ตอนตีพิมพ์ แยกเป็นสองเดือน ตอนนี้จับมารวมกัน เพื่ออรรถรสที่เต็มกว่า
อ่านยาวหน่อยนะ
^^
................................
โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิราพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2552www.rabbithood.netน้ำลายดาว (สำนวนนางแบบ You betray me.)นึกออกแล้วว่าไม่ชอบอะไรในเชียงใหม่ผมค่อนข้างเข้าใจเรื่องพื้นที่ส่วนตัว หวงแหน เหมือนเวลาที่ไปเจอข้าวร้านอร่อยและบรรยากาศดีมาก ก็จะเก็บไว้ ไม่บอกใคร บางร้านก็อยู่ไกล (ซึ่งหมายความว่าเป็นคนละเหตุผลกับคนที่ต้องหลบไปกินข้าวไกลๆ เพราะกลัวคนเห็น) หรือพลัดหลงไปเจอสถานที่สวยๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ก็ไม่บอกใคร กลัวคนจะแห่ไปกัน เดี๋ยวความงามจะถูกขโมยด้วยความมักง่าย
คนที่สนิทชิดเชื้อถึงระดับคุยกันลึกๆ เท่านั้นจึงจะรู้ เป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่ได้ ผมไม่ใช่ไม่พยายาม
มองโลกในแง่ดีสุดๆ ผมก็อาจถูกโลกภายนอกทำร้ายจนบอบช้ำ ต้องลากสังขารถอยหลังกลับเข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัว สร้างเกราะกำบังให้มิดชิด ขยายพรมแดนของมัน เพื่อที่ผมจะได้มีความสุขอย่างปลอดโปร่งปราศจากความกังวล หรือมองในอีกทางหนึ่ง ผมก็อาจเป็นแค่คนเลวๆ คนหนึ่งที่ต้องซุกซ่อนความชั่วร้ายของตัวเอง
สำหรับผมความดีชั่วไม่มีอยู่จริงโดยตัวมันเอง ถ้าจะให้มันมีอยู่จริง ต้องจับแยกมัน
เรื่องใดๆ ในโลกนี้จึงไม่ใช่เรื่องของด้านตรงข้าม ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด เพราะมันไม่ได้มีอยู่แค่สองด้าน
เด็กที่แอบขโมยไอติมในร้านไอเบอรี่ไปให้น้องที่ป่วยกำลังจะตายอยู่ในท่อระบายน้ำโสโครกใกล้โรงแรมใหญ่ เขาถูกจับได้ สิ่งนี้ดีหรือเลวจึงขึ้นอยู่กับว่ามองมันจากมุมไหน
มันเป็นเรื่องของกติกา
แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นกติกาของใคร
ในบางวัฒนธรรมผู้ชายหนึ่งคนเท่ากับผู้หญิงหลายคน แต่ในบางวัฒนธรรมผู้ชายหนึ่งคนเท่ากับผู้หญิงหนึ่งคน หรือซับซ้อนกว่านั้นในอีกหลายวัฒนธรรม ผู้ชายและผู้หญิงยังไม่จำเป็นต้องเลือกอีกฟากหนึ่งก็ได้ด้วย
กติกาใครกติกามัน
จะยอมรับหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่ากัน ถ้าเป็นคนหมู่น้อย ก็ต้องต่อสู้มาก
ผมพยายามอธิบายสิ่งนี้ด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ ไม่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อที่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ ไม่ใช่เรื่องของความรู้สึกดีชั่ว
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เกิดแถวๆ หมู่บ้านนิมมานฯ ประเทศเชียงใหม่หญิงสาวคนหนึ่งเริ่มมีปัญหาในความสัมพันธ์ เธอต้องการเวลามาก ในขณะที่เขาไม่ค่อยมีให้ ความรู้สึกขัดแย้งเดินทางมาถึงจุดนัดพบ เธอไปเที่ยวกลางคืน เขาไม่มีเวลาไปรับ เธอเมา ผู้ชายอีกคนหนึ่งเป็นคนไปรับเธอ เขาพาเธอไปดื่มต่อกับกลุ่มเพื่อน เธอเมา เขามีอะไรกับเธอ
แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักก็จบลง กับเขาก็จบลง
ผมได้ยินเรื่องนี้โดยบังเอิญในวงเหล้า มันลอยมาอย่างครื้นเครงจากผู้ชายโต๊ะข้างๆ
หญิงสาวคนหนึ่งบอบช้ำมาจากรักแรก ตัดสินใจว่าจะไม่รักใครจริงจังอีกต่อไป เธอหว่านเสน่ห์และมีผู้ชายรายล้อม เธอมีความสุข ความมั่นใจของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอพลาด ถูกขืนใจในสถานการณ์ที่เธอคิดว่าตัวเองจัดการได้
แต่เธอก็จัดการไม่ได้
ผมได้ยินเรื่องนี้จากเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งตอนที่ถามว่าเธอคนนั้นเป็นใคร เพื่อนบอกว่าเธอได้ยินมาอีกทอดหนึ่ง
ผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าเขาเป็นคนมีความสัมพันธ์ค่อนข้างซับซ้อน ผมคิดว่าเข้าใจเขา เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าใช้กติกาไหน เขามีโลกส่วนตัวสูง ใคร่ครวญตลอดเวลาที่มีความสัมพันธ์ เข้าใจดีว่านาฬิกาของแต่ละความสัมพันธ์เดินช้าไม่เท่ากัน เขาหลงรักหญิงสาว มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อเธอ เขาบอกเธอว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือโลกส่วนตัวของเขา โปรดช่วยรักษา
ไม่นานนัก ผมได้ยินเรื่องของเขาและเธอโดยละเอียดยิบจากปากคนอื่น ด้วยความบังเอิญที่คึกคะนอง
ส่วนเขาโศกเศร้าเสียใจ รู้สึกถูกเหยียบย่ำ หักหลัง ทั้งที่ไม่เคยผิดกติกากับเธอ
ผู้หญิงคนหนึ่งดื่มเหล้าในห้องเพื่อนที่คอนโดเดียวกัน เธอกับคนรักอยู่คนละประเทศ คืนนั้นเธอเมา กลับลงมาที่ห้องตัวเอง ผู้ชายคนหนึ่งที่ดื่มอยู่ด้วยกันตามลงมาส่ง แล้วไม่ยอมกลับ ใช้วิธีต่างๆ นานาสารพัดจนได้หลับนอนกับเธอ
ต่อมา ผมก็ได้ยินเรื่องนี้
ทุกครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนี้ ไม่ว่าจะทางปากหรือทางอินเทอร์เน็ต ผมมักเห็นใจความรู้สึกของตัวละครในเรื่องเหล่านั้น มีบ้างบางครั้งที่ได้ยินเรื่องราวผ่านน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ปริมาณมันน้อยเกินกว่าจะเอาไปเทียบกับส่วนใหญ่ที่มักลำเลียงออกมาเป็นระลอกด้วยน้ำเสียงคึกคะนอง สะใจปนเกลียดชัง โดยไม่เคยสนใจรายละเอียดอื่นๆ ที่แวดล้อมตัวละครเหล่านั้นเลย
คนจำนวนหนึ่งนินทาคนอื่นบนพื้นฐานที่ลึกมากๆ ว่า กูดีกว่ามึง อย่างน้อยก็ในเรื่องนั้นๆ
ที่ต้องลึกมากเพราะตัวคนนินทาเองก็คงรู้สึกอายที่จะต้องยอมรับว่าเพิ่งสถาปนาตัวเองให้ ดีกว่าคนอื่น ไปหมาดๆ
มองจากมุมอื่น การนินทาก็มีข้อดี มันเหมือนมีกรรมการไม่ได้รับเชิญ คอยช่วยกำกับนักกีฬาไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง แต่ข้อเสียก็คือ มันไม่ยอมรู้ตัวว่าในสังคมของสิ่งมีชีวิตไม่ได้มีกติกาเดียว
เหมือนกีฬาในโลกนี้ก็ไม่ได้มีกติกาเดียว กรรมการก็เช่นกัน
ลองหยุดคะนองปากสักพักแล้วตั้งใจมองไปรอบๆ ตัวสิครับ เราจะพบว่ามีความสัมพันธ์ที่แตกต่างหลากหลายนับหมื่นนับแสน ทั้งเรื่องที่เห็นได้ในที่แจ้งหรือตามสื่อ ทั้งเรื่องที่เราได้ยินได้ฟังจากคนรอบตัว หลายเรื่องเรายังต้องเป็นผู้ให้คำปรึกษาเสียเอง ความสัมพันธ์เหล่านั้นกำลังดีดดิ้นสร้างกติกาใหม่ภายใต้โครงสร้างของกติกาใหญ่ที่อาจไม่เหมาะกับโครงสร้างชีวิตของพวกเขา
ยกตัวอย่าง ทิ้งกูมึงตาย ก็ถ้าวันๆ มึงเอาแต่นั่งนินทาเรื่องชาวบ้าน คนโน้นเลว คนนี้ชั่ว ขี้อิจฉา ขี้หมั่นไส้ ไม่ทำงานทำการอะไรที่มันเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะกับตัวเอง ครอบครัว หรือคนอื่นๆ กูก็ว่ายอมตายดีกว่าอยู่กับมึง
เรามองไม่เห็นความพยายามเหล่านั้นหรอกหรือ
หลายๆ ครั้งผมรู้สึกสนุกที่ได้นั่งฟังคนนินทาคนอื่น เพราะมีหลายวงสนทนาในชีวิตผมที่เขานินทากันด้วยน้ำเสียงที่ไม่จงเกลียดจงชัง เป็นเพียงการเรียกร้องลึกๆ บางอย่างที่เราควรมีสิทธิ์ได้รับแต่กลับไม่ได้รับจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า หรือบางครั้งคนที่เรานินทาก็มีอำนาจมากเสียจนเราไม่สามารถต่อสู้ซึ่งๆหน้าได้ ซึ่งหลายครั้งผมก็ร่วมวงไปกับเขาด้วย
โดยแตะเรื่องส่วนตัวของคนที่ถูกนินทาเหล่านั้นเพียงผิวเผิน หรือถ้าครึ้มจะแตะ ก็ทำไปบนความอยากรู้อยากเห็น
ผมคิดว่าการแพร่ระบาดความเกลียดชังต่างหากที่เป็นความน่ากังวลของการนินทาคนอื่น ไม่ใช่ตัวการนินทาเอง
หรือถ้าจะว่ากันอย่างถึงที่สุด มันเป็นหนึ่งในวิธีการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนอื่น
มันเกิดขึ้น สะใจ (ซึ่งลึกๆ ก็คือมึงเลว = กูดีกว่ามึง) แล้วก็ถูกแทนที่ด้วยเรื่องใหม่ สะใจ กูดีกว่ามึง (ลึกๆ) นานๆ เข้าก็เอาเรื่องเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ เพื่อความสะใจกว่าเก่า วนเวียนอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่เคยนินทาคนอื่นว่าแฮ่น นอนกับผู้ชายไปทั่ว มีลูกไม่มีพ่อ ท้องก่อนแต่ง ก็จะกลายเป็นความเข้าใจ เมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเอง ญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ชิด นานาสารพัดเหตุผลจะถูกขุดขึ้นมาใช้อธิบาย
คนเราผิดพลาดกันได้ ถึงเวลานั้นค่อยพยายามขอความเห็นใจ
ว่ากันอย่างถึงที่สุดแล้ว ผมคิดว่าการนินทานั้นเป็นกิจกรรมที่สนุก มันมีอำนาจในการลดค่าอำนาจที่เหนือกว่า ความรู้สึกคล้ายเวลาเห็นการ์ตูนการเมืองฉลาดๆ ล้อเลียนนายกรัฐมนตรี ที่เห็นเมื่อไหร่ก็ยิ้ม เพราะในชีวิตจริงเราคงไม่กล้าไปทำอย่างนั้นต่อหน้าท่านนายกฯ และที่สำคัญกว่าคือมันเป็นการล้อเลียนบนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเขา ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว หรือถ้าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (เช่น การมีเมียแบบไม่จดทะเบียนเพื่อการจัดการผลประโยชน์ เป็นต้น)
ในขณะที่พื้นที่ข่าวของหนังสือพิมพ์ก็เฉลี่ยกระจายไปให้เนื้อหาอื่นๆ เช่น เราสันนิษฐานว่าอาจมีสารเคมีเป็นพิษ หรือแรงงานมนุษย์ผิดกฏหมายเป็นร้อยถูกทิ้งให้จมน้ำตายอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ใต้น้ำ เพียงเพื่อปกปิดความผิดของใครสักคน
เชียงใหม่ประกอบด้วยหมู่บ้านหลายๆ หมู่บ้านมารวมตัวกัน
อันที่จริงผมควรจะขยายตัวอย่างเรื่องการได้ยินของผมไปยังในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น อยู่ดีๆ วันหนึ่งขณะกำลังเลือกซื้อหนังสือ ผมก็ได้ยินคนนินทาเพื่อนตัวเองเรื่องการทำงานผิดพลาด เป็นต้น
ทั้งที่เพื่อนอธิบายให้ผมฟังโดยละเอียดแล้วว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
แต่ที่ขนตัวอย่างเรื่องความสัมพันธ์มาเล่าให้ฟังนี้ก็เป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่มีสัดส่วนในการได้ยินบ่อยกว่าเรื่องอื่นๆ อย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้
เป็นไปได้มากว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของคนหนุ่มสาว
ถามนอกรอบ-ความ ‘ใหญ่’ ของมันน่าเป็นห่วงใช่หรือไม่
เอาล่ะ ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงเรื่องไร้สาระในชีวิตประจำวัน พุทธพจน์ก็แจ้งไว้แล้วว่า ‘ผู้ไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก’ หรือท่านผู้เจริญแล้วทั้งหลายต่างทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และวิธีที่คนฉลาดใช้ต่อกรกับเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ปล่อยมันไปซะ
คนที่มีสติปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้ว่า เวลาฟังอะไร ก็ควรฟังทั้งสองข้าง
ร้อยทั้งร้อยเมื่อเราหยิบยกประเด็นเรื่องการนินทาขึ้นมาพูดคุยกัน ก็จะได้รับคำตอบว่า ช่างมันเถอะบ้าง อย่าไปสนใจมันเลยบ้าง ปากคนเรามันก็เป็นอย่างนี้แหละบ้าง มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดบ้าง
แต่ขอให้หยุดพิจารณาสักนิดว่าระหว่าง ‘ความเกลียดชัง’ กับ ‘การแพร่ระบาดความเกลียดชัง’ นั้นเป็นเรื่องคนละเรื่องที่ดูเหมือนจะคล้ายกัน
ความเกลียดชังในที่นี้มองในคนละมุมกับเรื่อง ‘มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด’ อย่างสิ้นเชิง เพราะโดยส่วนตัวผมก็เห็นด้วยกับวิธีคิดเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะทุกสิ่งต้องมีคู่ตรงข้ามหรือเพราะเลือกตีความไปในทางให้กำลังใจ แต่มันเป็นเรื่องของความไม่สมบูรณ์พร้อม
ความไม่สมบูรณ์พร้อมนี่เองที่น่าจะเป็นหัวใจของธรรมชาติ และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็มีหน้าที่ทำความเข้าใจ
ถ้าใครสักคนในโลกนี้มีแต่คนรัก โดยไม่มีคนเกลียดเลย ผมว่าคนๆ นั้นต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง
ในชีวิตจริง แม้จะตั้งใจไม่สร้างความเกลียดชังใดๆ เลย แต่ไม่ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงขนาดไหน เราก็คงเผลอเหยียบตีนคนอื่นเข้าให้บ้างและสร้างความเกลียดชังนั้นๆ ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา สิ่งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การแพร่ระบาดเชื้อของมันนั้นเป็นอีกคนละเรื่องเดียวกัน มันเพาะให้เกิดเชื้อความเกลียดชัง ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิด หรือไม่ควรจะต้องเกิด
แน่นอนว่า การนินทา เป็นเครื่องมือชั้นดีที่สร้างประสิทธิภาพได้สูงสุด เพราะต้นทุนต่ำ
เราจึงสามารถเห็นคนจำนวนหนึ่งเกลียดชังคนอื่น โดยที่ไม่เคยทำความรู้จักคนเหล่านั้นจริงๆ แม้แต่น้อย
ย้ำอีกครั้งว่าการนินทานั้นไม่น่ากังวลโดยตัวมันเองเลยสักนิด เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเปลืองต้นไม้มาเขียนถึงด้วยซ้ำ แต่การแพร่เชื้อความเกลียดชังต่างหากที่น่าเก็บเอามาคิด
เคยฟังการปราศรัยที่ชอบอ้างกันว่าเป็น ‘การต่อสู้ทางการเมือง’ ไหมครับ ถ้าเคยคงพอนึกภาพออก (แต่จำเป็นต้องเอาตัวเองออกมาจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก่อนนะ) ลองฟังวิธีการที่พวกเขาพูดถึงฝ่ายตรงข้าม ลองค้นๆ ดูทัศนคติที่ซุกตัวอยู่ภายใต้คำปราศรัยเหล่านั้นสิครับ
นี่ยังไม่รวมการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนอื่นด้วยวิธีการสกปรกต่างๆ นานาอีกสารพัด
หรือถ้าไม่อยากข้องแวะกับเรื่องการเมือง ลองนึกย้อนไปถึงฮิตเลอร์กับร่างไร้วิญญาณของชาวยิวหกล้านชีวิตที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ในประวัติศาสตร์ของพวกเราทุกคนแทนก็ได้
แต่ก็เถอะ เรื่องพวกนั้นมันผ่านไปนานแล้ว แถมญาติพี่น้องเราก็ไม่ใช่ จึงไม่เห็นมีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเก็บเอามาคิดหรอก (ประชด!) สิ่งที่น่าสนุกกว่าเยอะคือการพยายามเดาว่าใครเป็นใครในเรื่องที่เพิ่งเล่าให้ฟัง ควานหาเหยื่อสักคนที่สันนิษฐานว่าน่าจะใช่เป้าหมาย เพื่อเอาไปนินทากันต่อ
หรือถ้าอยากสนุกกว่านั้นอีก ก็สามารถนินทาต่อไปได้เลยว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของผมเอง แต่ใช้กลวิธีการเขียนเล่าให้เป็นคนอื่น ทั้งที่ทั้งหมดอาจเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาประกอบการอธิบายเฉยๆ
อย่างที่บอกว่าการนินทานั้นเป็นเรื่องสนุกและคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้มันสร้างอำนาจและสร้างความรู้สึกดีให้ตัวเองกับพวกพ้องด้วยการเหยียบย่ำคนอื่น ทำลายความเป็นมนุษย์ของเขาด้วยเครื่องมือสุดวิเศษที่ได้รับการยอมรับในสังคมแล้วว่าทำได้ เพราะจะไม่มีใครถือเอามาเป็นเรื่องใหญ่
ปล่อยให้ตู้คอนเทนเนอร์เป็นเรื่องของนักประดาน้ำเถอะ
การเกิดขึ้นเป็นเห็ดหน้าฝนของหนังสือ Gossip ทั้งหลายจึงไม่น่าเป็นกังวลอย่างที่หลายคนเป็นห่วง เพราะตัวมันเองไม่มีอะไรที่ต้องห่วง สิ่งที่น่ากังวลคือมันทำให้การล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวกลายเป็นกิจกรรมสาธารณะ เมื่อคนหมู่มากเห็นดีเห็นงาม ถ้าจะขยายให้ไกลออกไป มันอาจเดินทางไปแตะถึงระดับจิตสำนึกของยุคสมัย (หรือแตะไปแล้วผมก็ไม่ทราบ)
ฉันไม่ผิด กติกาของฉันมีคนเล่นมากพอ แกต่างหากที่ดัดจริตอยากมีโลกส่วนตัว
ข้อเสียต่อเนื่องของการนินทาคือ กว่าที่มันจะรู้ตัวว่าในสังคมของสิ่งมีชีวิตไม่ได้มีกติกาเดียว ก็ต้องรอจนเรื่องนั้นๆ เกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนใกล้ชิดเสียก่อน
ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้น ก็ไม่รู้ว่าใครต่อใครต้องประสบพบเจออะไรกันไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว
ไม่ว่ากีฬาอะไร ไม่ว่าจะมีผู้เล่นกี่คน พวกเขาต้องตกลงใจในกติกาเดียวกันก่อน แล้วจึงเล่นด้วยกัน ข้อเสียของการล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวจากความเคยชินในการติดตามหนังสือ Gossip จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกหรือการล่วงล้ำเข้าไปในหีบลับของคนอื่น แต่เป็นเรื่องการเหยียบย่ำของกติกาที่มีผู้เล่นมากกว่า กระทำต่อผู้คนที่ไม่ได้มีโครงสร้างชีวิตเหมือนกับตัวเอง เพียงเพื่อความสะใจ
ในขณะที่ผู้เล่นกลุ่มน้อยเหล่านั้นเฝ้าเพียรพยายามค้นหากติกาที่เหมาะสมกับโครงสร้างและเงื่อนไขต่างๆ ในของชีวิตเขา เพราะแม้แต่คนที่ชั่วที่สุดในโลกในสายตาคนอื่น ก็ย่อมรู้ดีแก่ใจว่าเงื่อนไขต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
สำเร็จ ล้มเหลว บอบช้ำ มีความหวัง เพลี่ยงพล้ำ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้
ยกตัวอย่างในบางความสัมพันธ์ ความเป็นเจ้าของหรือสถานะของคู่สัมพันธ์ ไม่ได้สำคัญกว่าการสื่อสารระหว่างกัน
ว่าแต่...ใครหน้าไหนจะอยากสนใจ
จะว่าไปผมลืมนึกไปเรื่องหนึ่ง ว่าการแพร่ระบาดความเกลียดชังผ่านการนินทานั้นสัมพันธ์กับคนที่ใช้มันเป็นเครื่องมืออย่างแน่นแฟ้น ตัวการนินทาเองก็จึงไม่น่าสนใจเท่าถิ่นกำเนิดของมัน
เช่นคนที่เรารู้สึกกับเขาเป็นเพื่อนหรือเป็นคนที่เรารักและปรารถนาดี เป็นผู้แพร่กระจายความเกลียดชังนั้นเสียเอง โดยที่เราไม่แม้แต่จะคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น
ความรู้สึกเดียวที่นึกออกคือถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผม ผมคงรู้สึกยอมรับ
อือ...กูคงเลวกว่ามึงจริงๆ