Monday, October 29, 2007

Tuesday, October 23, 2007

ELECTRO ROMANTIC MOMENT



รูปบางส่วนจากงาน มีเพื่อนหลายคนจากหลายจังหวัดอยากเห็น
ฝีมือช่างภาพจากบางกอก ชื่อแอ็ป (APPLE)
ขอบคุณทุกๆ คนอีกครั้งครับ พอกันใหม่งานหน้า ^^

Thursday, October 11, 2007

FALL ON DEAF EARS: OCTOBER 2007 in Pai!

เพิ่งฟื้นจากเหนื่อย ส่งเมลยังไม่ทัน
เลยขอเอามาแปะไว้พลางๆ เผื่อใครเข้ามาดู
ว่างๆ ไปเที่ยวกัน (จะเตรียมตัวทันมั้ยนะ)

สวัสดี
ในที่สุด งานแรกของ RabbitHood ก็ผ่านไปได้
ท่ามกลางอุปสรรคหมื่นล้านอย่าง ทั้งคน เทคนิค และธรรมชาติ
แต่สุดท้ายทั้งหมดก็ผ่านพ้นไปได้
อยากขอบคุณพี่เพชรและทีมงาน
ขอบคุณทีมงานเฉพาะกิจของ RabbitHood
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่คอยให้กำลังใจ
และคอยช่วยเหลือมาโดยตลอด
ขอบคุณผู้ชมที่แม้ฝนตกก็ไม่ทิ้งกัน
ดีใจที่ในที่สุดก็ได้เห็นมันปรากฏขึ้นตรงหน้าจนได้
เหนื่อยขาดใจ แต่พอได้พักสองสามวันก็ดีขึ้นบ้าง

เอาล่ะ กลับมาที่งานหู ครั้งนี้จัดที่ปาย
อันที่จริงก็ไม่ได้คิดไว้ก่อน ให้บังเอิญว่าจู่ๆ พี่ชาติแห่ง BeBop
ก็โทรมาชวนอยากให้ไปจัดที่ GrooveYard (ข้างๆ BeBop)
เมื่อพี่ชาติออกปาก ไหนเลยจะปฏิเสธ
กับคิดอีกอย่างว่า แฟนๆ งานหูก็จะได้เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง
เพราะเท่าที่สื่อสารกัน ก็ได้ยินว่าจะมีพี่น้องเชียงใหม่
ตามไปสมทบไม่น้อยอยู่(ที่จริงชาวบางกอกก็ไปสมทบได้นะ ^^)

เราจะไปก่อนตั้งแต่วันศุกร์ ไปเตรียมตัว ดูที่ดูทาง
แล้ววันเสาร์ก็ค่อยว่ากัน(ถ้าใครจะไป ติดต่อที่พักแต่เนิ่นๆ เน้อ)

เดือนนี้โชคดีอีกแล้วที่ได้รูปวาดจากฝีมือพี่มอ (ไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์)
ถ้าจำได้ เคยถ่ายผนังร้านพี่มอมาทำโปสเตอร์ไปครั้งหนึ่งแล้ว
แต่เดือนนี้พิเศษกว่า เรื่องมันมีอยู่ว่าพี่มอไปเที่ยวงานหูเดือนที่แล้ว
(ที่โปสเตอร์เป็นรูปของนวล) คุยไปคุยมาแกเลยบอกว่ามีรูปๆ นึง แกวาดไว้
เป็นรูปของนักดนตรีแจ๊ซชื่อ Jimmy Smith
แกว่าในรูปกำลังทำมือเล่นคีย์บอร์ด แต่อนุญาตให้เอามาใช้ได้
(ท่าทางของมือคล้ายๆ ดีเจกำลังเปิดแผ่น)
ตื่นเต้น ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ทำงานบนรูปของพี่มอ
งานออกมาเลยเกร็งๆ เล็กน้อย(ตอนหลังคุยกับแก แกก็บอกว่าเรียบไปหน่อย
ดูเกร็งๆ คราวหน้าไม่ต้องเกรงใจ ใส่ไปเต็มที่ได้เลย!)

อันที่จริงมันก็มีความเชื่อมโยงกันอยู่ เพราะว่า GrooveYard
ของพี่ชาตินั้น พี่มอก็เป็นคนออกแบบให้(ร้านสวยมาก!)
การได้รูปของพี่มอมาทำโปสเตอร์ในคราวนี้
เลยช่วยเสริมบรรยากาศของการไปจัดงานที่ GrooveYard ขึ้นอีกด้วย

ดีวีดีเดือนนี้ก็เจ๋งเชียว สำหรับคนรู้จัก Goldfrapp คงไม่ต้องอธิบาย
แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จัก เดี๋ยวรออ่านในบล็อกนี้แล เราก็เพิ่งรู้จักเหมือนกัน
เพิ่งรู้ว่าเล่นเป็นวงเปิดให้ Coldplay ในช่วงหลังเขกกบาลตัวเองไปสองที
ปล่อยให้หลงหูหลงตาไปได้ยังไง

ยังไงก็ตาม เพลงดีๆ ในโลกนี้มียังมีอีกมากจริงๆ

อันที่จริงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12 เผลอแป็บเดียว
เดือนหน้าจะเริ่มต้น season 2 แล้วพร้อมฉลองครบ 1 ปี!
ที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง เดี๋ยวว่ากัน (ตอนนี้ยังไม่ได้คิด)

เอาล่ะ ยังพักฟื้นไม่หายดีขอตัวไปพักก่อน
ถ้าใครไปได้ พบกันวันเสาร์ที่ปายนะ
20.00 ฉาย Goldfrapp 21.00 ค่อยเริ่มบรรเลง
โทรไปสอบถามรายละเอียดได้ที่ 089 560 8561
^^
วชิรา

ทะลุหูขวา (5): artist: MEW



{artist}
Mew

Mew คือวงดนตรีจากเดนมาร์ค
ประกอบด้วย Jonas Bjerre, Bo Madsen, Jahan Wohlert และ Silas Graae
พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่ 6 ขวบ และรวมกลุ่มกันตอนเรียนอยู่เกรด 7
และรวมเป็น Mew เมื่อปี 1995

การแสดงสดครั้งแรกของ Mew เกิดไปเตะตาเอเย่นต์ของสำนักพิมพ์
ซึ่งชมการแสดงอยู่ในคืนนั้น เขากลับไปโน้มน้าวบริษัทให้ปรับแผนธุรกิจ
และออกอัลบั้มแรกให้กับ Mew

A Triumph for Man ออกสู่ผู้ฟังในปี 1997 ด้วยจำนวน 2000 แผ่น
และได้รับคำวิจารณ์มากมาย
สามปีต่อมา Mew ออกอัลบั้ม Half the World Is Watching Me
จำนวนจำกัดแค่ 5000 แผ่น ภายใต้สังกัดตัวเองชื่อ Evil Office
จนค่ายใหญ่อย่าง SONY/Epic มาเห็นเข้า
และจับเซ็นสัญญาเข้าตลาดนานาชาติ
Half the World Is Watching Me ในคราวนั้น
เคยมีราคาสูงถึง 200 เหรียญใน eBay
(อัลบั้ม Half นี้เพิ่งทำออกมาใหม่เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้เอง)

Mew ออกอัลบั้มที่สาม Frengers ในปี 2003
และได้รับรางวัล Album of the Year ควบ Band of the Year
จาก Danish Music Critics Awards ในปีนั้นเอง

Mew มีโอกาสได้ออกทัวร์ยุโรปกับ R.E.M. ในฐานะวงสนับสนุน
และทำให้ชื่อเสียงของวงแพร่ขยายออกไปมากขึ้น
สองปีต่อมา Mew ออกอัลบั้มใหม่ And the Glass Handed Kites
(ออกแบบปกโดย M/M (Paris)-ที่เคยออกแบบใบปิดหนัง ‘สัตว์ประหลาด’
(Tropical Malady) ให้กับ อภิชาติพงษ์ วีระเศรษฐกุล)

ปีถัดมา Jahan Wohlert (เบส) ลาออกจากวงด้วยเหตุผลที่ว่า
ตัวเองไม่สามารถเป็น ‘ร็อคสตาร์’ และ ‘คุณพ่อ’ ที่ดีไปพร้อมๆ กันได้
ไม่กี่เดือนจากนั้นมีคนพบใน myspace ว่ามี account ของวงดนตรีใหม่ชื่อ
The Storm ซึ่งปรากฏชื่อของ Jahan Wohlert และ Pernille Rosendahl
(แฟนสาว) ในรายชื่อสมาชิกของวง แต่ที่น่าแปลกก็คือ account นั้น
ถูกลบในวันถัดไป!
ข่าวว่า The Storm เซ็นสัญญากับ Universal Music Denmark
และคาดกันว่าจะออกอัลบั้มแรกปลายปี 2007 นี้

ลือกันว่าการแสดงสดของ Mew น่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว
ยังมีภาพเคลื่อนไหวจากฝีมือของนักร้องนำ Jonas Bjerre ให้ชมอีกด้วย

ดนตรีของ Mew ค่อนข้างซับซ้อนแต่สวยงามและมีบรรยากาศ
และที่สำคัญ-ประณีต
Jonas Bjerre เคยให้สัมภาษณ์ (Popgurls Interviews by Twilight) ว่า
“เราทำดนตรีเหมือนทำหนัง จากส่วนหนึ่งต่อไปอีกส่วนหนึ่งเหมือนเป็นบทๆ เราไม่ต้องการทำดนตรีที่พอเริ่มต้นเพลง คุณก็จะรู้ทั้งหมดของมันทันที ผมคิดว่าเพลงแบบนั้นมีอยู่ตามหน้าปัดวิทยุเยอะแล้ว เรามักจะฉายภาพเวลาที่เล่นสด ซึ่งเป็นหน้าที่ของผม ภาพพวกนั้นมาทีหลังดนตรี ผมจะนั่งและฟังเพลงที่พวกเราทำเสร็จแล้ว ภาพจะค่อยๆ โผล่มาในหัว ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่ผมเขียนเนื้อเพลง”

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.mewsite.com

ทะลุหูขวา (5): lyric: Chinaberry tree

{lyric}
Chinaberry tree

In parallel sea what would I be?
My first love said to me:
"Tears out for the world to see"
I would not be
I did not see the chinaberry tree
Tears out, it would feel so
Heavenly, heavenly, heavenly
Hard now to picture a me
Without a you

"Don't interfere"
Part of her back was frozen
For the remainder of the war
"Don't be concerned"
But I never learned how not to be
As my first love said to me:
"I don't care. I'm not there"
So that I could not sleep
My whole being was falling apart
So that I soon cried out:
"Dear friends, hold me!"

ทะลุหูขวา (5) : essay: ระหว่างสองสิ่งและทั้งหมด

ทะลุหูขวา
text and artwork by วชิรา

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนกันยายน 2550

{essay}
ระหว่างสองสิ่งและทั้งหมด

เวลาที่ว่างจากการทำงานและเที่ยวเตร่ ผมมีความคิดว่า

เราไม่ควรใช้ช่วงเวลาน้อยนิดนั้นเพื่อการทำงานและเที่ยวเตร่ซ้ำอีก
จึงพยายามใช้โอกาสนั้นหยุดพัก ครุ่นคิด ตรึกตรอง
ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปในชีวิตของตัวเอง
(เพราะผมมีความคิดอีกเช่นกันว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ
ที่เราควรใช้เวลาอันมีค่านั้นเพื่อการคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
และเป็นไปในชีวิตของคนอื่น อันมักนำมาซึ่งความสาแก่ใจส่วนตัวเป็นที่ตั้ง)

เมื่อมีโอกาสหยุดคิด ผมจึงพบว่าช่วงชีวิตหนึ่งๆ ของคนเรานั้น
ถ้าไม่เกียจคร้านเกินไปจนไม่เคยกระดิกตัวทำอะไร
หรือปฏิสัมพันธ์กับใครหน้าไหนเลย
ก็มักจะประกอบด้วยเรื่องราวต่างๆ นานาที่ตกค้างอยู่ในใจ
ทั้งที่ก่อขึ้นมาเองและมีผู้อื่นมาช่วยก่อให้

เหตุที่ก่อให้เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้น ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว
แต่ ‘สิ่งตกค้าง’ ยังคงอยู่
........

วิธีสลายสิ่งตกค้างนั้นก็ไม่ยาก คุณก็แค่บอกตัวเองว่า ‘ลืมมันซะ’
แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น-ผมเคยได้ยินใครสักคนเปรยให้ฟัง พลางหัวร่อออกมาดังๆ
คงตลกพิลึก ถ้าเราสามารถทำอย่างนั้นได้จริง
จินตนาการคล้ายสองมือกลายสภาพเป็นยางลบ
เมื่อยกขึ้นถูหัวสามครั้ง ความทรงจำทั้งหลายทั้งปวงที่เราไม่ต้องการก็จะเลือนลับ
หายวับ

แน่ละ! ฉันจะลบความทรงจำเลวร้ายออกไปให้หมด
คิดถึงแต่เรื่องดีๆ คิดแต่เรื่องที่สวยๆ งามๆ
เรื่องที่ทำให้ฉันยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง เรื่องแบบนั้นฉันจะไม่ลบ

ผมคิดเอาเองว่ามันไม่ยุติธรรม-กับ ‘ชีวิต’

จริงอยู่ อาจมีบางท่านชื่นชอบ หลงใหล คลั่งไคล้
ให้ตัวเองเจ็บปวดรวดร้าว-นั้นก็เป็นเรื่องและสิทธิของเขา
พอกับที่หลายๆ ท่าน ตื่นเต้น ฮึกเหิม ซาบซ่าน
มีความหวังให้ตัวเองได้พบประสบแต่ความสุขความเจริญ
ซึ่งก็เป็นเรื่องและสิทธิของเขาอีกเช่นกัน

โดยส่วนตัว, ผมสนใจการ ‘เลือกรับ’ ประสบการณ์
พอๆ กับผลลัพธ์ของมัน
หมายความว่านอกเหนือจากความสุขทุกข์ในชีวิต
ผมยังสนใจว่าทำไมเราจึงต้องพยายามลืมความทุกข์
และจดจำแต่ความสุขที่เกิดขึ้นเท่านั้น

ชีวิตที่มีแต่ความสุข เป็นชีวิตที่ดีจริงหรือ?

ในยามที่ร่างกายมีบาดแผล เราต่างร้อนรนพยายามหาทางรักษา
วิ่งหาหยูกยา เราเดินหน้าเข้าหาบาดแผล ไม่ใช่วิ่งหนี
การพยายามห่างหนี ไม่น่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้น

เช่นเดียวกับการกล่าวโทษสิ่งอื่นและคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา

ชีวิตที่มีแต่บาดแผล ไม่น่าจะใช่ชีวิตที่ดีแน่ๆ -ผมคิด

แต่ที่หนักหน่วงกว่าบาดแผล คือการที่เราไม่สามารถกดปุ่ม
ลบความทรงจำทิ้งไปได้ (ใครๆ ก็รู้) การคร่ำครวญหวนไห้
ถึงแต่ความโศกเศร้าที่ผ่านมานั้น จึงหาเหตุผลมารองรับได้ยากเย็น
โดยเฉพาะในยามที่กำลังพยายามใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
อย่างที่ผมกำลังพยายามทำอยู่นี้

บวกลบคูณหารแล้ว ผมจึงเลือกที่จะไม่ลบ

หนำซ้ำยังยังพยายามพยายามปลุกให้ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น
เดินทางย้อนเวลากลับมาช้าๆ ชัดๆ พยายามทะนุถนอมมัน
ราวกับทำด้วยวัสดุเปราะบางอันมีค่า
ให้เวลากับการนึกคิดโดยไม่นึกเสียดาย
หลายเรื่องรายละเอียดยังชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ถ้าจำเป็นต้องเลือกระหว่างสองสิ่ง
มีความเป็นไปได้มากว่าผมจะขอเลือกทั้งหมด
ชีวิตที่มีแต่ด้านดีและสวยงามไปตลอดรอดฝั่ง
ไม่น่าจะเป็นชีวิตที่ดี

เพราะในท่ามกลางความโศกเศร้า ผมมองเห็นความงดงาม
และเผลอเรียกมันว่า ชีวิต

Wednesday, October 3, 2007