Tuesday, August 14, 2007

ทะลุหูขวา (4) : เพชร โอสถานุเคราะห์

คอลัมน์ของเดือนนี้ สำหรับผู้ที่หาอ่านใน HIP ไม่ได้
เขียนจากเพลงพี่เพชร แม้ว่าเพลงนี้จะไม่ใช่เพลงที่เพราะที่สุด
ไม่ฮิตเท่า ไม่ใช่ผู้วิเศษ หรือ ดิ้นกันมั้ยลุง
แต่เราชอบความหมายของ 'การตื่น'
ที่ไม่ใช่แค่ 'ลุกจากที่นอน'แต่คิดไปได้ถึง 'การฟื้นจากหลับ'
ขอเชิญรับชม

ทะลุหูขวา
text and artwork by วชิรา
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับสิงหาคม 2550

ขอขอบคุณ M MAX ครับ

{artist}
เพชร โอสถานุเคราะห์

เพชร โอสถานุเคราะห์เกิดที่กรุงเทพมหานคร เป็นเด็กซุกซน
ชอบคุยและส่งเสียงดัง นอกจากนั้นยังชอบนั่งในลอยเป็นประจำ

เขาเรียนเปียโนครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 12
แต่หลังจากสองอาทิตย์ ก็หันไปหัดเล่นกีตาร์ด้วยตัวเอง
ช่วงอายุเดียวกันนั้น เพชรแต่งเพลงแรกในชีวิตชื่อ Pie Maker
ซึ่งมีอยู่แค่ 2-3 คอร์ด จากนั้นก็ตั้งวงดนตรีของตัวเองชื่อ สี่หมาไน
กับน้องชายและเพื่อนอีกสองคน ในสมัยที่วง สี่เต่าทอง กำลังฮิตมากในบ้านเรา

เขาเป็นเจ้าของเพลง เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ)
ซึ่งแต่เดิมเขียนขึ้นเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ I’m Just a Man
ในช่วงเวลาที่เขาไปศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ต่อมาเพลงนี้กลายเป็นเพลงที่ทุกคนรู้จักดี
และยังคงรู้จักกันมาจนถึงทุกวันนี้

ในช่วงเวลาที่อัลบั้มแรก: ธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา
ออกสู่สายตาประชาชนเมื่อเดือนกันยายนปีพ.ศ. 2530 นั้น
ได้ส่งกระแสเกรียวกราวไปในวงกว้าง ทั้งในหมู่นักดนตรี นักวิจารณ์
และประชาชนคนฟังเพลงทั่วไป ด้วยความแปลก ใหม่
และล้ำสมัยกว่าอัลบั้มส่วนใหญ่ในยุคสมัยเดียวกัน

หลังจากนั้น เพชร โอสถานุเคราะห์ หายหน้าไปจากวงการดนตรี 20 ปีเต็ม
จนนักเขียนบางท่าน กล่าวว่าเขาเป็นศิลปินประเภท One Shot Wonder
อันหมายถึงศิลปินหรือนักร้องที่ไม่ว่าจะออกมากี่อัลบั้ม
แต่มีเพลงฮิตที่คนรู้จักอยู่เพลงเดียว

ปัจจุบันพ.ศ. 2550 เขากลับมาพร้อมอัลบั้มใหม่ Let’s Talk About Love
ในขณะที่อัลบั้มแรก ได้กลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มคลาสิกตลอดกาล
สำหรับวงการดนตรีบ้านเรา
และเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่สนใจดนตรีกลุ่มหนึ่งเติบโต
มาเป็นนักร้อง นักดนตรีในปัจจุบัน

เพชรให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งในนิตยสาร OOM (ฉบับที่ 13/เดือนมีนาคม 2550) ว่า
“ตอนที่ออกเทปชุดแรก เราอาจไม่ได้สัมผัสกับแฟนเพลงที่แท้จริง...
แต่สิบปีต่อมา เราเพิ่งได้เจอแฟนเพลงตัวจริงที่เป็นศิลปินด้วยกันเอง...
ซึ่งมันมีค่ามาก เพราะสำหรับผม จำนวนคนที่ชอบไม่ได้สำคัญ
อาจจะสิบคนก็ได้ ไม่ต้องเป็นหมื่นเป็นแสน มันอยู่ที่เค้าเข้าใจแค่ไหน
และคือใครมากกว่า”

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.petcho.com (มีมิวสิกวิดีโอให้ดูด้วยนะ!!)

{lyric}
ตื่นเถอะ

เช้าแล้ว รีบตื่นกันแต่เช้า อย่าสาย วันใหม่ใช่วันเก่า
เอ้ามาพวกเรารีบตื่นกันให้ทันดวงตะวันวันใหม่ที่แสนจะโรแมนติก
เช้าแล้ว รีบตื่นกันแต่เช้า ตื่นสายอายชาวบ้านเปล่าๆ
ถ้าเราตื่นเร็วกันทุกวัน ร่างกายก็จะจำ ตื่นเองออโตเมติก

ตื่นเช้า มาสดใส เคลื่อนไหวให้ทันการ
อาบน้ำ แล้วรีบบริหารกายไขลาน
ทานข้าว แล้วอ่าน-ฟังข่าวคราวโลกเพื่อทันการ
ตื่นเถอะ อย่าตื่นสาย

เช้าแล้ว รีบไปทำงานแต่เช้า ขืนสาย นายจะมองหน้าเอา
แล้วหาว่าเรานั้นเป็นส่วนเกินที่ไม่จำเป็นของธุรกิจ
เช้าแล้ว รีบตื่นกันแต่เช้า แม่ค้า ยังตื่นหาบของไม่เบา
มาสิพวกเราต้องขยันตื่นกันเพราะเราเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ

ตื่นเช้า มาสดใส เคลื่อนไหวให้ทันการ
เตรียมพร้อมไปศึกษา เตรียมพร้อมไปทำงาน
เก็บหมอน ม้วนเสื่อ อย่านอนฝันข้ามคืนวัน

ตื่นเถอะ อย่าตื่นสาย ตื่นเถอะ

{essay}
ตื่นเถอะ

สัตว์ส่วนใหญ่ในโลกนี้ตื่นเช้า เพราะนาฬิกาของมันคือพระอาทิตย์
ต่างจากคน-ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
ที่เราต้องใช้ ‘อุปกรณ์’ เพื่อบอกเวลา
ในขณะที่ทุกสิ่งอย่างก็ดำเนินไปตามธรรมชาติของเวลาอยู่แล้ว
เราจะบอกสิ่งที่มีอยู่แล้วไปทำไมกัน
.........

ถ้าให้เลือกระหว่างอาหารเย็นกับอาหารเช้า
ระหว่างดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่มีไวโอลินคลอเคลียอยู่เคียงข้าง
กับชุดอาหารเช้าแบบอเมริกันอุ่นๆ กาแฟร้อนๆ น้ำส้มสด
พร้อมขี้ตากรังในบางครั้ง ผมเลือกอย่างหลัง
ไม่ใช่เพราะหลงไข่ไส้กรอกแฮมเบคอนหรือกาแฟหอมกรุ่น
แต่เพราะบรรยากาศ

ผมอาจคิดไปเองว่าตอนเช้าเป็นชีวิตที่ ‘จริง’ กว่า-ในโลกทุกวันนี้
เราแต่งตัวให้กลางคืนจัดเกินไปหน่อยไหม

ตลอดหนึ่งปีกับอีกราวสองเดือนที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่
ในฐานะผู้อาศัย, ผมได้ฟังว่าคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย
มีช่วงเวลาการนอนที่ผมไม่คุ้นเคย พวกเขาเข้านอนตีสาม ตีสี่
บ้างเลยเถิดไปถึงตีห้าหรือหกโมงเช้า อันมีสาเหตุมาจากการดื่ม เที่ยว
สังสรรค์ คุยโทรศัพท์ แช็ท เล่นเกมส์ อ่านการ์ตูน และ/หรือ อื่นๆ ที่ผมไม่ทราบ

ช่างเถอะ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะทำอะไรและกำลังทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
เพราะผมไม่ได้มีความสนใจจะจัดระเบียบอะไรทั้งสิ้น
คนไม่ใช่ปลากระป๋อง-จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องยึด
ประพฤติ และวางตนให้เป็นแถวแนวเข้าระบบระเบียบเรียบร้อยขนาดนั้น

มนุษย์เรามีความแตกต่างหลากหลาย
และที่สำคัญ, เราไม่ใช่ผลิตของโรงงาน และ/หรือรัฐบาล

ตามกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย
จำนวนเวลาที่พักผ่อนจำเป็นต้องสมดุลย์กับจำนวนเวลาที่ใช้จ่ายไปในระหว่างวัน
นั่นก็หมายความว่า ถ้าคุณนอนตีห้า ก็เป็นไปได้มาก
ที่คุณจะตื่นบ่ายสองหรือบ่ายสาม และพลาดเวลาเช้า

หลายคนชอบกลางคืน ผมเองก็ชอบกลางคืน
แต่เป็นคนละความหมายของความชอบเวลาเช้า
สำหรับผม, กลางคืนเป็นเวลาทบทวน ตรึกตรอง
และเป็นเวลาที่ใกล้ชิดกับความตายมากกว่าเวลาอื่น
ความสนุกสนานตอนกลางคืนล้วนจบลงที่ความสงบเงียบเชียบของยามดึกเสมอ

ในขณะที่ตอนเช้าเป็นช่วงเวลาเริ่มต้น และใกล้ชิดกับการมีชีวิต
เป็นความสดชื่นแบบเดียวกับที่กระโจนตัวเองลงไปในสระน้ำ
และเป็นความใหม่
ทั้งอุณหภูมิ อากาศ บรรยากาศ และมวลสารของคนรอบข้าง
ที่คล้ายกับว่าเพิ่ง ‘ตื่น’ ขึ้นมาพร้อมๆ กัน
และนี่เองอาจเป็นหัวใจสำคัญในการ ‘ค้นพบ’ สิ่งเหล่านี้

การตื่น

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานฉบับพ.ศ.2542
ให้ความหมายของคำ ‘ตื่น’ ว่า ฟื้นจากหลับ เช่นตื่นนอน;
แสดงอาการผิดปกติเพราะตกใจ ดีใจ หรือแปลกใจ เช่น ตื่นเวที ตื่นไฟ;
รู้สิ่งทั้งหลายในความเป็นจริง ในคำว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตื่นแล้ว;
โดยปริยายหมายความว่า รู้เท่าทัน รู้ตัวขึ้น

ในบรรดาความหมายทั้งหมด นอกเหนือจาก ‘ฟื้นจากหลับ’
ผมชื่นชอบความหมายนี้เป็นพิเศษ-รู้สิ่งทั้งหลายในความเป็นจริง
ซึ่งก็คือ ‘รู้เท่าทัน’ ในบรรดาความหมายทั้งหมดของชีวิต
แน่นอน, ความทุกข์น่าจะครองใจเป็นอันดับหนึ่ง
ส่วนความสุขนั้น ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว มาๆ หายๆ คล้ายผดผื่น

อย่าถามเลยว่าจะมีความสุขตลอดไปได้อย่างไร-เพราะผมไม่ทราบคำตอบหรอก

ในหนังสือ ‘ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ’ (The Miracle of Being Awake)*
ที่เขียนโดยพระชาวเวียดนาม ชื่อ ติช นัท ฮันห์
(ท่านเพิ่งมาแสดงปาฐกถาที่เชียงใหม่นานนี้เอง) บอกว่า
“จงจำไว้ว่ามีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียว คือ ‘ปัจจุบัน’
ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา
เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่
และภาระกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข
เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต”

เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา และหนังสือยังกำกับไว้ด้วยว่า
เครื่องมือที่จะทำให้เราสามารถอยู่กับปัจจุบันได้นั้น
คือต้องมีสติ-วิธีง่ายๆ ที่ทำยากที่สุดในโลก

ในบท ‘ล้างจานเพื่อล้างจาน’ ของหนังสือเล่มเดิม
ผู้เขียนเล่าถึงเพื่อนคนหนึ่ง ที่ทำงานอยู่กับกลุ่มคาทอลิกสัมพันธ์
(Chatholic Peace Fellowship) เขาเผาหมายเกณฑ์ทหาร
เพื่อเป็นการต่อต้านสงครามเวียดนาม ผลคือต้องติดคุกปีกว่า
เนื่องจากชายผู้นี้เป็นคนกระตือรือร้นและอุทิศตนต่องาน
ผู้เขียนเกรงว่าเขาจะเผชิญกับกำแพงสี่ด้านของคุกไม่ไหว
จึงเขียนจดหมายสั้นๆ ถึงเขา
ให้ระลึกถึงกลีบส้มที่เคยแบ่งกันกินว่า
“การอยู่ในคุกของเธอก็เหมือนกลีบส้มนั้น กินมัน
และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับมัน
วันพรุ่งนี้ มันก็จะไม่มีอีกแล้ว”

สามปีถัดมา ผู้เขียนผู้เขียนได้รับข้อความขอบคุณ
สำหรับจดหมายสั้นๆ ฉบับนั้น
เพราะมันทำให้เขาได้พบความสงบและวิธีที่จะอยู่อย่างแจ่มใสในคุก
และใช้ช่วงเวลาในคุกให้มีประโยชน์กับตัวเขา

แม้ผมจะไม่สันทัดเรื่องการทำให้คนด้วยมีความสุข
หรือการที่จำต้องกระเด็นเข้าไปนอนซุกอยู่ในคุก
แต่ผมก็คล้อยตามว่า จดหมายฉบับนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการค้นพบของเขา

เพราะมันช่วยปลุกให้เขามองปัจจุบันที่เป็นอยู่ด้วยสายตาใหม่
อย่างถึงที่สุด, ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน
การตื่นจึงเป็น ‘กุญแจ’ สำคัญสู่การ ‘ค้นพบ’ สิ่งที่มีและเป็นอยู่
และนั่นอาจหมายถึง ความสุข

ตื่นเถอะ!

*จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง แปลโดย พระประชา ปสนนธมโม

13 comments:

Anonymous said...

ขอบคุณโอกาสดี...
จังหวะที่ดี ที่เข้ามาในชีวิต...
ขอบคุณพี่โจ้ วชิรา...ที่มอบความสุขในวันนั้น
ขอบคุณผู้สรรสร้างบทเพลง...พี่เพชร
และคงลืมไม่ได้สำหรับ..บรรยายกาศดีๆ พี่ๆที่อบอุ่น..นิตยสาร HIP และร้านขันอาษา

ทุกคนสนุกมากๆๆๆ

ปารตี้ที่การรวมตัวของผู้คนที่มีความคิด ความชอบ คล้ายๆกัน...เป็นงานที่ มันส์จริงๆๆๆ

จาก...เพลิน

Anonymous said...

การบอกถึงสิ่งที่ มีอยู่ แล้ว
อาจเพระเรามักหลงลืมสิ่งที่ มีอยู่ แล้ว
เลยต้องหาอะไรมาย้ำเตือนในการมีอยู่ของสิ่งนั้น..ก็เป็นได้

ตั้งแต่ได้ตื่นเช้าทุกวันทำให้รู้สึกถึงและมองเห็นโลกของความจริงมากขึ้น
welcome to the real world!

: )

Anonymous said...

ชื่นใจแทนจัง...

...ความสุขเกิดขึ้น

หลงรักเสียงเพลง...

^^

jao

Anonymous said...

สมัยเป็นเด็กน้อยพี่ชายข้างบ้าน ชอบร้องเพลง ดิ้นดิ้นกันมั้ยลุง--เต้นยั่วคุณลุงผู้พ่อ--แล้วตามด้วยเสียงด่าตามประสาพ่อลูกผูกพัน
ตอนนี้พี่ชายข้างบ้านมีลูกแล้ว ลุงก็ย้ายบ้านไปอยู่โลกหน้าแล้ว

แต่ 20 ปีต่อมา พี่นักร้องเคราแพะ ออกเทปชุดสอง--คนเราเป็นอมตะได้จริงๆ

สำหรับตัวเอง บางวันก็อยากตื่น บางวันก็ไม่อยากตื่น--ทั้งๆที่รู้ว่า"ตื่น"ดีกว่าหลับไหลซึมเซา--แต่บางเวลาก็อยากหลับให้มันลืมๆไปบ้าง

แต่กะลังฮิตเลยน่ะเนี่ย "ตื่่ง ตื่ง--มีเลื่องแล้ว"
คิดถึงพี่ลุงนะ

Anonymous said...

ทำไมคนเราต้องคิดถึงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้


ทำไมถึงต้องคิดถึงมากขนาดนี้



(ทำไมมอบความสุขเยอะจังเลยวะ)
ไม่เคยจำ!

Unknown said...

พี่โจ้อยากได้เพลงแบบไหนเหรอคะ
อินดี้ฝรั่งเศสมีหลายแนวน่ะพี่

Anonymous said...

ตื่น เถอะ
ตื่น จาก ภวังค์ ได้ แล้ว!

Anonymous said...

^^

jao เองนะ

Anonymous said...
This comment has been removed by a blog administrator.
Anonymous said...

พี่โจ้

บังเอิญมากที่เมื่อวานไปซื้อหนังสือ a day ฉบับล่าสุดแล้วเห็น 'ทะลุหูขวา' พร้อมรูปพี่นั่งอยู่ แอบคิดอยู่คนเดียวว่า "ดีใจจังที่ได้เจอกัน" ถึงแม้จะเห็นอยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม .. แต่อย่างน้อยมันก็คือความน่ารักที่ทำให้ได้เจอและนึกถึงอีกครั้ง

กลับบ้านไปเดือนหน้าจะแวะไปดูแถวร้านขันอาษาบ้างเผื่อจะได้ เอ่ยคำว่า "ดีใจจังที่ได้เจอกัน" แบบเต็มปากเต็มคำ : )

เชียงใหม่ฝนตกบางวัน รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ

แน๊ต

Anonymous said...

พี่เจ้าของบล็อก..อัพบล็อกหน่อยสิ..เข้ามาแล้วเป็นอันเดิมทุกที...
:-(

Anonymous said...

ตอนนี้อยู่ที่ บ้านไทยหรือเปล่าคะ
ถ้าใช่ ก็ขอบคุณที่เปิดประตูให้ถึงสองครั้งด้วยกัน

ขอบคุณค่ะ :)

Anonymous said...

ขอเลือกตื่น....(หลุดพ้น)เป็นบางช่วงเวลาได้ไหม
เพราะคนเราอ่อนแอเป็นครั้งคราว