าว่าเคปกูสเบอร์รี่นั้นเป็นผลไม้ Hi End ในร้านอาหารใหญ่ๆ ที่เมืองนอก เขาเองก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่าปลูกที่นี่ได้ และขายในราคาย่อมเยามาก

บ่ายหน่อยก็ถึงคิวบ่อปลาเทราท์ (หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าเป็น ‘งานวิจัยประมงที่สูง’)
ปลาเทราท์เป็นปลาในตระกูลเดียวกับแซลมอน พบได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำทะเล ปลาเทราท์ที่เพาะเลี้ยงบนภูเขานี้เป็นการนำไข่ปลาเทราท์สายรุ้ง (Rainbow trout) จากอเมริกามาเพาะเลี้ยง ซึ่งเป็นปลาน้ำจืด พบมากในทะเลสาบและลำธารในตอนเหนือของทวีปอเมริกา ปลาเทราท์เป็นปลาที่ชอบว่ายน้ำไปมา ไม่ชอบอยู่นิ่ง ลำตัวมีเกล็ดขนาดเล็ก มีสีแดงคาดตามความยาวของลำตัวดูคล้ายสายรุ้งและชอบอาศัยอยู่ในน้ำเย็นที่สะอาด

ผมเดินป้วนเปี้ยนไปตามบ่อต่างๆ ชะโงกหาดูปลาตัวอ้วนๆ ยาวๆ ที่เพิ่งกินไปเมื่อคืน พยายามสังเกตอาการเคลื่อนไหวของพวกมัน แต่ก็ไม่พบอะไรเป็นพิเศษ (ผมเข้าใจว่าปลาส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยู่นิ่งอยู่แล้ว ยกเว้นปลาตัวโตๆ ในตู้ปลาแคบๆ) เงยหน้ามาเห็นฉากหลังเป็นภูเขาสูงสวยงาม ขณะที่เพื่อนๆ ก็เดินไปเดินมาถ่ายรูปเล่น พูดคุยขอความรู้จากเจ้าหน้าที่ที่ดูแล (ตอนก่อนกลับเจ้าหน้าที่พาไปชี้ที่บ่อของพ่อพันธุ์ให้ดูด้วย) ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเหตุการณ์ตื่นเต้น หวือหวา หรือมีความวิจิตรพิศดารแต่อย่างใด เป็นเพียงช่วงเวลาเรียบง่ายๆ ของกลุ่มเพื่อนกับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย

ผมคิดถึงคำตอบของเร ตอนที่ถามเขาว่านึกยังไงถึงทำรายการท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งที่คุณสมบัติอย่างเร ยังสามารถทำรายการท่องเที่ยวต่างประเทศไปได้อีกนาน

เขาตอบว่าหลังจากที่เดินมาแล้วมากมาย เพิ่งรู้สึกว่าไม่รู้จักบ้านของตัวเองเลย เรใช้คำว่าเขารู้สึกเป็น ‘คนแปลกหน้าในบ้านตัวเอง’

ถ้ากรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย หรือโตเกียวไม่ใช่ประเทศญี่ปุ่น เชียงใหม่ก็น่าจะมีเนื้อหามากกว่าเขตเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่รับรู้กันโดยทั่วไป

ออกไปรู้จัก ‘บ้าน’ ในความหมายจริงๆ ของมันกันเถอะครับ

ทะลุหูขวา (22): artist: Francis Lai


ทะลุหูขวา [Fall On Deaf Ears]
text by RabbitHood

Francis Lai

Francis Lai เกิดเมื่อปี 1932 ที่เมือง Nice (นีซ) ประเทศฝรั่งเศส เขาเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็ก และเริ่มหันมาสนใจดนตรีแจ๊ซเมื่อโตขึ้น จนเมื่อ Lai มีอายุในช่วง 20 เขาก็ติดตาม Claude Goaty เพื่อนรักนักร้องไปยังปารีสและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ดนตรีของ Montmartre (Montmartre คือเมืองภูเขา อยู่ทางตอนเหนือของปารีส มีชื่อเสียงมากเพราะว่าในสมัยก่อนมีศิลปินดังๆ ไปพำนักอาศัย-ปีกัสโซ่ก็เคยไปอยู่แถวนั้นตอนช่วงต้นศตวรรษที่ 19 หรือย้อนไปไกลอีกหน่อยตอนปลายศตวรรษที่ 18 Erik Satie นักประพันธ์เพลงและนักเปียโนคนสำคัญของโลกก็เคยอยู่แถวนั้นเหมือนกัน)

ในปี 1965 Francis Lai ได้พบกับคนทำหนังชื่อ Claude Lelouch เขาได้รับการว่าจ้างให้ทำเพลงสกอร์หนัง Un Homme et Une Femme หรือในภาษาอังกฤษชื่อ A Man and A Woman หนังประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อออกฉาย รวมถึงเพลงประกอบของนักดนตรีหนุ่มจากเมืองนีซด้วย ความสำเร็จนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นให้ Lai ได้ทำงานในวงการภาพยนตร์ทั้งในฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกา

ในปี 1970 Lai ได้รับรางวัลออสการ์สาขา Best Music, Original Score และลูกโลกทองคำสาขา Best Original Score จากภาพยนตร์เรื่อง Love Story

ตลอดระยะเวลาทำงาน 40 ปี Francis Lai ทำเพลงประกอบหนัง ทำเพลงประกอบรายการโทรทัศน์ ทั้งที่แต่งเองคนเดียวและทำงานร่วมกับคนอื่นมาแล้วมากกว่าร้อยเรื่องและมีเพลงที่เขียนไว้เองอีกกว่าหกร้อยเพลง

นอกจากเพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงานแล้ว คนทั่วๆ ไปจะไม่ค่อยรู้จักเรื่องราวของเขามากนัก เนื่องจากบุคลิกที่เงียบขรึม สุขุม ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักทำเพลงประกอบภาพยนตร์ชาวฝรั่งเศสที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในโลกก็ตาม (เพลงประกอบหนัง A Man and A woman ขายได้ ห้าล้านแผ่นทั่วโลก)

เขาแต่งงานมาสามสิบปี เป็นพ่อของลูกๆ สามคนชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทนนิส เขาแต่งเพลงเฉพาะตอนกลางคืน เป็นนิสัยที่ทำมาตั้งแต่เริ่มแต่งเพลงใหม่ๆ จนปัจจุบัน


When life is passing in the night, in the rushing night,
A man, a woman in the night, in the lonely night,
Must take a chance that in the light, in tomorrow's light,
They'll be to - geth - er so much in love,
To - geth - er so much in love.

So tell me
You're not afraid to take the chance, really take a chance,
Let your heart begin to dance, let it sing and dance
To the music of a glance, of a fleeting glance
To the music of romance, of a new romance,

Take a chance!

Song: Un Homme et Une Femme (A Man And A Woman)
Words & Music: Pierre Barough & Francis Lai
English Lyric: Jerry Keller

Wednesday, April 1, 2009

MONSTER BY HANDS: CERAMIC EXHIBITION

นิทรรศการเซรามิค (ที่เชียงใหม่) รายละเอียดตามในโปสเตอร์นะ
ใครว่างๆ ของชวนไปชมกัน ท่าทางจะน่ารักขนาด ^^