โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา
www.rabbithood.net
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา
www.rabbithood.net
ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. (แห่งประเทศไทย)
ผมพอจะติดตามสถานการณ์ไข้หวัด 2009 กับเขาอยู่บ้าง ไม่ถึงกับใกล้ชิดขนาดหายใจรดต้นคอ แต่สื่อทุกแขนงต่างให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่มีผู้ติดเชื้อคนแรก รวมถึงวิธีการรักษาว่าคืบหน้าไปถึงไหน (แม้องค์การอนามัยโลกจะหยุดประกาศจำนวนผู้เสียชีวิตไปนานแล้วก็ตาม)
จากความสนใจเมื่อแรกเริ่มที่เม็กซิโก พัฒนาเป็นความห่วงไยตนเองและคนรอบข้าง อยากรู้ว่าเราจะต้องดูแลจัดการอะไร อย่างไร และสถานการณ์จะลุกลามบานปลายขนาดไหน
โดยไม่ได้พัฒนาต่อไปถึงความวิตกกังวลแต่อย่างใด
ในขณะที่ข่าวสารของน้องแพนด้าก็ยังครองพื้นที่อันดับต้นๆ ต่อเนื่องสืบมา เสมอต้นเสมอปลาย ทั้งชักชวนกันตั้งชื่อ (ที่กลายเป็นเรื่องคำนวณการถูกรางวัลเหมือนทายผลฟุตบอล มากกว่าการเลือกชื่อที่ตัวเองชอบจริงๆ) ทั้งเกาะติดชีวิตมันตั้งแต่ขนยังไม่งอก ตายังไม่ลืม สียังไม่ขึ้น จนแทบจะกลายเป็นรายการเรียลิตี้ พิธีสู่ข้าวรับขวัญแพนด้าน้อย รวมถึงล่าสุดเป็นสิ่งก่อสร้างมูลค่า 60 ล้านบาทชื่อ ‘แพนด้าสโนว์โดม’
ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่กล่าวว่า การก่อสร้างแพนด้าสโนว์โดมมีแนวความคิดมาจากการที่สวนสัตว์เชียงใหม่ได้รับแพนด้าจากประเทศจีนซึ่งเป็นเมืองหนาว มาเลี้ยงไว้ที่ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน โดยที่ผ่านมาได้ให้แพนด้าอยู่ในห้องปรับอากาศที่ควบคุมอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 18-25 องศาเซลเซียส ซึ่งพอทำให้แพนด้าอยู่ได้อย่างสบายแต่ไม่เหมือนประเทศจีนที่ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกและอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี สวนสัตว์เชียงใหม่จึงได้วางแผนที่จะทำให้แพนด้าในเมืองไทยได้สัมผัสอากาศหนาวเย็นและอยู่กับหิมะเหมือนในประเทศจีน จึงได้ขออนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลและองค์การสวนสัตว์ในการออกแบบและก่อสร้าง...โดมหิมะนั้น ผนังภายในเป็นผนังกันความร้อน เพื่อเก็บรักษาอุณหภูมิภายใน มีระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ที่อุณหภูมิ -5 องศาเซลเซียส มีหัวพ่นหิมะอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางโดม ทำหน้าที่ในการพ่นละอองที่ส่งมาจากถังผลิตน้ำเย็น 10 องศาเซลเซียส สามารถปรับให้ส่ายไปมาได้ ซึ่งเมื่อละอองน้ำกระทบกับอากาศที่มีอุณหภูมิ -5 องศาเซลเซียส จะกลายเป็นหิมะร่วงหล่นลงสู่ลานข้างล่าง โดยทั้งหมดเป็นกระบวนการเลียนแบบการเกิดหิมะจริงในธรรมชาติ (ที่มา ผู้จัดการออนไลน์)
ท่านผ.อ. เชื่อมั่นว่า ‘แพนด้าสโนว์โดม’ แห่งนี้จะเป็นจุดขายใหม่ที่ช่วยดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่และจังหวัดเชียงใหม่ (ซึ่งทุกคนก็คงเห็นด้วย)
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองผมก็บังเอิญได้ฟังประธานบริหารบริษัทการบินไทยตอบคำถามนักข่าวในทีวีว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะนี้ถือว่ายังไม่น่าหวาดกลัว แต่การนำเสนอข่าวของสื่อต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มากจนเกินไปกำลังทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัว จนไม่กล้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจาก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักมีปริมาณผู้โดยสารลดลงแล้ว 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้การบินไทยได้ติดตั้งแผ่นกรองอากาศที่ดีที่สุดกับเครื่องบินทุกลำ สามารถดักจับเชื้อโรคได้ขนาดเล็กที่สุด ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว (ค้นตามหลังมาจากhttp://www.valuba.com/story/view/604546.html เมื่อ 2009-07-15 17:00:05)
และไม่น่าเชื่อ ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมก็ได้รับฟอร์เวิร์ดเมลฉบับหนึ่ง ลงท้ายชื่อผู้ส่งว่า CHAMP ในหัวข้อเรื่อง “ถามตอบยอดฮิต เกี่ยวกับหวัด 2009” ที่มาในรูปแบบ FAQ ที่ใช้ภาษาแบบเป็นกันเอง (หมายความว่ามีอารมณ์ความรู้สึกแฝงอยู่ในนั้นด้วย) พร้อมภาพประกอบอธิบายชัดเจน เนื้อหาสาระของอีเมลฉบับนี้ก็พูดถึง ‘ความจริง’ เกี่ยวกับไข้หวัด 2009 ที่เราควรได้รับรู้เอาไว้ ผ่านประเด็นคำถามที่ว่า 1. โรคนี้ไม่รุนแรง ไม่น่ากลัว? 2. ถ้าเป็นขึ้นมา ไปหาหมอเดี๋ยวก็หาย? 3. ฉีดวัคซีนป้องกันได้? 4. แล้วอะไรคือสิ่งที่ควรทำตอนนี้? ซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้คุณ CHAMP ยังแยกออกเป็นสองหัวข้อให้เราคือ ทั้งในระดับส่วนตัวและครอบครัว (4.1) และระดับนโยบายของรัฐและสื่อมวลชน (4.2) แถมท้ายด้วยการอธิบายเรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัสด้วยชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยาวเหยียด (ที่เขาวงเล็บว่า ส่วนนี้ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ช่างเถอะนะ)
ซึ่งประเด็น ‘สิ่งที่ควรทำตอนนี้’ โดยเฉพาะในหัวข้อ 4.2 นั้น คุณ CHAMP ตั้งคำถามกับเราว่า “ทำไมประเทศเราถึงควบคุมการระบาดไม่ได้เลย ขณะที่ประเทศต้นตำรับการระบาดอย่าง Mexico ซึ่งไม่ได้เจริญกว่าบ้านเราเลย เขาถึงควบคุมการระบาดระลอกแรกได้” และคำตอบออกมาเป็นดังนี้
จำข่าวได้มั้ยครับ ว่าตอนแรกที่ Mexico เขาระบาดเขาทำอะไรบ้าง?? ปิดเลยครับ!!! เขากล้าพอที่จะปิดโรงเรียนทุกแห่ง โรงหนังทุกแห่ง ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ พร้อมกัน 1 สัปดาห์ พร้อมทั้งพ่นยาฆ่าเชื้อตามโรงหนัง ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ด้วย นั่นคือสาเหตุที่เขาควบคุมการระบาดระลอกแรกได้ทันทีในสัปดาห์ต่อมา....แล้วพี่ไทยล่ะทำอะไรบ้าง?? นอกจากออกข่าวว่าไม่มีอะไร้ ไม่น่ากลัว แต่คนติดเชื้อเพิ่มเป็นหลักร้อยหลักพันทุกวัน??? มัวแต่กลัวว่าเศรษฐกิจจะทรุด การท่องเที่ยวจะกระทบ...คิดกันบ้างมั้ยว่า ถ้าคนไทย ตัยหอง กันหมด จะมีเศรษฐกิจดีๆ ไว้ทำอารายจ๊ะ?? เศรษฐกิจ คือ สิ่งที่เราสร้างได้แน่นอน ถ้าคนไทยยังมีลมหายใจอยู่คับ (ว้อยยยยยย)
ความน่าเชื่อถือของข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอร์เวิร์ดเมลนั้นเป็นสิ่งที่เรารู้กันอยู่ว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบให้ถ่องแท้เสียก่อน ไล่มาตั้งแต่การขอความช่วยเหลือ บริจาคเงิน บริจาคเลือด ตามหาคนหาย ด่าทอคนเลว ติติงร้านอาหารหรือที่พัก ไปจนถึงเรื่องศรัทธาความเชื่อ (ถ้าไม่ส่งต่อให้ครบ 10 คนจะไม่มีคู่ ฯลฯ) หรือกระทั่งเรื่องใหญ่โตระดับประเทศอย่างการโจมตีบุคคลสำคัญหรือสถาบัน ไปจนถึงเรื่องคอขาดบาดตายอย่างภัยธรรมชาติ (โดยเฉพาะเรื่องซึนามิและแผ่นดินไหว)
ผมเห็นด้วยว่าถ้าเราเกิดความสนใจในหัวข้อไหน ก็ควรตรวจสอบอย่างจริงจัง ให้รู้ตื้นลึกหนาบาง ก่อนจะปักใจเชื่อหรือเริ่มปฏิบัติการณ์ใดๆ แต่กรณีเรื่องไข้หวัด 2009 นี้ผมยังมองเห็นอีกประเด็นหนึ่ง
ไม่ว่าข้อมูลของคุณ CHAMP จะเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร (ย้ำอีกครั้งว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องไปตรวจสอบ) แต่ท่าทีของเขานั้นตั้งอยู่บนความสนอกสนใจความเป็นมนุษย์ของคนอื่น กรณีของไข้หวัด 2009 จึงไม่ใช่เรื่องที่เราต้องคลุ้มคลั่งวิตกกังวล แต่เป็นเรื่องที่เรา ‘จำเป็นต้อง’ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งจากสื่อและจากรัฐบาล เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ ‘อาจจะ’ เกิดขึ้นได้
ไอ้ ‘ท่าที’ นี่แหละครับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะท่าทีที่มาจากคนระดับปลายยอดของปิรามิด
(ติดตามอ่านฟอร์เวิร์ดเมลฉบับเต็มของคุณ CHAMP ได้ที่ http://iamvajira.blogspot.com/2009/08/2009-ffw-mail.html)
(ติดตามอ่านฟอร์เวิร์ดเมลฉบับเต็มของคุณ CHAMP ได้ที่ http://iamvajira.blogspot.com/2009/08/2009-ffw-mail.html)
(อ่านต่อ)
1 comment:
ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. ??
คือ 'ไรอ่ะ
บ้าที่สุด ...ไม่เห็นเข้าใจ
เค้าโครตเกลียดอีเมลล์ แบบ ส่งต่อ 10 คน ไม่ส่งขอให้ซวย ไรคู่ อะไรเทือกๆนั้น หนอย...เรวว
+KEY
Post a Comment