Tuesday, September 29, 2009

5 3 15: CONCERT

ใครมีตั๋วแล้ว เจอกันนะ

^^

Eastern Promises: MOVIE


ดูโดยบังเอิญอีกแล้ว เคเบิ้ลท้องถิ่นนี่คาดเดาไม่ได้จริง ^^
พลาดตอนแรกไปเหมือนเคย เดี๋ยวคงต้องไปหามาดู
เพราะขนาดไม่ได้ดูตั้งแต่แรก ยังติดหนึบดูไปจนจบ (เกือบสว่างคาตา)
เขาเล่าเรื่องได้มีพลังดีแท้ ไม่ประนีประนอมเลยแม้แต่น้อย
แต่พอดูจบเห็นชื่อผู้กำกับก็ อ๋ออออออออ..... พี่คนนี้นี่เอง!

เรื่องขอหมอสูติฯ ที่ทำคลอดเด็กสาว แล้วเหลือสมุดบันทึกไว้เป็นมรดกสุดท้าย
สมุดบันทึกดันเป็นภาษารัสเซีย เธอต้องให้ลุงช่วยแปล
ไอ้ลุงก็เป็นชายขี้เมาปากมหา พูดจาไม่มีหูรูด
แถมเรื่องทั้งหมดยังไปพัวพันกับแก๊งค์มาเฟียรัสเซีย...ซึ่งน่ากลัวมาก
ตัวละครต้องใช้ความกล้าหาญมากในการที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง

เอาล่ะ เล่าได้เท่านี้ก่อนนะ ไว้ได้ดูเพิ่มแล้วค่อยมาว่ากันใหม่
ปล ชอบ Naomi Watts ^^

Directed by David Cronenberg

Philippines' Flood: NEWS



ดูเหมือนเราจะมีปัญหาจากภัยธรรมชาติอีกแล้วนะ

T_T

ปล ขอบคุณที่ส่งข่าวนะครับ

DEATH OF UNCLE


"Life is a dream walking death is a going home."

Chinese Proverb

Thursday, September 24, 2009

Into An Empty Sky @ CMU ART MUSEUM

ไปดูมาตั้งแต่ปลายสิงหาโน่น (-_-') เพิ่งจะได้เอามาลง
เจ้าของผลงานชื่อ ซาเวรี่ โวลสกี้ เป็นชาวโปแลนด์ ที่อาศัยอยู่ในเม็กซิโกและนิวยอร์ก
ช่วงที่ผ่านมาเขาเดินทางมาประเทศไทย โดยได้รับเชิญจากมูลนิธิ เจมส์ เอช ดับเบิ้ลยู ทอมป์สัน ให้มาทำงานในฐานะศิลปินในที่พำนัก (artist resident) ที่หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน

เขาเดินทางไปทั่วๆ ตั้งแต่โคราช ราชบุรี กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ เพื่อพัฒนางานกับวัสดุท้องถิ่น
ขอเชิญรับชม

ปล ไปดูมาวันสุดท้ายพอดี เขากำลังเริ่มเก็บของแล้วล่ะ

Wednesday, September 23, 2009

The Other Boleyn Girl: MOVIE


ขออภัยที่หายไปนานมากกกกกกก ช่วงนี้ยุ่งโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆ T_T
มีโอกาสได้ดูหนังหนึ่งเรื่อง (เท่านั้น!) แล้วก็ดูช้าหว่าชาวบ้านเขาตามเคย

The Other Boleyn Girl เป็นหนังย้อนยุค เล่าเรื่องของครอบครัวขุนนางที่เกี่ยวพันกับวังหลวงและกษัตริย์อังกฤษ ชอบที่ได้เห็นความต้องการซึ่งอำนาจที่ต้องแลกมาด้วยลูกสาว เห็นความทะเยอทะยานของพี่สาวที่กระทำต่อน้อง เห็นน้องสาวที่แต่งงานแล้วแต่ก็มีความสุขที่จะได้เป็นนางสนมของกษัตริย์ ได้เห็นกษัตริย์ที่ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากวิตกกังวลเรื่องรัชทายาทที่ต้องเป็น ลูกชาย เท่านั้น

อีรุงตุงนังกันมาทุกยุคทุกสมัย เราเชื่อว่าโครงเรื่องเดียวกันนี้ก็ยังคงมีอยู่ในยุค facebook หรือ twitter ของเรานี้ ฉะนั้น อย่าชะล่าใจไป...ใครยังไม่ได้ดูขอชวนให้ดู หดหู่ดีนักแล (หนังภาพสวยเหมือนโฆษณา)

ดูจบแล้วเรานึกถึงภาพแรกๆ ที่พี่น้องสามคนนี้รักกันมากกกกกกกกกกก

ปล แต่เลือกนักแสดงเจ๋งดีนะ

Directed by Justin Chadwick

Wednesday, September 9, 2009

Sufjan Stevens: YOUTUBE

เอ้านี่...
ตัวอย่างเพลงของ Sufjan Stevens
ท่านว่าต้องค่อยๆ ฟังนะ

^^



FALL ON DEAF EARS: SEPT 2009


(scroll down for english)

RabbitHood kindly presents

Fall On Deaf Ears 25 (mini):
Introducing the music of 'Sufjan Stevens'


Sunday 13th September 2009
@ Malateh (nimman soi 17) Chiang Mai
5.30 - 7.30 PM + Barbecue


Admission Free and No Table Reservation at all.
More info call 086 663 0303 or
visit: www.rabbithood.net

Previous: F>O>D>E>The New Begining> visit: www.rabbithood.net/fode24
Next: F>O>D>E>26>The Third Journey to Pai !!!

...............................................................

สวัสดีเดือนกันยา

ที่เคยแจ้งไปว่าจะของดงานหูไปจนถึงเดือนตุลาคมนั้นก็เป็นอันว่าทำไม่สำเร็จ
เรื่องมันเริ่มตรงที่เจ (สันติภาพ-ผู้กำกับหนังที่ถ่ายหนังสารคดี 'ใจหาย' ให้ RH) มาชักชวนให้เราทำเวิร์คช็อปเรื่องการฟังเพลง

ในโอกาสที่เจและเพื่อนๆ สุมหัวกันทำร้านใหม่ในรูปสหกรณ์ชื่อ 'มาลาเต' (Malateh)
เจบอกว่า มาลา นั้นเป็นภาษาอินเดียแปลว่า ดอกไม้ ส่วน เต นั้นเป็นภาษาจีนแปลว่า ชา
ดังนั้นเมื่อนำมารวมกัน มาลาเต จึงเกิดเป็นร้านโชว์ห่วยน่ารักๆ ที่จะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้นอกระบบ
(งงมั้ย? งงเหมือนกันว่ามันรวมกันยังไง)

มาลาเตริเริ่มจัดอบรมแบบกันเองๆ ตลอดเดือนกันยาในหัวข้อ 'แคะขี้หู' (กับเรา) 'ถูขี้ตา' (กับกรกฤช) และ 'ร้อยมาลัย' (กับเพื่อนของเจ)
สนนราคานั้นก็แตกต่างกันไปตามลักษณะของการอบรม

ในส่วนของเรานั้นจะเป็นเวิร์คช็อปเรื่อง 'ฟังเพลงให้ได้ยิน' อันเริ่มมาจากข้อสังเกตุที่ว่า
เรามักไม่ค่อยฟังเพลงกันแบบที่ฟังมันให้ 'ได้ยิน' จริงๆ แต่เพลงกลายเป็น เสียง ที่ประกอบกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ทำการบ้านไปด้วยฟังเพลงไปด้วย ขับรถไปด้วยฟังเพลงไปด้วย หรือซักผ้า ล้างจาน ฯลฯ ทีนี้ถ้าเพลงที่เราเปิดนั้นเป็นเพลงป็อปทั่วๆ ไป มันก็คงฟังรื่นหูดี แต่บังเอิญว่าเพลงในโลกนี้ไม่ได้มีแต่เพลงป็อปอย่างเดียว เรายังมีเพลงแปลกๆ ที่คนทำตั้งใจทำด้วยความพิถีพิถัน เพลงลักษณะนี้ถ้าฟังผ่านๆ ก็พานจะหนวกหู ฟังไม่รู้เรื่อง ฯลฯ

แล้วสุดท้ายก็ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ 'ฟังไม่รู้เรื่อง' 'ไม่เพราะ' ฯลฯ

เราเลยคิดว่าการฟังเพลงที่ดูเหมือนจะเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรานั้น ที่จริงแล้วมันยังมีเพลงบางประเภทที่ เรียกร้อง ให้เราต้อง 'เอาใจใส่' มันมันเป็นพิเศษอีกด้วย (เหมือนเวลาที่เราดูหนังในโรงแล้วไม่มีโอกาสซักผ้าไปด้วยนั่นแล)

ยังไงใครสนใจก็ลองโทรไปที่มาลาเตละกันนะ นี่เบอร์ 089 431 5531
ส่วนรายละเอียดของเวิร์คช็อปอีกสองอันนั้น เราก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก
ถ้าใครสนใจก็โทรไปที่เบอร์ข้างบนนั่นก็แล้วกัน

กลับมาที่งานหู
ไหนๆ ก็ต้องเวิร์คช็อปแล้ว ก็เลยคิดว่าจัดงานไปเลยดีกว่า เราหาโอกาสจัดซีรี่ย์แนะนำนักดนตรีอยู่บ่อยๆ คราวนี้เป็นคิวของคุณ Sufjan Stevens (ซึ่งเหมาะมากกับบรรยากาศของมาลาเต)

เกี่ยวกับคุณ Stevens นั้น เราสนใจที่ดนตรีของเขามีความประณีตสูง ฟังเผินๆ อาจฟังคล้ายเพลงคันทรี่แบบอเมริกัน (ซึ่งปกติเราไม่ค่อยได้ฟังเลย) แต่พอตั้งใจฟังดีๆ ก็จะได้ยินรายละเอียดเล็กๆ น้อย ที่แสดงความยุ่งเหยิงแบบอเมริกันได้ดี ถ้าใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมก็ขอเชิญเข้าไปอ่านได้ที่นี่ (เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2007)
http://iamvajira.blogspot.com/2007/11/7-artist-sufjan-stevens.html

งานหูคราวนี้เราตั้งใจทำให้เป็นงานยามเย็น บรรยากาศสบายๆ มีเครื่องดื่มเบาๆ มีบาร์บีคิวปิ้งย่างให้ได้กินกันเพลินเพลิน และยังทดลองออกแบบการสื่อสารในงานให้เป็นระบบมือคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อให้ได้บรรยากาศแบบสวนหย่อมของมาลาเต ใครที่เคยมางานหูจะรู้ว่าทุกครั้งเราจะมีจอเขียนข้อความ เอาไว้สื่อสารกับคนที่มา ทุกครั้งก็จะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีอะไรว่ากันไป แต่คราวนี้เราจะลองแบบมือดูบ้าง
ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ขอเชิญติดตามรับชม

เอาล่ะ ใครว่างๆ พบกันที่งาน และขออภัยที่ส่งข่าวค่อนข้างช้า
จะพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นนะ

ที่เชียงใหม่ฝนชอบตกหนักๆ ตอนเย็น ไม่รู้ที่อื่นเป็นยังไง
ระวังเป็นหวัดก็แล้วกัน


แล้วพบกันในงาน

^^
วชิรา
RabbitHood


.................
Hello september,

"Fall on Deaf Ears” can’t wait until October.

Jay Santipap, RH’s ‘Breathless’ Documentary Director, asked me to set up a music workshop with him for the opening of ‘Malateh’. Jay said 'Mala' means 'flower' while 'Teh' means 'tea'. So anyway this ‘Malateh’ will be a new place for cool learning for everyone.

‘Malateh’ is hosting 3 workshops on music, photo and flowers in September. Workshop fees are to be announced.

My workshop will be ‘how to appreciate music’. It begins with my observation that music is not protagonist but just the soundtrack of our life. We listen to music when we drive, doing choirs, etc. That would be okay if we have only pop music in this world but we do not. Some other music that need more attention to appreciate its delicate composition.

Call Malateh at 089 431 5531 if you are interested.

Let’s get back to our Fall on Deaf Ears party.

This September party will be about Sufjan Stevens (perfect for Malateh ambience). It spins American country music with trivial details of American chaos. For more information, please visit
http://en.wikipedia.org/wiki/Sufjan_Stevens (555)

This party will be a chilling out barbeque evening. All communication will give human touch to match Malateh garden. For Fall on Deaf Ears fans, you know that we have a screen to communicate with audience. This time it will be different. All communication will be ‘hand-made’. Let’s join and see what it is like.

See you at the party. Sorry for a short notice. I will improve.

It’s a downpour in the evening in Chiang Mai. How about your location?
Take care and see you at the party.


^^
vajira
RabbitHood

Malateh s WORKSHOP


เดือนกันยา แคะขี้หู ถูขี้ตา ร้อยมาลัย ที่มาลาเต

12-13 กันยา 52
เวลา 13.30-16.30 น. แคะขี้หูกับวชิรา ด้วยหลักสูตร “ฟังเพลงให้ได้ยิน” หลักสูตรอบรมการวิเคราะห์วิจารณ์เพลง ผ่านมุมมองของวชิรา


ที่มา/เนื้อหา เป็นเวลานานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ฟังเพลงกันอย่างแท้จริง เราเปิดวิทยุดังลั่นในขณะที่สังสรรค์กับเพื่อน ซักผ้า ทำการบ้าน คลื่นเสียงเหล่านั้นทะลุผ่านเราไปมา โดยที่เราไม่รับรู้ถึงความงามและสาระสำคัญที่บรรจุอยู่ในนั้น ในหลักสูตรนี้ท่านจะได้วิเคราะห์วิจารณ์เพลงร่วมกับวชิรา รวมถึงกระบวนการอย่างเรียบง่าย ที่จะช่วยให้ท่านเข้าถึงการฟังเพลงและรื่นรมณ์กับการฟังเพลงอีกระดับ หลักสูตรนี้เป็นการปูพื้นฐานสำหรับผู้ที่อยากเป็นนักฟังเพลง นักวิจารณ์เพลง ดีเจ นักร้องนักดนตรี และบุคคลทั่วไปที่อยากฟังเพลงให้ถึงหู

วิทยากร
วชิรา เป็นที่รู้จักในฐานะอดีตบรรณาธิการหนังสือ a day และผู้ก่อตั้ง RabbitHood ด้วยมุมมองพิเศษเฉพาะตัว ทำให้ชื่อของวชิราเป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างกว้างขวาง เป็นที่รู้กันว่าวชิรามีความสนใจด้านงานเพลงอย่างเหนียวแน่น ดังจะเห็นได้จากบทความวิจารณ์เพลง การร่วมวงกับ Migrate to the Ocean และ งานเปิดแผ่น "ทะลุหูขวา" อันลือลั่น

ลงทะเบียน 2 วัน 350 บ.
พร้อม tea break และมีส่วนร่วมในกระบวนการเตรียมงาน "ทะลุหูขวา" (ปีที่ 3) ในวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน เวลา 17.30-19.30 น. ที่มาลาเต

............................

19-20 กันยา 52
เวลา 14.00-17.00 น.
ถูขี้ตากับกรกฤช ด้วยหลักสูตร "Old Fashion"


หลักสูตรอบรมเพื่อขยายมุมมองการถ่ายภาพ โดยศิลปินและช่างภาพมืออาชีพ กรกฤช เจียรพินิจนันท์ เนื้อหา หลักสูตรนี้ไม่ใช่หลักสูตรการถ่ายภาพเบื้องต้น แต่มีเนื้อหาว่าด้วยมุมมองและแนวคิดในการถ่ายภาพ โดยวิเคราะห์ผ่านมุมมองและประสบการณ์ของกรกฤช เจียรพินิจนันท์ ดังนั้นไม่ว่าท่านจะใช้กล้องSLR กล้องป๊อกแป๊ก โลโม่ หรือกล้องมือถือในการถ่ายภาพ ท่านก็สามารถนำแนวคิดในหลักสูตรไปพัฒนาให้เกิดมุมมองเฉพาะตัวในการถ่ายภาพของท่านได้

วิทยากร
กรกฤช เจียรพินิจนันท์ เป็นที่รู้จักในฐานะช่างภาพมืออาชีพระดับต้นๆของเมืองไทย ซึ่งความพิเศษของเขาอยู่ที่การผนวกศิลปะลงไปในภาพถ่ายได้อย่างลงตัวและมีลักษณะเฉพาะตัวที่น่าทึ่ง ด้วยลักษณะที่ผิดเพี้ยนจากขนบการถ่ายภาพแต่กลับมีมิติเชิงลึกทางศิลปะที่ถ่ายถอดแนวคิดและประสบการณ์ได้ ทำให้ผลงานของกรกฤชถูกเชิญไปแสดงในเวทีศิลปะใหญ่ๆทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ลงทะเบียน 2 วัน 500 บ. พร้อม tea break

....................................


26-27 กันยา 52
เวลา 13.30-16.30 น. ประดิดประดอยกับโอภาส ด้วยหลักสูตร "เป๋นดอกเป๋นดวง"

หลัก
สูตรอบรมปฏิบัติการ การจัดดอกไม้แบบล้านนาร่วมสมัย โดยช่างดอกไม้มือหนึ่งแห่งล้านนา โอภาส ยาคำมีเนื้อหา ในหลักสูตรนี้ท่านจะได้เรียนรู้การจัดดอกไม้ล้านนาร่วมสมัยแบบปฏิบัติจริง โดยมีคุณโอภาส ยาคำมี เป็นผู้บรรยาย สาธิต และให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดตลอดกระบวนการปฏิบัติ

วิทยากร โอภาส ยาคำมี ถือเป็นช่างดอกไม้และนักออกแบบดอกไม้มือหนึ่งของล้านนา ด้วยทักษะพื้นฐานแบบประเพณีอันวิจิตรบรรจงที่เขาฝึกฝนมาแต่เยาว์วัยบวกกับการประยุกต์เข้ากับยุคสมัยเมื่อครั้งที่เขาเป็นบัณทิตศิลปะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้งานของเขามีความโดดเด่นเหนือใคร นอกจากจะเป็นนักออกแบบดอกไม้ที่รู้จักอย่างกว้างขวางแล้ว เขายังเป็นอาจารย์บรรยายพิเศษด้านการจัดดอกไม้ในหลายสถาบันอีกด้วย

ลงทะเบียน 2 วัน 1,000 บ. พร้อม tea break วัสดุอุปกรณ์ และดอกไม้ที่ท่านจัดเอง ท่านละ 2 เซ็ท
ลงทะเบียนด่วน รับจำนวนจำกัด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ ‘มาลาเต’ นิมมานเหมิน ซ.17(ข้างซีสเคป) หรือที่หมายเลข 089 431 5531 หรืออีเมล xiang_party@hotmail.com

โพรง : ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. (แห่งประเทศไทย) (1)


โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา
www.rabbithood.net

ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. (แห่งประเทศไทย)

ผมพอจะติดตามสถานการณ์ไข้หวัด 2009 กับเขาอยู่บ้าง ไม่ถึงกับใกล้ชิดขนาดหายใจรดต้นคอ แต่สื่อทุกแขนงต่างให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่มีผู้ติดเชื้อคนแรก รวมถึงวิธีการรักษาว่าคืบหน้าไปถึงไหน (แม้องค์การอนามัยโลกจะหยุดประกาศจำนวนผู้เสียชีวิตไปนานแล้วก็ตาม)

จากความสนใจเมื่อแรกเริ่มที่เม็กซิโก พัฒนาเป็นความห่วงไยตนเองและคนรอบข้าง อยากรู้ว่าเราจะต้องดูแลจัดการอะไร อย่างไร และสถานการณ์จะลุกลามบานปลายขนาดไหน
โดยไม่ได้พัฒนาต่อไปถึงความวิตกกังวลแต่อย่างใด

ในขณะที่ข่าวสารของน้องแพนด้าก็ยังครองพื้นที่อันดับต้นๆ ต่อเนื่องสืบมา เสมอต้นเสมอปลาย ทั้งชักชวนกันตั้งชื่อ (ที่กลายเป็นเรื่องคำนวณการถูกรางวัลเหมือนทายผลฟุตบอล มากกว่าการเลือกชื่อที่ตัวเองชอบจริงๆ) ทั้งเกาะติดชีวิตมันตั้งแต่ขนยังไม่งอก ตายังไม่ลืม สียังไม่ขึ้น จนแทบจะกลายเป็นรายการเรียลิตี้ พิธีสู่ข้าวรับขวัญแพนด้าน้อย รวมถึงล่าสุดเป็นสิ่งก่อสร้างมูลค่า 60 ล้านบาทชื่อ ‘แพนด้าสโนว์โดม’
ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่กล่าวว่า การก่อสร้างแพนด้าสโนว์โดมมีแนวความคิดมาจากการที่สวนสัตว์เชียงใหม่ได้รับแพนด้าจากประเทศจีนซึ่งเป็นเมืองหนาว มาเลี้ยงไว้ที่ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน โดยที่ผ่านมาได้ให้แพนด้าอยู่ในห้องปรับอากาศที่ควบคุมอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 18-25 องศาเซลเซียส ซึ่งพอทำให้แพนด้าอยู่ได้อย่างสบายแต่ไม่เหมือนประเทศจีนที่ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกและอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี สวนสัตว์เชียงใหม่จึงได้วางแผนที่จะทำให้แพนด้าในเมืองไทยได้สัมผัสอากาศหนาวเย็นและอยู่กับหิมะเหมือนในประเทศจีน จึงได้ขออนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลและองค์การสวนสัตว์ในการออกแบบและก่อสร้าง...โดมหิมะนั้น ผนังภายในเป็นผนังกันความร้อน เพื่อเก็บรักษาอุณหภูมิภายใน มีระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ที่อุณหภูมิ -5 องศาเซลเซียส มีหัวพ่นหิมะอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางโดม ทำหน้าที่ในการพ่นละอองที่ส่งมาจากถังผลิตน้ำเย็น 10 องศาเซลเซียส สามารถปรับให้ส่ายไปมาได้ ซึ่งเมื่อละอองน้ำกระทบกับอากาศที่มีอุณหภูมิ -5 องศาเซลเซียส จะกลายเป็นหิมะร่วงหล่นลงสู่ลานข้างล่าง โดยทั้งหมดเป็นกระบวนการเลียนแบบการเกิดหิมะจริงในธรรมชาติ (ที่มา ผู้จัดการออนไลน์)

ท่านผ.อ. เชื่อมั่นว่า ‘แพนด้าสโนว์โดม’ แห่งนี้จะเป็นจุดขายใหม่ที่ช่วยดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่และจังหวัดเชียงใหม่ (ซึ่งทุกคนก็คงเห็นด้วย)

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองผมก็บังเอิญได้ฟังประธานบริหารบริษัทการบินไทยตอบคำถามนักข่าวในทีวีว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะนี้ถือว่ายังไม่น่าหวาดกลัว แต่การนำเสนอข่าวของสื่อต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มากจนเกินไปกำลังทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัว จนไม่กล้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจาก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักมีปริมาณผู้โดยสารลดลงแล้ว 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้การบินไทยได้ติดตั้งแผ่นกรองอากาศที่ดีที่สุดกับเครื่องบินทุกลำ สามารถดักจับเชื้อโรคได้ขนาดเล็กที่สุด ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว (ค้นตามหลังมาจากhttp://www.valuba.com/story/view/604546.html เมื่อ 2009-07-15 17:00:05)
และไม่น่าเชื่อ ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมก็ได้รับฟอร์เวิร์ดเมลฉบับหนึ่ง ลงท้ายชื่อผู้ส่งว่า CHAMP ในหัวข้อเรื่อง “ถามตอบยอดฮิต เกี่ยวกับหวัด 2009‏” ที่มาในรูปแบบ FAQ ที่ใช้ภาษาแบบเป็นกันเอง (หมายความว่ามีอารมณ์ความรู้สึกแฝงอยู่ในนั้นด้วย) พร้อมภาพประกอบอธิบายชัดเจน เนื้อหาสาระของอีเมลฉบับนี้ก็พูดถึง ‘ความจริง’ เกี่ยวกับไข้หวัด 2009 ที่เราควรได้รับรู้เอาไว้ ผ่านประเด็นคำถามที่ว่า 1. โรคนี้ไม่รุนแรง ไม่น่ากลัว? 2. ถ้าเป็นขึ้นมา ไปหาหมอเดี๋ยวก็หาย? 3. ฉีดวัคซีนป้องกันได้? 4. แล้วอะไรคือสิ่งที่ควรทำตอนนี้? ซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้คุณ CHAMP ยังแยกออกเป็นสองหัวข้อให้เราคือ ทั้งในระดับส่วนตัวและครอบครัว (4.1) และระดับนโยบายของรัฐและสื่อมวลชน (4.2) แถมท้ายด้วยการอธิบายเรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัสด้วยชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยาวเหยียด (ที่เขาวงเล็บว่า ส่วนนี้ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ช่างเถอะนะ)
ซึ่งประเด็น ‘สิ่งที่ควรทำตอนนี้’ โดยเฉพาะในหัวข้อ 4.2 นั้น คุณ CHAMP ตั้งคำถามกับเราว่า “ทำไมประเทศเราถึงควบคุมการระบาดไม่ได้เลย ขณะที่ประเทศต้นตำรับการระบาดอย่าง Mexico ซึ่งไม่ได้เจริญกว่าบ้านเราเลย เขาถึงควบคุมการระบาดระลอกแรกได้” และคำตอบออกมาเป็นดังนี้

จำข่าวได้มั้ยครับ ว่าตอนแรกที่ Mexico เขาระบาดเขาทำอะไรบ้าง?? ปิดเลยครับ!!! เขากล้าพอที่จะปิดโรงเรียนทุกแห่ง โรงหนังทุกแห่ง ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ พร้อมกัน 1 สัปดาห์ พร้อมทั้งพ่นยาฆ่าเชื้อตามโรงหนัง ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ด้วย นั่นคือสาเหตุที่เขาควบคุมการระบาดระลอกแรกได้ทันทีในสัปดาห์ต่อมา....แล้วพี่ไทยล่ะทำอะไรบ้าง?? นอกจากออกข่าวว่าไม่มีอะไร้ ไม่น่ากลัว แต่คนติดเชื้อเพิ่มเป็นหลักร้อยหลักพันทุกวัน??? มัวแต่กลัวว่าเศรษฐกิจจะทรุด การท่องเที่ยวจะกระทบ...คิดกันบ้างมั้ยว่า ถ้าคนไทย ตัยหอง กันหมด จะมีเศรษฐกิจดีๆ ไว้ทำอารายจ๊ะ?? เศรษฐกิจ คือ สิ่งที่เราสร้างได้แน่นอน ถ้าคนไทยยังมีลมหายใจอยู่คับ (ว้อยยยยยย)

ความน่าเชื่อถือของข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอร์เวิร์ดเมลนั้นเป็นสิ่งที่เรารู้กันอยู่ว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบให้ถ่องแท้เสียก่อน ไล่มาตั้งแต่การขอความช่วยเหลือ บริจาคเงิน บริจาคเลือด ตามหาคนหาย ด่าทอคนเลว ติติงร้านอาหารหรือที่พัก ไปจนถึงเรื่องศรัทธาความเชื่อ (ถ้าไม่ส่งต่อให้ครบ 10 คนจะไม่มีคู่ ฯลฯ) หรือกระทั่งเรื่องใหญ่โตระดับประเทศอย่างการโจมตีบุคคลสำคัญหรือสถาบัน ไปจนถึงเรื่องคอขาดบาดตายอย่างภัยธรรมชาติ (โดยเฉพาะเรื่องซึนามิและแผ่นดินไหว)

ผมเห็นด้วยว่าถ้าเราเกิดความสนใจในหัวข้อไหน ก็ควรตรวจสอบอย่างจริงจัง ให้รู้ตื้นลึกหนาบาง ก่อนจะปักใจเชื่อหรือเริ่มปฏิบัติการณ์ใดๆ แต่กรณีเรื่องไข้หวัด 2009 นี้ผมยังมองเห็นอีกประเด็นหนึ่ง
ไม่ว่าข้อมูลของคุณ CHAMP จะเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร (ย้ำอีกครั้งว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องไปตรวจสอบ) แต่ท่าทีของเขานั้นตั้งอยู่บนความสนอกสนใจความเป็นมนุษย์ของคนอื่น กรณีของไข้หวัด 2009 จึงไม่ใช่เรื่องที่เราต้องคลุ้มคลั่งวิตกกังวล แต่เป็นเรื่องที่เรา ‘จำเป็นต้อง’ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งจากสื่อและจากรัฐบาล เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ ‘อาจจะ’ เกิดขึ้นได้
ไอ้ ‘ท่าที’ นี่แหละครับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะท่าทีที่มาจากคนระดับปลายยอดของปิรามิด

(ติดตามอ่านฟอร์เวิร์ดเมลฉบับเต็มของคุณ CHAMP ได้ที่ http://iamvajira.blogspot.com/2009/08/2009-ffw-mail.html)
(อ่านต่อ)

โพรง: ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. (แห่งประเทศไทย) (2)

โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา

www.rabbithood.net

ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. (แห่งประเทศไทย) (2)

ท่าทีของคนระดับบริหารจำนวนไม่น้อยที่แสดงออกผ่านสื่อ ทำให้ผมเข้าใจเอาเองว่าประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรานั้นยังไม่สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงในภาคธุรกิจชนิดอื่นๆ ได้ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมพัฒนาช้าจัง) ดังนั้นเมื่อประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจทีไร การท่องเที่ยวจึงเป็น ‘ไม้ตาย’ ทุกครั้งในการฟื้นฟู นัยว่าต้นทุนต่ำ เกิดผลเร็ว แล้วก็เริ่มต้นตามแบบแผนด้วยการเอาคนดัง (พี่เบิร์ด) มากระหน่ำโฆษณา ชักชวนให้พี่น้องประชาชนออกไปเที่ยวกันเยอะๆ (ตอนนี้เพิ่มเป็นนิชคุณอีกคนนึงแล้ว เหตุผลก็คงเป็นเพราะว่านิชคุณนั้นเป็นนักร้องนักเต้นที่ทำงานหนักจนไปโด่งดังในเกาหลี เราก็สวมรอยฉวยเอาความภูมิใจใน ‘ความเป็นคนไทย’ มาใช้สอยตามระเบียบ) ราวกับว่าประชาชนตาดำๆ อย่างเรานั้น พอเห็นดารานักร้องบอกให้ออกไปเที่ยว เราก็จะเก็บกระเป๋าออกไปเที่ยวตามเขา

โดยไม่มีการบอกให้คำนึง คำนวณ บริหารจัดการระบบระเบียบการเงินในกระเป๋าตัวเองที่อย่างไรก็ไม่มีวันทัดเทียมกับคนดังๆ เหล่านั้น

นินทากันในหมู่จิ๊กโก๋ซอย 13 ว่า ชะรอยเราคงต้องยกโขยงไปกราบไหว้น้องแพนดี้กันบ้าง เพราะแค่ผลุบหัวออกมาจากตัวแม่เท่านั้น ประเทศเชียงใหม่ก็คึกคักขึ้นราวปาฏิหาริย์

แม้จะอดคิดไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านจนถึงปัจจุบัน เราได้มีการปรนเปรอสิงสาราสัตว์ชนิดอื่น ทั้งในและนอกสวนสัตว์อย่างน้องแพนดี้นี้บ้างหรือไม่ (จิ๊กโก๋แก๊งค์เดิมกระซิบว่า ไม่ต้องถึงกับปรนเปรอหรอกลูกพี่ แค่ ‘ดูแล’ ให้เหมาะสมกับคุณภาพชีวิตของสัตว์แต่ละชนิดก็พอแล้ว) ผมคิดว่าก็ยังพอรับเรื่องการตลาดแบบ ‘สัตว์พระเอก’ ได้ไม่ยาก เพราะคงไม่ต่างจากระบบเชิดชูฮีโร่ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในทุกๆ วงการ โดยเฉพาะกับนักกีฬาที่เมื่อประสบความสำเร็จอะไรมา ก็จะถูกรุมตอมทันทีที่เท้าแตะสนามบิน

เชียงใหม่กลายเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว และท่องเที่ยว ตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ทราบ แต่เดาว่าคงเพราะมีต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม ภูมิอากาศที่ยังมีฤดูให้ใช้สอย และทรัพยากรประเพณีวัฒนธรรมระดับชาติที่ ‘ใหญ่’ พอที่จะ ‘ขาย’ ให้กับคนต่างถิ่น วิธีที่ง่ายที่สุดก็แค่สลับสับเปลี่ยน ‘พระเอก’ กันขึ้นมานำก็เท่านั้น (นี่ถ้าน้องนกได้แชมป์โลกในระดับอาชีพ ต่อไปคงมีการจัดทัวร์ไปเที่ยวบ้านน้องเขาแน่ๆ) เพราะเมื่อลองเทียบกับ ‘พระเอก’ ของจังหวัดอื่นๆ แล้ว ก็ยังไม่เห็นจังหวัดไหนมีตัวเลือกให้เลือกได้มากมายขนาดนี้

เราต่างรู้กันดีว่าประชากรส่วนใหญ่ของเชียงใหม่ ‘ทั้งจังหวัด’ นั้นอยู่มีชีวิตอยู่ในภาคเกษตรกรรมไม่ใช่ท่องเที่ยว แต่ระหว่างที่ยังรอคอยความหวังจากภาครัฐในการทำให้พี่น้องเกษตรกรเหล่านั้นลืมตาอ้าปากได้ด้วยตนเอง ดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ยืนและเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้มาเยือนจากต่างถิ่น โดยไม่ต้องนอบน้อม อ้อนวอน แบมือขอสตางค์จากการค้าขายสินค้าที่ระลึกในฤดูท่องเที่ยว (เท่านั้น!) การตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวคงไม่ใช่เรื่องเสียหายมากนัก ถ้าประกอบขึ้นจาก ‘เนื้อหา’ ที่เหมาะสม

เนื้อหาที่เหมาะสมนี่เองที่จะกำหนดท่าทีต่างๆ

ผมคิดว่าความเหมาะสมพื้นฐานที่สุดในโลกคือการ ‘คำนึง’ ถึง ‘ความเป็นคน’ ของประชากรในพื้นที่ (รวมถึงมองการสัตว์ทั้งหลายในฐานะที่เป็น ‘สิ่งมีชีวิต’ อย่างเท่าเทียมกัน) และการมอง ‘พื้นที่’ ในฐานะที่เป็น ‘ที่อยู่อาศัย’ ของคนที่ต้องตื่น นอน กิน ทำงาน พักผ่อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ไม่ใช่ปริมาณ ‘ตัวเลข’ ทางเศรษฐกิจ ที่คำนวณจากปริมาณของนักท่องเที่ยวแต่เพียงอย่างเดียว

ผมยังไม่เคยเห็นแพนด้าตัวเป็นๆ สักครั้ง ไม่ว่าตัวพ่อ ตัวแม่ หรือตัวลูก แต่เท่าที่เห็นจากการประโคมข่าวในทีวีหรือบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ก็รู้สึกได้ว่ามันต้องน่ารักมากแน่ๆ ผมจึงไม่มีปัญหาใดๆ กับ ‘แพนด้าสโนว์โดม’ ที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพราะบ้านเกิดเมืองนอนของพวกมันก็คงเย็นสบายกว่าบ้านเรา จะมีก็แต่คำถามโง่ๆ ว่าไอ้ ‘ระบบทำความเย็นขนาดใหญ่’ ที่ท่านใช้อยู่นั้น มันส่งผลให้อุณหภูมิโลกเหนือเชียงใหม่ร้อนขึ้นกว่าเดิมอีกไหม? เพราะเมื่อเปรียบเทียบอุณหภูมิ 25 องศาของเครื่องปรับอากาศในบ้านที่เรารณรงค์เรียกร้องกันตลอดมา กับอุณหภูมิ -5 องศาที่ท่านว่ามานั้น มันเป็นตัวเลขที่ชวนตกใจไม่ใช่น้อย (ซึ่งถ้าไม่ส่งผลอะไรเลยก็จะเป็นพระคุณมหาศาล)

รวมถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อหวัดในหมู่นักดูแพนด้า ผมก็เดาว่าท่านคงเตรียมการไว้แล้วใช่ไหม?

ขณะเดียวกัน ในฐานะผู้ใช้บริการ ผมก็ปลาบปลื้มกับ ‘แผ่นกรองอากาศที่ดีที่สุด’ ในเครื่องบินทุกลำของการบินไทย ซึ่งถ้าสนนราคาค่าตั๋วไม่สูงจนเกินไปนัก ต่อไปเวลาที่ต้องเดินทางอีก ผมก็คงสนใจระบบดูแลอากาศในห้องโดยสารของท่านเป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าท่านคงเตรียมรับมือกับสถานการณ์ไข้หวัดมาเป็นอย่างดี

ผมบอกไปแล้วว่าเป็นความบังเอิญที่เหตุการณ์ทั้งสามเรื่องนี้เกิดขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกันมาก และทำให้ได้ฉุกคิดเรื่อง ‘ท่าที’ นี้ขึ้นมา

ทั้งที่จริงๆ แล้วอาจเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว

ความรู้สึกคล้ายๆ เพื่อนที่เรียนโรงเรียนประถมมาด้วยกัน เมื่อเรียนจบก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็โทรศัพท์มาหา (เอาเบอร์มาจากไหนไม่รู้) ถามไถ่ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรที่สุดในโลก ชวนคุยนานาสารพัดเรื่อง เพื่อที่จะขายประกันชีวิตให้ในที่สุด

หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้ ผมเคยถามตัวเองว่าทำไมจึงรู้สึกไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แล้วก็ได้คำตอบว่าที่แท้ผมไม่ได้รังเกียจอาชีพขายประกัน เพราะไม่ว่าอาชีพไหนก็มีศักดิ์ศรีเท่ากัน เพียงแค่ไม่นิยม ‘ท่าที่’ เช่นนี้ของคนเหล่านั้น

คิดได้ดังนี้แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่ได้เก็บเอามาเป็นธุระในใจ

แต่เรื่องที่ยังเป็นธุระในใจก็คือ ผมยังคิดไม่ออกว่าการห่วงไยชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในชาติ ด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ ‘ถูกต้อง’ โดยไม่ห่วงภาพลักษณ์และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่คิดถึงแต่เม็ดเงิน ‘มากจนเกินไป’ นั้น มันส่งผลเสียอะไร

ในสถานการณ์แบบนี้ ผมกลับคิดว่า ‘ความไม่รู้’ ต่างหาก ที่จะสร้างให้เกิดความวิตกกังวล เพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา มองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไร และสุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บตัว ไม่ออกไปไหน เพราะไม่ว่าใครต่างก็รักชีวิตตัวเองและคนรอบข้างทั้งนั้นไม่ใช่หรือ

‘ความรู้’ จะทำให้เรารู้ว่าควรต้องปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะสามารถช่วยกันหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคร้ายนี้ได้ แล้วก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติสุข (ซึ่งก็อาจหมายถึงการออกไปเที่ยว ‘ในบ้านของเราเอง’ ได้อย่างสบายใจ)

ในฐานะประชาชนตาดำๆ ที่มีรายรับเทียบไม่ได้เลยกับดาราหรือนักร้อง ผมจึงพึงใจที่จะอ่านฟอร์เวิร์ดเมลเรื่องหวัด 2009 ของคุณ CHAMP ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ เขียนเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ และส่งต่อๆ กันมาจากใครก็ไม่รู้ มากกว่าการเคลิ้มฝันไปกับโฆษณาวิวทิวทัศน์สวยๆ ที่เห็นในทีวี

เพราะผมดันเชื่อที่ได้ยินมาจากทีวีเหมือนกันว่า ประชาชนต้องมาก่อน
แต่เดี๋ยวก่อน..ทีวีก็บอกอีกเหมือนกันนี่นาว่า เศรษฐกิจของชาติต้องมาก่อน


เอาละสิ....แล้วตกลงว่าอันไหน ‘ต้องมาก่อน’ กันแน่ล่ะ?


(ติดตามอ่านฟอร์เวิร์ดเมลฉบับเต็มของคุณ CHAMP ได้ที่ http://iamvajira.blogspot.com/2009/08/2009-ffw-mail.html
)

Tuesday, September 8, 2009

save minimal. poster


แวะไปถ่ายรูปโปสเตอร์ save minimal ที่ทำให้ minimal มาให้ชมกัน
ฝากเขาแปะกระดาษลัง เอาขึ้นไปแขวนไว้บนหัวบาร์ในร้าน
หน้าตาก็เป็นอย่างที่เห็นนั้นแล
ส่วนขนาดก็เป็นขนาด A1 (คือกระดาษ A4 วางประกอบกัน 8 แผ่น)
ก็ค่อนข้างใหญ่โตพอควร
^^

Tuesday, September 1, 2009

save minimal.


มีข่าวจากพี่น้อง minimal
รายละเอียดอ่านเอานะ

minimal กับ RH ค่อนข้างสนิทคุ้นเคยกันมาก
(เคยมีคนเข้าใจว่าเราเป็นเจ้าของด้วย 555)
มีอะไรก็ช่วยเหลือกันไปมา (ตามประสาคนยาก)
เมธก็ร่วมหัวจมท้าย migrate to the ocean ด้วยกัน
เราชอบเจตนาของคนพวกนี้
จริงๆ พวกมันสามารถปรับแกลเลอรี่เล็กๆ ให้เป็นร้านเหล้าวัยรุ่นเก๋ไก๋ได้สบายๆ
แต่ก็ไม่ทำ
ยังอยากรักษาความเป็นแกลเลอรี่ไว้ แล้วก็ไม่มีใครมาดู ไม่มีงานขาย ไม่มีคนซื้อ
ซึ่งพี่เสือ (หมาข้างถนนนิมมานฯ วันหลังจะถ่ายรูปมาโชว์) ก็คิดเองได้ว่ามันยากมาก
พวกเขาทุ่มเททำสิ่งที่ยาก ด้วยความครื้นเครง
เราว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ง่าย โดยเฉพาะกับคนในวัยหนุ่มที่คุณสมบัติค่อนข้างครบเครื่อง (เมื่อรวมตัวกัน)
ทำร้านเหล้าเก๋ๆ เดี๋ยวผู้หญิงเก๋ๆ ก็แห่กันมา พอคนเก๋ๆ แห่กันมา พวกไม่เก๋ก็ต้องแห่ตามมาด้วย
เงินทองก็ไหลมาเทมา
คนเหล่านี้ก็บ้าผู้หญิงเหมือนคนอื่น
อยากได้เงินเหมือนคนอื่น
แต่พวกมันก็ยังยืนยันว่าจะทำสิ่งนี้ด้วยวิธีนี้

เฮ้อ...

เราคิดว่าถึงเวลาที่ minimal ควรทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะ save minimal เอาไว้ อย่างน้อยก็ได้กระตุ้นให้คนอื่นๆ เห็นว่าเมืองของเราต้องการ 'พื้นที่' แบบนี้ พื้นที่ที่สร้างให้เกิดความเคลื่อนไหว เป็นชุมชนของกลุ่มคนขนาดเล็กที่สนใจศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ทำให้เห็นว่าเงินไม่ใช่สิ่งแรกสำหรับทุกคน แม้ว่าการจะเกิดขึ้นได้ของชุมชนทางวัฒนธรรมแบบนี้นั้นต้องใช้เงินก็ตาม แล้วมันก็ยังแสดงให้เราได้เห็นตัวอย่างของการเริ่มต้นกิจการโดยไม่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการอย่างยิ่งยวด ส่งผลอย่างไร (ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าพวกมันเป็น 'คนดี' นะ กรุณาอย่าเคลิ้ม)

นับข้อดีได้ดังนี้แล้ว
เราก็บอกว่าเราอยากทำโปสเตอร์ให้
แล้วก็มีของต้องไปประมูลด้วย
แล้วก็ต้องออกแบบเสื้อให้ลายนึงด้วย (และเพราะเหตุนี้เราเลยคิดงานได้หนึ่งชิ้น ขอบคุณ minimal มาก ตกยากแล้วยังช่วยเพื่อนได้อีก ขอโปรดติดตามอย่างใกล้ชิด)

ตอนแรกจะเอาหนังสือที่มีสองเล่มไปประมูล
แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว
เพราะว่าทำโปสเตอร์ให้ minimal เสร็จแล้ว
ทำไปคิดไปได้สามเวอร์ชั่น แต่ทำออกมาแค่สอง
อันหนึ่งเป็นหนึ่งใบที่ไว้สำหรับประมูล
เป็นคำว่า save minimal แบบไม่มีข้อความ
(เดี๋ยวรอมันเอาขึ้นผนังแล้วจะถ่ายรูปมาให้ดู)
แล้วก็ทำเวอร์ชั่นสองที่มีข้อความให้
ดังที่เห็นนี้แล

เอาล่ะ
รายละเอียดมีดังนี้

.......................

01-08.09.09
Art project "ติดไปเรื่อย" โดย RBBT182 & Petchy ช่วยเหลือร้านโดยการซื้อสติกเกอร์จาก RBBT182 & Petchy แล้วติดบนผนัง ต่อกันไปเรื่อยๆ

08.09.09 PARTY&AUCTION
PARTY: POST ROCK, ALTERNATIVE (dj Set: E'ta-ba and Friend)
AUCTION: from RAbbITHOOD

15.09.09 PARTY&AUCTION
PARTY: ELECTRONIC, (dj Set: Loca and the litte fairy bells, Scooby Doo)
AUCTION: Photo B&W from Under+Over

22.09.09 PARTY&AUCTION&LIVE
PARTY: 70s-80s (dj Set: JAI GURU DEVA)
LIVE: หนาวเย็น (Acoustic)
AUCTION: from เอ Kaber

29.09.09 PARTY&AUCTION&LIVE
PARTY: ALTERNATIVE, ART POP, ART ROCK (dj Set: Justin, E'ta-ba)
LIVE: สวรรค์ส่อง (Acoustic)
AUCTION: from Shaky Bar

*สั่งซื้อเสื้อ(T-shirt) SAVE MINIMAL 4 แบบ โดย

minimal,
RAbbiTHOOD,
Nokhookdesign,
Us-n-Them

ได้ที่ร้าน มินิมอล (ตลอดเดือน กันยายน นี้)

Poster design for minimal by: rabbithood

"ออกเดิน: ผลงานภาพถ่าย โดย จิตต์ จงมั่นคง" : PHOTO EXHIBITION


นิทรรศการ

การถ่ายภาพถือเป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์
ตั้งแต่ความรู้เกี่ยวกับระบบกลไกของกล้องและเลนส์ชนิดต่างๆ
ไปจนถึงเทคนิคการล้าง อัด ขยายภาพ และการตกแต่งภาพถ่าย
ควบคู่ไปกับความรู้เกี่ยวกับหลักการจัดองค์ประกอบของภาพ
ทั้งในด้านเรื่องราว สี และแสง

ในปัจจุบัน กลไกของกล้องถูกปรับปรุงให้ใช้งานง่ายและมี
ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีซอฟต์แวร์ที่ช่วยตกแต่งภาพ
ก่อนพิมพ์เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามตามต้องการ แต่ก่อนหน้านี้
ช่างภาพต้องเรียนรู้เรื่องกล้อง ฟิล์ม การถ่ายภาพ รวมไปถึง
เทคนิคการล้างฟิล์มและการตกแต่งภาพถ่ายด้วยมือ ซึ่งเป็น
กระบวนการที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ ความละเอียดประณีต
และฝีมือเป็นอย่างสูง ภาพถ่ายที่สร้างสรรรค์ขึ้นด้วยอุปกรณ์
เทคนิค และกลวิธีในการล้าง อัด ขยายภาพด้วยมือนี้เป็น
ตัวอย่างที่น่าสนใจของแนวความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน
รวมถึงแสดงพัฒนาการของอุปกรณ์และเทคนิคต่างๆ ในการ
ถ่ายภาพ เพื่อเก็บบันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งยัง
บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
และชื่นชม

คุณจิตต์ จงมั่นคง เป็นช่างภาพคนแรกๆ ของประเทศไทย ที่ศึกษาและ
เรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพและล้างอัดขยายภาพต่างๆ ด้วยตนเอง ก่อน
ที่จะมีการเปิดสอนหลักสูตรการถ่ายภาพอย่างเป็นทางการในประเทศ
ไทย คุณจิตต์ได้ผลิตผลงานภาพถ่ายที่มีความสวยงาม ด้วยเทคนิค
ต่างๆ ทั้งการซ้อนภาพ การลดหรือเพิ่มแสงด้วยมือล้วนๆ ซึ่งปัจจุบันถูก
แทนที่ด้วยโปรแกรมการแต่งภาพสำเร็จรูป

TCDC ตระหนักถึงความสำคัญของผลงานที่เกิดขึ้นจากความคิด
สร้างสรรค์และฝีมือเฉพาะบุคคล จึงได้จัดนิทรรศการภาพถ่าย
"ออกเดิน: ผลงานภาพถ่าย โดย จิตต์ จงมั่นคง" โดยแสดงผลงาน
ภาพถ่ายซึ่งล้วนสร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิคการถ่ายภาพและการล้าง
อัดภาพจากฟิล์ม และอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพ พร้อมกับจัด
แสดงชีวประวัติของจิตต์ จงมั่นคง ช่างภาพและศิลปินแห่งชาติ สาขา
ทัศนศิลป์ประจำปี พ.ศ. 2538 ที่มีผลงานการถ่ายภาพเป็นที่ยอมรับ
ทั้งในและต่างประเทศ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
เข้าชมฟรี
ณ ห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ชั้น 6 ดิ เอ็มโพเรียม
10.30 - 21.00 น. (ปิดวันจันทร์
)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ TCDC โทร: 02 664 8448

หมายเหตุ
ผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการที่ไม่ได้เป็นสมาชิกห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบ โปรดติดต่อเคาน์เตอร์ Info Guru ด้านหน้าห้องสมุด
เพื่อรับบัตรเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

งานเสวนา
TCDC จัดเสวนาเกี่ยวกับผลงานภาพถ่ายและชีวิตของ จิตต์
จงมั่นคง ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ประจำปี พ.ศ. 2538
ภายใต้หัวข้อ "พูดผ่านภาพ : My Story from a
Picture"
โดย ผู้ใกล้ชิด ผู้คลั่งไคล้งานภาพถ่ายขาว-ดำ
และวิทยากรผู้มีความรอบรู้เรื่องเทคนิคการถ่ายภาพ และการ
จัดองค์ประกอบทางศิลปะ อาทิ ผศ. มาโนช กงกะนันทน์,
วรนันท์ ชัชวาลทิพากร, บรรณนาท ไชยพาน, นิติกร
กรัยวิเชียร, กันต์ สุสังกรกาญจน์ และดำเนินรายการโดย
วรรณี ชัชวาลทิพากร

การถ่ายภาพถือเป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์
ตั้งแต่ความรู้เกี่ยวกับระบบกลไกของกล้องและเลนส์ชนิดต่างๆ
ไปจนถึงเทคนิคการล้าง อัด ขยายภาพ และการตกแต่งภาพ
ถ่ายควบคู่ไปกับความรู้เกี่ยวกับหลักการจัดองค์ประกอบของ
ภาพ ทั้งในด้านเรื่องราว สี และแสง

ในปัจจุบัน กลไกของกล้องถูกปรับปรุงให้ใช้งานง่ายและมี
ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีซอฟต์แวร์ที่ช่วยตกแต่งภาพก่อน
พิมพ์เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามตามต้องการ แต่ก่อนหน้านี้ ช่าง
ภาพต้องเรียนรู้เรื่องกล้อง ฟิล์ม การถ่ายภาพ รวมไปถึงเทคนิค
การล้างฟิล์มและการตกแต่งภาพถ่ายด้วยมือ ซึ่งเป็นกระบวนการ
ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ ความละเอียดประณีต และฝีมือเป็น
อย่างสูง

คุณจิตต์ จงมั่นคง เป็นช่างภาพคนแรกๆ ของประเทศไทย ที่
ศึกษาและเรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพและล้างอัดขยายภาพต่างๆ
ด้วยตนเอง ก่อนที่จะมีการเปิดสอนหลักสูตรการถ่ายภาพอย่าง
เป็นทางการในประเทศไทย คุณจิตต์ได้ผลิตผลงานภาพถ่ายที่มี
ความสวยงาม ด้วยเทคนิคต่างๆ ทั้งการซ้อนภาพ การลดหรือ
เพิ่มแสงด้วยมือล้วนๆ ซึ่งปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยโปรแกรมการแต่ง
ภาพสำเร็จรูป

ผู้เข้าร่วมงานเสวนาครั้งนี้จะได้รับหนังสือที่ระลึกซึ่งจัดทำขึ้นมา
เป็นพิเศษเพื่อรำลึกถึงคุณจิตต์ จงมั่นคง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
งานเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการขนาดย่อม "ออกเดิน: ผลงานภาพถ่ายโดย จิตต์ จงมั่นคง"

ไม่เสียค่าใช้จ่าย
สำรองที่นั่งได้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ TCDC
โทร. 02 664 8448 ต่อ 213, 214

Free Admission
Reserve your seat at TCDC Information Counter,
Tel. 02 664 8448 ext. 213, 214.

หมายเหตุ
กรุณาสำรองที่นั่งล่วงหน้าทางโทรศัพท์
เริ่มเปิดลงทะเบียนหน้างานก่อนงานเริ่ม 1 ชั่วโมง ผู้ที่สำรองที่นั่งล่วงหน้า โปรดมาลงทะเบียนยืนยันการเข้าร่วมงาน
ก่อนงานเริ่มอย่างน้อย 30 นาที
ดำเนินการเสวนาเป็นภาษาไทยเท่านั้น


DISCLAIMER
TCDC สงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
TCDC reserves the right to make any changes without prior notice

ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ชั้น 6 ดิเอ็มโพเรียม ช็อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ 622 สุขุมวิท 24 กรุงเทพฯ 10110
เวลาทำการ อังคาร - อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) 10.30 - 21.00 น. โทร: (66) 2 664 8448 แฟ็กซ์: (66) 2 664 8458

Thailand Creative & Design Center (TCDC)
6th Fl., The Emporium Shopping Complex, 622 Sukhumvit 24, Bangkok 10110, Thailand
Opening hours Tuesday - Sunday (Closed on Monday) 10.30 a.m. - 9.00 p.m.
Tel: (66) 2 664 8448 Fax: (66) 2 664 8458
www.tcdc.or.th