Friday, July 24, 2009

Life is Always Uncut: EVENT



ข่าวด่วน (มาก) จาก minimal
-_-'
............................................

An evening with eclectic music & raw movie footage
by Chiang Mai based creators
(Ong and Art, Pisithpong Siraphisut & Pattavee Viranuvat)

Saturday 25, 2009
9 - 12 PM.
@ Minimal Gallery, Nimmanhemin Soi 13, Chiang Mai


Thursday, July 23, 2009

"I wear my sunglasses at night" : PARTY


ข่าวจากจีนนะ...
วันก่อนได้คุยกันแว้บๆ จีนมาถ่ายเอ็มวีที่เชียงใหม่
เอ็มวีอัลบั้มใหม่ (เพราะเชียว)
แถมได้ข่าวแว่วๆ ว่าจีนจะมาจัด Whatever ที่เชียงใหม่ด้วย

โปรดติดตาม ^^

...........



"I wear my sunglasses at night. So I can keep track of the visions in my eyes."(a song by Corey Hart)

SAT 25/07 At Club Culture.

Wear your fav sunglasses and lose control.whatever! - tunes by Gene Kasidit and Globez. Expect loads of 80s, some 90s, a bit of 00s and sometime in between.

B 200 (get 1 drink) or
B 150 (if you show up with your sunglasses)


THIS IS WHATEVER!

Tuesday, July 21, 2009

100 Days R' Rong >>


ข่าวด่วนจากสวนทูนอินครับ
เสาร์นี้ 25 มีงานทำบุญ 100 วันของอาว์
ฝากเชิญชวนทุกท่าน (ไม่ว่าใคร) ด้วยครับ
แล้วพบกัยครับ
รายละเอียดลองโทรไปถามที่นี่นะ 081 716 4007
^^

"Portraits of Shoes-Stories of Feet" @ TCDC (Bangkok)

ตอนไปบางกอก แวะไปดูนิทรรศการนี้มา ชื่อไทยชื่อ 'ร้อยเรื่องรองเท้า' ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นเฉพาะหมวดแฟชั่น แต่พอเข้าไปดูปรากฏว่าไม่ใช่ เป็นงานของศิลปินต่างๆ ที่ทำงานกับรองเท้าในแง่ความหมาย รวมถึงประวัติศาสตร์ เนื้อหา ของรองเท้าของโลก ตอนท้ายก็มีส่วนของสยามประเทศอันเป็นที่เชิดชูยิ่งของเราด้วย (ดีใจที่ได้เห็น รองเท้าแตะ มีโอกาสแสดงตัวตนกับเขาเสียที)

ชอบงานชิ้นบันไดมาก!

เห็นว่าอยู่ไกล เลยถ่ายรูปมาเผื่อกันชุดใหญ่
ส่วนรูปสุดท้าย เป็นรองเท้าของข้าพเจ้าเอง (มอมมาก -_-')
ก็อยากแสดงตัวกับเขาบ้างอะไรบ้าง

ขอบคุณ TCDC ที่จัดงานแบบนี้ให้ดูนะครับ ^^
ส่วนใครสนใจเพิ่มเติม ขอเชิญที่นี่ http://www.tcdc.or.th/eventse.php?act=view&id=233

ชมฟรี! ถึง 30 สิงหาคมนี้ครับ

^^

Monday, July 20, 2009

นางไม้ (Nymph) : MOVIE


โอย...กว่าจะได้เอาขึ้น เน็ตที่บ้านแย่มากถึงมากที่สุด (เสียเงินก็แพง)
......
ได้ดูที่กทม. โชคดีที่ไหวตัวทัน ลองเช็ครอบฉายที่เชียงใหม่ก่อนกลับ
ปรากฏว่าลาโรงไปหมดสิ้นแล้ว ในระยะเวลาอันสั้น
เพื่อนบอกว่าโชคดีที่ได้ดูที่ SF เพราะเป็นเวอร์ชั่นเดียวกับคานส์
(จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบได้ เพราะได้ดูเวอร์ชั่นเดียว)

ชอบบรรยากาศแบบพี่ต้อม (คุณเป็นเอก) รู้สึกว่าแกควบคุมบรรยากาศเก่ง
ดูแล้วหลอนลึก แต่ไม่ใช่หลอนผี กลับรู้สึกว่ามันเป็นมวลก้อนเดียวกับเวลาคนที่มีความผิดอะไรอยู่ในใจ แล้วมันยังไม่คลี่คลาย

ใครที่เคยมีคนอื่น ในขณะที่คบกับอีกคนหนึ่งอยู่ แล้วกำลังรอเวลาว่าเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบ น่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี โดยไม่เกี่ยวกับมาตรฐานทางศีลธรรมปลอมๆ ที่กรอกหูกันอยู่

ชอบขนาดของหนังพี่ต้อมด้วย ไม่รู้จะอธิบายยังไงแฮะ แต่รู้สึกว่ามันพอดี ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกินไป เรื่องก็ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป (ความรู้สึกคล้ายตอนดูเรื่อง 'พลอย' )

น่าเสียดายตอนที่ไปดู ทั้งโรงมีอยู่สามคนถ้วน
พอหนังจบ นั่งรอดูเครดิต หันไปอีกที น้องนักศึกษาสองคนนั้นก็หายไปไหนแล้วไม่รู้

รอดูหนังพี่ต้อมเรื่องต่อไปละกันเนอะ ^^

+ เป็น 'กิ๊บซี่' ที่สวยที่สุดที่เคยเห็นมา!!

Directed by Pen-ek Ratanaruang

Friday, July 10, 2009

โพรง: น้ำลายดาว (สำนวนนางแบบ You betray me.) -ฉบับสมบูรณ์


ตอนตีพิมพ์ แยกเป็นสองเดือน ตอนนี้จับมารวมกัน เพื่ออรรถรสที่เต็มกว่า
อ่านยาวหน่อยนะ

^^

................................

โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา

พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2552
www.rabbithood.net

น้ำลายดาว (สำนวนนางแบบ You betray me.)

นึกออกแล้วว่าไม่ชอบอะไรในเชียงใหม่

ผมค่อนข้างเข้าใจเรื่องพื้นที่ส่วนตัว หวงแหน เหมือนเวลาที่ไปเจอข้าวร้านอร่อยและบรรยากาศดีมาก ก็จะเก็บไว้ ไม่บอกใคร บางร้านก็อยู่ไกล (ซึ่งหมายความว่าเป็นคนละเหตุผลกับคนที่ต้องหลบไปกินข้าวไกลๆ เพราะกลัวคนเห็น) หรือพลัดหลงไปเจอสถานที่สวยๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ก็ไม่บอกใคร กลัวคนจะแห่ไปกัน เดี๋ยวความงามจะถูกขโมยด้วยความมักง่าย

คนที่สนิทชิดเชื้อถึงระดับคุยกันลึกๆ เท่านั้นจึงจะรู้ เป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่ได้ ผมไม่ใช่ไม่พยายาม

มองโลกในแง่ดีสุดๆ ผมก็อาจถูกโลกภายนอกทำร้ายจนบอบช้ำ ต้องลากสังขารถอยหลังกลับเข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัว สร้างเกราะกำบังให้มิดชิด ขยายพรมแดนของมัน เพื่อที่ผมจะได้มีความสุขอย่างปลอดโปร่งปราศจากความกังวล หรือมองในอีกทางหนึ่ง ผมก็อาจเป็นแค่คนเลวๆ คนหนึ่งที่ต้องซุกซ่อนความชั่วร้ายของตัวเอง

สำหรับผมความดีชั่วไม่มีอยู่จริงโดยตัวมันเอง ถ้าจะให้มันมีอยู่จริง ต้องจับแยกมัน
เรื่องใดๆ ในโลกนี้จึงไม่ใช่เรื่องของด้านตรงข้าม ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด เพราะมันไม่ได้มีอยู่แค่สองด้าน

เด็กที่แอบขโมยไอติมในร้านไอเบอรี่ไปให้น้องที่ป่วยกำลังจะตายอยู่ในท่อระบายน้ำโสโครกใกล้โรงแรมใหญ่ เขาถูกจับได้ สิ่งนี้ดีหรือเลวจึงขึ้นอยู่กับว่ามองมันจากมุมไหน

มันเป็นเรื่องของกติกา
แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นกติกาของใคร

ในบางวัฒนธรรมผู้ชายหนึ่งคนเท่ากับผู้หญิงหลายคน แต่ในบางวัฒนธรรมผู้ชายหนึ่งคนเท่ากับผู้หญิงหนึ่งคน หรือซับซ้อนกว่านั้นในอีกหลายวัฒนธรรม ผู้ชายและผู้หญิงยังไม่จำเป็นต้องเลือกอีกฟากหนึ่งก็ได้ด้วย

กติกาใครกติกามัน
จะยอมรับหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่ากัน ถ้าเป็นคนหมู่น้อย ก็ต้องต่อสู้มาก

ผมพยายามอธิบายสิ่งนี้ด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ ไม่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อที่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ ไม่ใช่เรื่องของความรู้สึกดีชั่ว

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เกิดแถวๆ หมู่บ้านนิมมานฯ ประเทศเชียงใหม่

หญิงสาวคนหนึ่งเริ่มมีปัญหาในความสัมพันธ์ เธอต้องการเวลามาก ในขณะที่เขาไม่ค่อยมีให้ ความรู้สึกขัดแย้งเดินทางมาถึงจุดนัดพบ เธอไปเที่ยวกลางคืน เขาไม่มีเวลาไปรับ เธอเมา ผู้ชายอีกคนหนึ่งเป็นคนไปรับเธอ เขาพาเธอไปดื่มต่อกับกลุ่มเพื่อน เธอเมา เขามีอะไรกับเธอ

แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักก็จบลง กับเขาก็จบลง
ผมได้ยินเรื่องนี้โดยบังเอิญในวงเหล้า มันลอยมาอย่างครื้นเครงจากผู้ชายโต๊ะข้างๆ

หญิงสาวคนหนึ่งบอบช้ำมาจากรักแรก ตัดสินใจว่าจะไม่รักใครจริงจังอีกต่อไป เธอหว่านเสน่ห์และมีผู้ชายรายล้อม เธอมีความสุข ความมั่นใจของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอพลาด ถูกขืนใจในสถานการณ์ที่เธอคิดว่าตัวเองจัดการได้

แต่เธอก็จัดการไม่ได้
ผมได้ยินเรื่องนี้จากเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งตอนที่ถามว่าเธอคนนั้นเป็นใคร เพื่อนบอกว่าเธอได้ยินมาอีกทอดหนึ่ง

ผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าเขาเป็นคนมีความสัมพันธ์ค่อนข้างซับซ้อน ผมคิดว่าเข้าใจเขา เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าใช้กติกาไหน เขามีโลกส่วนตัวสูง ใคร่ครวญตลอดเวลาที่มีความสัมพันธ์ เข้าใจดีว่านาฬิกาของแต่ละความสัมพันธ์เดินช้าไม่เท่ากัน เขาหลงรักหญิงสาว มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อเธอ เขาบอกเธอว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือโลกส่วนตัวของเขา โปรดช่วยรักษา

ไม่นานนัก ผมได้ยินเรื่องของเขาและเธอโดยละเอียดยิบจากปากคนอื่น ด้วยความบังเอิญที่คึกคะนอง
ส่วนเขาโศกเศร้าเสียใจ รู้สึกถูกเหยียบย่ำ หักหลัง ทั้งที่ไม่เคยผิดกติกากับเธอ

ผู้หญิงคนหนึ่งดื่มเหล้าในห้องเพื่อนที่คอนโดเดียวกัน เธอกับคนรักอยู่คนละประเทศ คืนนั้นเธอเมา กลับลงมาที่ห้องตัวเอง ผู้ชายคนหนึ่งที่ดื่มอยู่ด้วยกันตามลงมาส่ง แล้วไม่ยอมกลับ ใช้วิธีต่างๆ นานาสารพัดจนได้หลับนอนกับเธอ

ต่อมา ผมก็ได้ยินเรื่องนี้

ทุกครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนี้ ไม่ว่าจะทางปากหรือทางอินเทอร์เน็ต ผมมักเห็นใจความรู้สึกของตัวละครในเรื่องเหล่านั้น มีบ้างบางครั้งที่ได้ยินเรื่องราวผ่านน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ปริมาณมันน้อยเกินกว่าจะเอาไปเทียบกับส่วนใหญ่ที่มักลำเลียงออกมาเป็นระลอกด้วยน้ำเสียงคึกคะนอง สะใจปนเกลียดชัง โดยไม่เคยสนใจรายละเอียดอื่นๆ ที่แวดล้อมตัวละครเหล่านั้นเลย

คนจำนวนหนึ่งนินทาคนอื่นบนพื้นฐานที่ลึกมากๆ ว่า กูดีกว่ามึง อย่างน้อยก็ในเรื่องนั้นๆ
ที่ต้องลึกมากเพราะตัวคนนินทาเองก็คงรู้สึกอายที่จะต้องยอมรับว่าเพิ่งสถาปนาตัวเองให้ ดีกว่าคนอื่น ไปหมาดๆ

มองจากมุมอื่น การนินทาก็มีข้อดี มันเหมือนมีกรรมการไม่ได้รับเชิญ คอยช่วยกำกับนักกีฬาไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง แต่ข้อเสียก็คือ มันไม่ยอมรู้ตัวว่าในสังคมของสิ่งมีชีวิตไม่ได้มีกติกาเดียว

เหมือนกีฬาในโลกนี้ก็ไม่ได้มีกติกาเดียว กรรมการก็เช่นกัน

ลองหยุดคะนองปากสักพักแล้วตั้งใจมองไปรอบๆ ตัวสิครับ เราจะพบว่ามีความสัมพันธ์ที่แตกต่างหลากหลายนับหมื่นนับแสน ทั้งเรื่องที่เห็นได้ในที่แจ้งหรือตามสื่อ ทั้งเรื่องที่เราได้ยินได้ฟังจากคนรอบตัว หลายเรื่องเรายังต้องเป็นผู้ให้คำปรึกษาเสียเอง ความสัมพันธ์เหล่านั้นกำลังดีดดิ้นสร้างกติกาใหม่ภายใต้โครงสร้างของกติกาใหญ่ที่อาจไม่เหมาะกับโครงสร้างชีวิตของพวกเขา

ยกตัวอย่าง ทิ้งกูมึงตาย ก็ถ้าวันๆ มึงเอาแต่นั่งนินทาเรื่องชาวบ้าน คนโน้นเลว คนนี้ชั่ว ขี้อิจฉา ขี้หมั่นไส้ ไม่ทำงานทำการอะไรที่มันเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะกับตัวเอง ครอบครัว หรือคนอื่นๆ กูก็ว่ายอมตายดีกว่าอยู่กับมึง

เรามองไม่เห็นความพยายามเหล่านั้นหรอกหรือ

หลายๆ ครั้งผมรู้สึกสนุกที่ได้นั่งฟังคนนินทาคนอื่น เพราะมีหลายวงสนทนาในชีวิตผมที่เขานินทากันด้วยน้ำเสียงที่ไม่จงเกลียดจงชัง เป็นเพียงการเรียกร้องลึกๆ บางอย่างที่เราควรมีสิทธิ์ได้รับแต่กลับไม่ได้รับจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า หรือบางครั้งคนที่เรานินทาก็มีอำนาจมากเสียจนเราไม่สามารถต่อสู้ซึ่งๆหน้าได้ ซึ่งหลายครั้งผมก็ร่วมวงไปกับเขาด้วย
โดยแตะเรื่องส่วนตัวของคนที่ถูกนินทาเหล่านั้นเพียงผิวเผิน หรือถ้าครึ้มจะแตะ ก็ทำไปบนความอยากรู้อยากเห็น

ผมคิดว่าการแพร่ระบาดความเกลียดชังต่างหากที่เป็นความน่ากังวลของการนินทาคนอื่น ไม่ใช่ตัวการนินทาเอง
หรือถ้าจะว่ากันอย่างถึงที่สุด มันเป็นหนึ่งในวิธีการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนอื่น

มันเกิดขึ้น สะใจ (ซึ่งลึกๆ ก็คือมึงเลว = กูดีกว่ามึง) แล้วก็ถูกแทนที่ด้วยเรื่องใหม่ สะใจ กูดีกว่ามึง (ลึกๆ) นานๆ เข้าก็เอาเรื่องเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ เพื่อความสะใจกว่าเก่า วนเวียนอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น

จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่เคยนินทาคนอื่นว่าแฮ่น นอนกับผู้ชายไปทั่ว มีลูกไม่มีพ่อ ท้องก่อนแต่ง ก็จะกลายเป็นความเข้าใจ เมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเอง ญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ชิด นานาสารพัดเหตุผลจะถูกขุดขึ้นมาใช้อธิบาย

คนเราผิดพลาดกันได้ ถึงเวลานั้นค่อยพยายามขอความเห็นใจ

ว่ากันอย่างถึงที่สุดแล้ว ผมคิดว่าการนินทานั้นเป็นกิจกรรมที่สนุก มันมีอำนาจในการลดค่าอำนาจที่เหนือกว่า ความรู้สึกคล้ายเวลาเห็นการ์ตูนการเมืองฉลาดๆ ล้อเลียนนายกรัฐมนตรี ที่เห็นเมื่อไหร่ก็ยิ้ม เพราะในชีวิตจริงเราคงไม่กล้าไปทำอย่างนั้นต่อหน้าท่านนายกฯ และที่สำคัญกว่าคือมันเป็นการล้อเลียนบนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเขา ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว หรือถ้าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (เช่น การมีเมียแบบไม่จดทะเบียนเพื่อการจัดการผลประโยชน์ เป็นต้น)

ในขณะที่พื้นที่ข่าวของหนังสือพิมพ์ก็เฉลี่ยกระจายไปให้เนื้อหาอื่นๆ เช่น เราสันนิษฐานว่าอาจมีสารเคมีเป็นพิษ หรือแรงงานมนุษย์ผิดกฏหมายเป็นร้อยถูกทิ้งให้จมน้ำตายอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ใต้น้ำ เพียงเพื่อปกปิดความผิดของใครสักคน

เชียงใหม่ประกอบด้วยหมู่บ้านหลายๆ หมู่บ้านมารวมตัวกัน

อันที่จริงผมควรจะขยายตัวอย่างเรื่องการได้ยินของผมไปยังในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น อยู่ดีๆ วันหนึ่งขณะกำลังเลือกซื้อหนังสือ ผมก็ได้ยินคนนินทาเพื่อนตัวเองเรื่องการทำงานผิดพลาด เป็นต้น

ทั้งที่เพื่อนอธิบายให้ผมฟังโดยละเอียดแล้วว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
แต่ที่ขนตัวอย่างเรื่องความสัมพันธ์มาเล่าให้ฟังนี้ก็เป็นเพราะมันเป็นเรื่องที่มีสัดส่วนในการได้ยินบ่อยกว่าเรื่องอื่นๆ อย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้

เป็นไปได้มากว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของคนหนุ่มสาว
ถามนอกรอบ-ความ ‘ใหญ่’ ของมันน่าเป็นห่วงใช่หรือไม่

เอาล่ะ ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงเรื่องไร้สาระในชีวิตประจำวัน พุทธพจน์ก็แจ้งไว้แล้วว่า ‘ผู้ไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก’ หรือท่านผู้เจริญแล้วทั้งหลายต่างทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และวิธีที่คนฉลาดใช้ต่อกรกับเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ปล่อยมันไปซะ

คนที่มีสติปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้ว่า เวลาฟังอะไร ก็ควรฟังทั้งสองข้าง

ร้อยทั้งร้อยเมื่อเราหยิบยกประเด็นเรื่องการนินทาขึ้นมาพูดคุยกัน ก็จะได้รับคำตอบว่า ช่างมันเถอะบ้าง อย่าไปสนใจมันเลยบ้าง ปากคนเรามันก็เป็นอย่างนี้แหละบ้าง มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดบ้าง

แต่ขอให้หยุดพิจารณาสักนิดว่าระหว่าง ‘ความเกลียดชัง’ กับ ‘การแพร่ระบาดความเกลียดชัง’ นั้นเป็นเรื่องคนละเรื่องที่ดูเหมือนจะคล้ายกัน

ความเกลียดชังในที่นี้มองในคนละมุมกับเรื่อง ‘มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด’ อย่างสิ้นเชิง เพราะโดยส่วนตัวผมก็เห็นด้วยกับวิธีคิดเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะทุกสิ่งต้องมีคู่ตรงข้ามหรือเพราะเลือกตีความไปในทางให้กำลังใจ แต่มันเป็นเรื่องของความไม่สมบูรณ์พร้อม

ความไม่สมบูรณ์พร้อมนี่เองที่น่าจะเป็นหัวใจของธรรมชาติ และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็มีหน้าที่ทำความเข้าใจ

ถ้าใครสักคนในโลกนี้มีแต่คนรัก โดยไม่มีคนเกลียดเลย ผมว่าคนๆ นั้นต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง
ในชีวิตจริง แม้จะตั้งใจไม่สร้างความเกลียดชังใดๆ เลย แต่ไม่ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงขนาดไหน เราก็คงเผลอเหยียบตีนคนอื่นเข้าให้บ้างและสร้างความเกลียดชังนั้นๆ ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา สิ่งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การแพร่ระบาดเชื้อของมันนั้นเป็นอีกคนละเรื่องเดียวกัน มันเพาะให้เกิดเชื้อความเกลียดชัง ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิด หรือไม่ควรจะต้องเกิด

แน่นอนว่า การนินทา เป็นเครื่องมือชั้นดีที่สร้างประสิทธิภาพได้สูงสุด เพราะต้นทุนต่ำ
เราจึงสามารถเห็นคนจำนวนหนึ่งเกลียดชังคนอื่น โดยที่ไม่เคยทำความรู้จักคนเหล่านั้นจริงๆ แม้แต่น้อย

ย้ำอีกครั้งว่าการนินทานั้นไม่น่ากังวลโดยตัวมันเองเลยสักนิด เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเปลืองต้นไม้มาเขียนถึงด้วยซ้ำ แต่การแพร่เชื้อความเกลียดชังต่างหากที่น่าเก็บเอามาคิด

เคยฟังการปราศรัยที่ชอบอ้างกันว่าเป็น ‘การต่อสู้ทางการเมือง’ ไหมครับ ถ้าเคยคงพอนึกภาพออก (แต่จำเป็นต้องเอาตัวเองออกมาจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก่อนนะ) ลองฟังวิธีการที่พวกเขาพูดถึงฝ่ายตรงข้าม ลองค้นๆ ดูทัศนคติที่ซุกตัวอยู่ภายใต้คำปราศรัยเหล่านั้นสิครับ

นี่ยังไม่รวมการทำลายความเป็นมนุษย์ของคนอื่นด้วยวิธีการสกปรกต่างๆ นานาอีกสารพัด

หรือถ้าไม่อยากข้องแวะกับเรื่องการเมือง ลองนึกย้อนไปถึงฮิตเลอร์กับร่างไร้วิญญาณของชาวยิวหกล้านชีวิตที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ในประวัติศาสตร์ของพวกเราทุกคนแทนก็ได้

แต่ก็เถอะ เรื่องพวกนั้นมันผ่านไปนานแล้ว แถมญาติพี่น้องเราก็ไม่ใช่ จึงไม่เห็นมีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเก็บเอามาคิดหรอก (ประชด!) สิ่งที่น่าสนุกกว่าเยอะคือการพยายามเดาว่าใครเป็นใครในเรื่องที่เพิ่งเล่าให้ฟัง ควานหาเหยื่อสักคนที่สันนิษฐานว่าน่าจะใช่เป้าหมาย เพื่อเอาไปนินทากันต่อ

หรือถ้าอยากสนุกกว่านั้นอีก ก็สามารถนินทาต่อไปได้เลยว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของผมเอง แต่ใช้กลวิธีการเขียนเล่าให้เป็นคนอื่น ทั้งที่ทั้งหมดอาจเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาประกอบการอธิบายเฉยๆ

อย่างที่บอกว่าการนินทานั้นเป็นเรื่องสนุกและคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้มันสร้างอำนาจและสร้างความรู้สึกดีให้ตัวเองกับพวกพ้องด้วยการเหยียบย่ำคนอื่น ทำลายความเป็นมนุษย์ของเขาด้วยเครื่องมือสุดวิเศษที่ได้รับการยอมรับในสังคมแล้วว่าทำได้ เพราะจะไม่มีใครถือเอามาเป็นเรื่องใหญ่

ปล่อยให้ตู้คอนเทนเนอร์เป็นเรื่องของนักประดาน้ำเถอะ

การเกิดขึ้นเป็นเห็ดหน้าฝนของหนังสือ Gossip ทั้งหลายจึงไม่น่าเป็นกังวลอย่างที่หลายคนเป็นห่วง เพราะตัวมันเองไม่มีอะไรที่ต้องห่วง สิ่งที่น่ากังวลคือมันทำให้การล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวกลายเป็นกิจกรรมสาธารณะ เมื่อคนหมู่มากเห็นดีเห็นงาม ถ้าจะขยายให้ไกลออกไป มันอาจเดินทางไปแตะถึงระดับจิตสำนึกของยุคสมัย (หรือแตะไปแล้วผมก็ไม่ทราบ)

ฉันไม่ผิด กติกาของฉันมีคนเล่นมากพอ แกต่างหากที่ดัดจริตอยากมีโลกส่วนตัว

ข้อเสียต่อเนื่องของการนินทาคือ กว่าที่มันจะรู้ตัวว่าในสังคมของสิ่งมีชีวิตไม่ได้มีกติกาเดียว ก็ต้องรอจนเรื่องนั้นๆ เกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนใกล้ชิดเสียก่อน

ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้น ก็ไม่รู้ว่าใครต่อใครต้องประสบพบเจออะไรกันไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว

ไม่ว่ากีฬาอะไร ไม่ว่าจะมีผู้เล่นกี่คน พวกเขาต้องตกลงใจในกติกาเดียวกันก่อน แล้วจึงเล่นด้วยกัน ข้อเสียของการล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวจากความเคยชินในการติดตามหนังสือ Gossip จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกหรือการล่วงล้ำเข้าไปในหีบลับของคนอื่น แต่เป็นเรื่องการเหยียบย่ำของกติกาที่มีผู้เล่นมากกว่า กระทำต่อผู้คนที่ไม่ได้มีโครงสร้างชีวิตเหมือนกับตัวเอง เพียงเพื่อความสะใจ

ในขณะที่ผู้เล่นกลุ่มน้อยเหล่านั้นเฝ้าเพียรพยายามค้นหากติกาที่เหมาะสมกับโครงสร้างและเงื่อนไขต่างๆ ในของชีวิตเขา เพราะแม้แต่คนที่ชั่วที่สุดในโลกในสายตาคนอื่น ก็ย่อมรู้ดีแก่ใจว่าเงื่อนไขต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน

สำเร็จ ล้มเหลว บอบช้ำ มีความหวัง เพลี่ยงพล้ำ เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้

ยกตัวอย่างในบางความสัมพันธ์ ความเป็นเจ้าของหรือสถานะของคู่สัมพันธ์ ไม่ได้สำคัญกว่าการสื่อสารระหว่างกัน
ว่าแต่...ใครหน้าไหนจะอยากสนใจ


จะว่าไปผมลืมนึกไปเรื่องหนึ่ง ว่าการแพร่ระบาดความเกลียดชังผ่านการนินทานั้นสัมพันธ์กับคนที่ใช้มันเป็นเครื่องมืออย่างแน่นแฟ้น ตัวการนินทาเองก็จึงไม่น่าสนใจเท่าถิ่นกำเนิดของมัน

เช่นคนที่เรารู้สึกกับเขาเป็นเพื่อนหรือเป็นคนที่เรารักและปรารถนาดี เป็นผู้แพร่กระจายความเกลียดชังนั้นเสียเอง โดยที่เราไม่แม้แต่จะคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น

ความรู้สึกเดียวที่นึกออกคือถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผม ผมคงรู้สึกยอมรับ
อือ...กูคงเลวกว่ามึงจริงๆ

ทะลุหูขวา : M83 : MUSIC


ถ้าใครมีโอกาสได้ไปดูงานแสดงภาพถ่าย With Half An Eye
เพลงที่ประกอบภาพคือเพลงของ M83 นี่เอง ชื่อ In the cold, I'm standing
......................................


ทะลุหูขวา
Text by RabbitHood


M83

M83 คือวงดนตรีอิเลคโทรนิคที่ถือกำเนิดในเมือง Antibes (ออกเสียงว่า ออง-ที-เบ่อ) ประเทศฝรั่งเศส ประกอบด้วยสมาชิก 2 คนเมื่อเริ่มก่อตั้งคือ Nicolas Fromageau และ Anthony Gonzalez ดนตรีของ M83 เป็นดนตรีประเภท shoegazing (แปลตรงตัวคือดนตรีที่ผู้เล่นเหมือนกำลังยืนมองรองเท้าตัวเองนิ่งๆ ขณะที่แสดง ซึ่งถอดความได้ว่าเป็นเพลงนิ่งๆ เรียบๆ จังหวะไม่หวือหวานั่นเอง) และที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ก็เป็นเพราะดนตรีของ M83 ประกอบไปด้วยเสียงสะท้อนกังวานไปมาและการร้องนุ่มๆ ที่อยู่เหนือเสียงอึกทึกของเครื่องดนตรี แม้ว่าดนตรีของ M83 จะประกอบไปด้วยเสียงกีตาร์น้อยชิ้นกว่าวงดนตรีส่วนใหญ่ในหมวดเดียวกัน (แต่ฟังจริงๆ แล้วก็ไม่ถึงกับจ้องรองเท้าขนาดนั้น!)

ถึงวันนี้ (2009) M83 ออกอัลบั้มเต็มมาแล้ว 5 อัลบั้ม ได้แก่ M83 (2001), Dead Cities, Red Seas & Lost Ghosts (2003), Before the Dawn Heals Us (2005), Digital Shades Volume 1 (2007) และล่าสุด Saturdays = Youth (2008) หลังจากออกอัลบั้มชุดที่สาม Gonzalez ตัดสินใจแยกทางกับ Fromageau (ข้อมูลแจ้งว่ามีปัญหากันในช่วงที่ออกทัวร์ตอนอัลบั้มสอง) และทำงานตามลำพังตั้งแต่นั้นโดยมีเพื่อนๆ นักดนตรีคนอื่นๆ มาร่วมทำงานด้วย

M83 ทำงานรีมิกซ์ให้กับเพลง "Pioneers" ในอัลบั้ม Silent Alarm Remixed ของวงดนตรีอังกฤษ Bloc Party และยังรีมิกซ์ให้กับเพลง "Protège-Moi" ของ Placebo เพลง "Black Cherry" ของ Goldfrapp เพลง "Suffer Well" ของ Depeche Mode และเพลง "Vila Attack" ของ Bumblebeez 81 ในขณะเดียวกันเพลงของเขาเองหลายๆ เพลงก็ถูกนำไปรีมิกซ์โดย Montag (เพื่อนที่ค่าย Gooom) และ Cyann & Ben

ในปี 2005, M83 ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อเดียวกับวงอีกครั้ง ซึ่งทำให้ได้วางจำหน่ายในอเมริกา ไม่เหมือนตอนที่ออกมาครั้งแรกในปี 2001

ในปี 2006 หลังจากที่ออกอัลบั้มที่สาม Anthony Gonzalez ยังคงค้นหาทิศทางของดนตรีแบบที่เราได้ยินในอัลบั้มแรกๆ และเริ่มต้นทำโปรเจกต์เพลงประเภทที่เรียกว่า Ambient โดยได้รับแรงบันดาลใจมากจาก Brian Eno และ Krautrock (ซึ่งเป็นเพลงที่ส่วนใหญ่ฟังแล้วลอยๆ ส่วนจะลอยต่ำหรือลอยสูงก็อีกเรื่องหนึ่ง) จนในปี 2007 ก็คลอดออกมาเป็นอัลบั้มที่สี่ด้วยความช่วยเหลือของ Antoine Gaillet (อัลบั้มนี้ได้คนทำอาร์ตเวิร์คชื่อ Laurent Fetis ผู้ที่มีชื่อเสียงมากจากการทำงานให้ DJ Hell, Beck และ Tahiti 80) เขาตั้งใจไว้ว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของซี่รีส์เพลง Ambient ในโอกาสต่อๆ ไป

Saturdays = Youth คืออัลบั้มล่าสุดที่ M83 ทำงานร่วมกับ Ken Thomas (ผู้ที่มีชื่อเสียงมาจากการทำงานกับ Sigur Rós, The Sugarcubes, Boys in a Band, Cocteau Twins และ Suede) Ewan Pearson (ซึ่งโปรดิวซ์ให้กับ Tracey Thorn, The Rapture และ Ladytron) และ Morgan Kibby (แห่ง The Romanovs) อัลบั้มนี้ได้รับการกล่าวขานว่าสามารถถักทอรายละเอียดยิบย่อยเสียงได้สมกับที่เป็นสิ่งที่ทำให้ M83 ได้รับการยอมรับ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มเติมการเน้นเรื่องโครงสร้างและรูปแบบของเพลงเข้าไปด้วย

ในปี 2008, M83 ไปทำงานร่วมกับ Kings of Leon ตอนที่ออกทัวร์ และมีคิวจะไปทำงานร่วมกับ Depeche Mode "Tour of the Universe" ในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ที่เยอรมันและฝรั่งเศส และยังจะไปร่วมเล่นกับ The Killers และออกทัวร์ใน V Festival ไปทั่วออสเตรเลีย (V Festival คือเทศกาลดนตรีแบบ 2 วันของค่าย Virgin ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษและแตกแขนงไปยังออสเตรเลียในปี 2007 โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่ Jarvis Cocker นักร้องนำวง Pulp เอ่อปากว่าเขาอยากแสดงสดกลางแจ้ง 2 วัน หลังจากนั้นโปรโมเตอร์ของเขาก็กลับมาพร้อม V Festival ที่แสดงในสวนสาธารณะทางตอนเหนือและทางตอนใต้รวม 2 วัน!)

“ผมรักที่จะเป็นวัยรุ่น” Gonzalez ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวแต่หนหลัง “ตอนนั้นเป็นตอนที่ผมค้นพบดนตรี เริ่มใช้ยา และจัดปาร์ตี้กับเพื่อน เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ถึงวันนี้ ผมเลยอยากกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง”

สนใจเพิ่มเติม ขอเชิญไปที่ www.ilovem83.com

Thursday, July 9, 2009

Panda Mania!: STREET ART & GRAFFITI EXHIBITION


ข่าวจาก See Scape จ้า ^^
..........................

Panda Mania!!
Street Art & Graffiti Exhibition


list of artists
Kobby1
Guano Design
Nokhook Design
Creative Buffalo
Bath-46 & DTHS
SP. & Org!!!
feat. Hern

Openning party on Friday,10th
from 7 pm
works will be on for 10 days

location: Gallery SeeScape Nimmanhemind soi 17

"Reverie of Happiness" @ 116 Art Gallery

ไปดูงานพลอยมา งานสวยดี เสมอต้นเสมอปลาย (แต่คราวนี้ไม่ค่อยหม่น) น่าเสียดายที่ที่จัดแสดงคับแคบไปสักนิด ไม่มีพื้นที่ให้หายใจหายคอเลย น่าเสียดาย แต่ก็คิดว่าเข้าใจ...

ใครว่างๆ งานยังมีแสดงอยู่จนถึงวันที่ 31 กรกฎานี้นะ ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ละกัน http://ploy-kasom.blogspot.com/

^^

RH 02 : GREETING


มาแล้ว หน้าทักทายของ RH อันที่สอง คราวนี้เป็นกระต่ายเงินตัวเล็กมากกกกกก ขนาดประมาณ 1 ซม. เท่านั้น ชอบตาหยีๆ ของมัน...ตลกดี

จะพยายามเปลี่ยนหน้าทักทายให้ได้ทุกเดือน....จะพยายาม...

^^

Michael Clayton: MOVIE


สอยดีวีดีมาจากบ้านเพื่อน นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อยากไปดูตอนเข้าโรงแล้วไม่ได้ไป -_-' สนุกสนานลุ้นระทึกใจ ได้เห็นความพยายามต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ที่แลกมาด้วยการวางแผนอย่างแนบเนียนและชีวิตของตัวเอง ไม่ค่อยได้เห็นคุณจอร์จแสดงบทแบบนี้ (เคยเห็นแต่ทะเล้น กรุ้มกริ่ม)

ฉากของวงการทนาย ทำให้นึกถึงอาจารย์ในหนัง The Reader ที่สอนลูกศิษย์ว่า "โลกนี้ไม่ได้อยู่ด้วยอะไรทั้งนั้น แต่อยู่ด้วยกฏหมาย" (เพราะเป็นสิ่งเดียวที่บอกได้ว่า ถูก หรือ ผิด ชัดเจน) เลยได้เห็นการพยายามต้อสู้ในข้อจำกัดนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อภิมหาศาลของบริษัทใหญ่ยักษ์

ดีใจที่โลกศิลปะ (บันเทิง) ยังมีพื้นที่ให้ได้สื่อสารข้อความเหล่านี้ เพราะในชีวิตจริงเราคงไม่สามารถต่อสู้ฟ้องร้องบริษัทใหญ่ๆ หรือคนใหญ่ๆ ได้ง่ายดายนัก...

+โชคร้ายโคตร! ตอนท้ายแผ่นเป็นรอย เลยไม่ได้ดู 5 นาทีที่ตัวละครเอกเข้าไปคุยกับคุณผู้หญิงเจ้าของบริษัท....เลยไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน (ซวยบรม!!) -_-'

Directed by Tony Gilroy