Sunday, January 27, 2008

EE: BORAT: Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan a film by Larry Charles


มีหนังหลายเรื่อง ที่ตั้งใจว่า 'จะ' ดู แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้ดูเสียที BORAT ก็เป็นแบบนั้น ได้ยินคำสรรเสริญมานาน ในที่สุดก็ได้ดูเสียที (ไปคุยกับใคร ชาวบ้านเขาก็ดูกันมาตั้งนานแล้วทั้งนั้น) BORAT เป็นหนังที่เรียกว่า MOCKUMENTARY (หนังแต่ง แต่ใช้วิธีถ่ายทำแบบสารคดี ดูเผินๆ จะนึกว่าเป็นเหตุการณ์จริง)

หนังชื่อยาวเหยียดนี้ช่างเสียดสีวิถีชีวิตของ 'ความเป็นอเมริกัน' ได้แสบทรวงยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อนั่งดูผ่านจอทีวีในประเทศโลกที่สามอย่างบ้านเมืองเรา ตลกขื่นๆ ขำปวดๆ

คนบนเป็นนักแสดงตลกชาวอังกฤษชื่อ Sacha Baron Cohen เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเขามีชื่อเสียงมากทางทีวี (ไม่รู้จักมาก่อน เพราะไม่เคยดู) สร้างคาแรกเตอร์ตัวละครตลกขึ้นมา (โดยที่เขาเป็นคนแสดงเอง) ตัวแรกชื่อ Ali G และ Borat นี้เป็นตัวต่อมา Ali G เป็นสมาชิกแก๊งสเตอร์ ส่วน Borat เป็นนักข่าวชาวคาซักสถาน
หนังเรื่องนี้ก็มาจากการครีเอตของเขา
ส่วนคนล่างเป็นผู้กำกับ มีชื่อเสียงมาจากการเป็นทีมเขียนบทซิตคอม Seinfeld
ว่างๆ ขอเชิญหาชม เสียดสีสะเทือนใจดีแท้ โดยเฉพาะการพยายามตามหา Pamela Anderson!

Wednesday, January 23, 2008

ทะลุหูขวา (9): artist: Animal Collective


Animal Collective

Animal Collective เป็นวงดนตรีทดลองจากนิวยอร์กที่เกิดจากการรวมตัวของนักดนตรี 4 คนจากบัลติมอร์ แมรี่แลนด์ ประกอบด้วย Avey Tare (David Portner), Panda Bear (Noah Lennox), Deakin (Josh Dibb) และ Geologist (Brian Weitz) ซึ่งจะปรากฏชื่อพวกเขาเวลาทำอัลบั้มของ Animal Collective เสมอ ครบทุกคนบ้าง ไม่ครบบ้าง แต่เวลาขึ้นเล่นแสดงสดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ทั้ง 4 คนพบกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมผ่านการแนะนำกันไปกันมาและเริ่มทำเพลงด้วยกันตั้งแต่นั้น เมื่อโตขึ้น Panda Bear กับ Deakin ไปเรียนต่อที่บอสตัน ส่วน Avey กับ Geologist ไปเรียนที่นิวยอร์ก แต่ทุกคนก็ยังทำเพลงอยู่ตลอด ทำด้วยกันบ้าง แยกกันล้าง และสลับคนทำงานกันบ้าง จนออกมาเป็นอัลบั้ม Spirit They're Gone, Spirit They've Vanished (2000-โดยค่ายตัวเองชื่อ Animal) Danse Manatee (2001) กับค่าย Catsup Plate, Hollinndagain (2002) กับ St. Ives และ Campfire Songs (2003) กับ Catsup Plate อีกครั้ง (ซึ่งอัลบั้มนี้บันทึกเสียงจากการเล่นสดที่เฉลียงบ้านในแมรี่แลนด์ โดยไม่มีการเทก! และอัดเสียงด้วย Mini Disc 3 ตัวที่เอามาตั้งรอบๆ วง จากนั้นก็อัดเสียงบรรยากาศรอบๆ บริเวณนั้นใส่เพิ่มเข้าไป จากนั้นนำไปมิกซ์ที่อพาร์ตเม้นท์ของ Avey แล้วค่อยส่งไปทำมาสเตอร์)

หลังจากที่สลับสับเปลี่ยนเวียนช่วยกันทำเพลงอยู่หลายปี ค่ายเพลงก็แนะนำว่าพวกเขาควรจะมีชื่อที่ใช้เรียกรวมๆ เวลาทำงาน จึงเกิดชื่อ Animal Collective ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากค่าย Animal ของพวกเขาเอง ตั้งแต่นั้นมา การรวมวงของ Animal Collective ค่อนข้างประหลาดว่าวงอื่นๆ ทั่วๆ ไป เพราะพวกเขาให้อิสระต่อกันเต็มที่ในการทำงานร่วมกัน บางโปรเจกต์อาจทำกันแค่ 2 คน บางงานอาจทำด้วยกันทั้ง 4 คนก็ได้ ซึ่งขึ้นกับว่าโปรเจกต์ของใครและอารมณ์ของแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร

อัลบั้มแรกที่มีสามชิกครบ 4 คนในชื่อ Animal Collective คือ Here Comes the Indian (2003) ภายใต้ค่าย Paw Tracks ที่พวกเขาตั้งขึ้นเองอีกเช่นกัน (ร่วมกับ Todd Hyman จากค่าย Carpark) และด้วยความประหลาด (ของเพลง) บวกการแสดงที่เข้มข้น (ใกล้เคียงบ้า!) ชื่อเสียงของ Animal Collective ก็กระจายออกไปมากขึ้น จนเตะตาค่าย Fat Cat Records (ที่ออกอัลบั้มให้วงดนตรี mum-ออกเสียงว่า ‘มุม’ วงดนตรีทดลองจาก Icelandic) และนำอัลบั้ม Spirit They're Gone, Spirit They've Vanished กับ Danse Manatee มาออกใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็ยิ่งทำให้ผลงานของพวกเขาขยายวงคนฟังออกไปมากขึ้น

หลังจาก Here Comes the Indian ได้รับเสียงตอบรับที่ดี Avey และ Panda ตัดสินใจจดจ่อกับการ ‘ลด’ เครื่องเคราต่างๆ ลง ทั้งสองออกทัวร์คู่กันโดยใช้เพียงกีต้าร์โปร่ง กลอง (อันเดียว) เสียงเอฟเฟ็กต์นิดหน่อย แล้วก็เสียงร้องเท่านั้น ทั้งสองคนไปเล่นเปิดให้วง mum และ Four Tet จนได้ผลลัพท์ออกมาเป็นอัลบั้ม Sung Tongs (2004) ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์ดีเยี่ยม

Animal Collective ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับศิลปินในดวงใจ Vashti Bunyan “เจ้าแม่แห่งดนตรี Freak Folk” ในช่วงปี 70 (วง Bunyan’s band ซึ่งออกมาอัลบั้มเดียวชื่อ Just Another Diamond Day) และทาบทามให้ Bunyan มาร้องเพลงให้พวกเขาบ้าง ซึ่งเธอก็มาร้องให้ถึงสามเพลง (อยู่ใน EP ชุด Prospect Hummer-2005 กับค่าย Fat Cat) และส่งผลให้ค่าย Fat Cat ออกอัลบั้มที่สองให้เธอ Lookaftering (2005) ห่างจากอัลบั้มแรกถึง 30 ปี

Animal Collective ออกอัลบั้มที่ 7 Feels ในปี 2005 ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเช่นเคย ทั้งจากแฟนๆ และนักวิจารณ์ หลังจากออกอัลบั้มนี้ พวกเขาก็พยายามออกทัวร์ให้มากขึ้น โดยไปแสดงไกลถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ จากเดิมที่เคยตระเวนเล่นอยู่ตามเทศกาลดนตรีแถวยุโรปและอเมริกา (เหนือ)

ในระหว่างทัวร์ พวกเขาทำเพลงใหม่ๆ ตลอดเวลา และนำมารวมไว้ในอัลบั้มล่าสุด Strawberry Jam (2007)
ในปีเดียวกันนี้เอง Animal Collective ฉบับครบ 4 คน ก็ได้ปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ Late Night with Conan O Brien ของอเมริกาเป็นครั้งแรก โดยเล่นเพลง #1
พวกเขายังคงออกทัวร์และยังคงทำเพลงใหม่ๆ ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ไม่มี Deakin เพราะ Deakin ขอพักผ่อนหนึ่งปี!

ดนตรีของ Animal Collective ค่อนข้างซับซ้อน ไม่อยู่ในระบบแบบแผนของดนตรีในท้องตลาดทั่วไป เป็นลักษณะการทดลองที่ใกล้เคียงกับการพยายามวิ่งเข้าหาสัญชาตญาณของการมีชีวิต

แถม
Avey Tare คือชื่อของ David Portner
ชื่อของ Avey มาจากการตัดตัว D ออกไปจากชื่อเรียก Davey (จากจริงชื่อ David) และคำว่า Tare มาจากการที่เขาตัดชื่อของตัวเอง ไม่ได้มาจากการเล่นคำ Avatar (อวตาร) อย่างที่เข้าใจกัน (หมายเหตุ ภรรยาของเขาก็คือหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งวง mum)

Panda Bear คือชื่อของ Noah Lennox
ชื่อของ Panda Bear มาจากภาพวาด (หมี) แพนด้าที่อยู่บนเทป 4 แทรกที่เขาใช้อัดเพลงตอนเด็กๆ

Deakin คือชื่อของ Josh Dibb
เขาเคยส่งจดหมายหา Avey โดยใช้สำนวนและลีลาแบบวรรณกรรมโรแมนซ์ในศตวรรษที่ 19 และลงท้ายชื่อว่า Conrad Deacon

Geologist คือชื่อของ Brian Weitz
หลายคนเข้าใจผิดว่าเขาเรียน ‘ธรณีวิทยา’ (Geology) ในขณะที่จริงๆ แล้วเขาเรียน ‘ชีววิทยา’ (Biology) ต่างหาก ชื่อ Geologist ของเขามาจากการชอบใส่ ‘หมวกไฟฉาย’ เวลาแสดงสด ซึ่งทำให้ดูเหมือนนักธรณีวิทยามาก

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.myanimalhome.net

ทะลุหูขวา (9): lyric: CHORES

Chores

If i if i think to fast
take what's in my head
i've got two things in my head's end

If i think to fast
take what's in my head
i've got two things in my head's end

now i've got these chores
and I’m not gonna hurt no one
and when at last my work is done...

now i've got these chores
and i'm not gonna hurt no one
and when at last my work is done..

If I If I If I If I If I If I If I If I If I

if i think to fast
take what's in my head
i've got two things in my head's end

If i if i think to fast
take what's in my head
i've got two things in my head's end

now i've got these chores
and I’m not gonna hurt no one
and when at last my work is done..

now i've got these chores
and I’m not gonna hurt no one
and when at last my work is done..

If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I
If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I If I

I only want the time
to do one thing that I like
i want to get so stoked
and take a walk out in the light drizzle
at the end of the day
when there’s no one watching

At the end of the day
when there's no one watching

ทะลุหูขวา (9): essay: ชู่วสสส


ชู่วสสสส

เปลี่ยนถ่านนาฬิกาปลุก พับผ้าห่ม จัดเตียง เปิดตู้เย็น เทน้ำ เทน้ำส้ม เสียบปลั๊กน้ำร้อน เปลี่ยนหลอดยาสีฟัน เปลี่ยนหัวแปรงสีฟัน ชงกาแฟ เอาหมาเข้ากรง เอาข้าวให้หมา เก็บผ้าใส่ตะกร้า แยกประเภทเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอน เปลี่ยนปลอกหมอน เอาผ้าใส่เครื่องซัก เดินออกไปซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม กวาดบ้านปัดฝุ่นตามชั้น ดูดฝุ่น จัดชั้นหนังสือ จัดชั้นซีดี จัดชั้นวางของ เรียงซีดีใส่แฟ้ม เช็ดโต๊ะ เช็ดหน้าต่าง หุงข้าว หั่นผัก หั่นหมู หั่นกระเทียม ทอดไข่ ออกไปซื้อน้ำยาล้างจาน ล้างจาน ขัดรองเท้า ล้างตูปลา ขับรถเอาผ้าห่มไปซัก ไปไขตู้ไปรษณีย์ ไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ไปตลาด ซื้อปลา หมู ไก่ เนื้อ ซื้อของที่ซุปเปอร์ แวะซื้อหมูปิ้ง เอากับข้าวเข้าตู้เย็น ตากผ้า เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ เปลี่ยนหลอดไฟ เช็ดโคมไฟ ซ่อมท่อน้ำ ตัดหญ้า เอาหมามาอาบน้ำ ตัดเล็บ ตัดขน ไล่แมลงวัน เล็มกิ่งไม้ รดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน รดน้ำต้นไม้หลังบ้าน เช็ดกระจก ล้างมุ้งลวด ล้างห้องน้ำ จัดชั้นวางอุปกรณ์อาบน้ำ ขัดโถส้วม ล้างรถ ลับมีด เอาหมาไปหาหมอ รีดผ้า เอาขยะไปทิ้ง ถูพื้น จัดสำรับ เอาดอกไม้มาปัดแจกัน จัดโต๊ะเครื่องแป้ง ซักผ้า ซักกางเกงใน ซักถุงเท้า ล้างแก้ว ล้างจาน กวาดใยแมงมุม เก็บหนังสือเข้าชั้น ซ่อมต่างหู เอารองเท้าตากแดด กวาดหยากไย่ ไล่มด ตีแมลงสาบ ปลูกต้นไม้ เปิดไฟรอบบ้าน พาหมาไปเดินเล่น ตั้งสำรับ เก็บจาน ล้างจาน ซ่อมทีวี เดินออกไปซื้อโรตี เก็บขยะ เปลี่ยนถ่านนาฬิกาปลุก พับผ้าห่ม จัดเตียง เปิดตู้เย็น เทน้ำ เทน้ำส้ม เสียบปลั๊กน้ำร้อน เปลี่ยนหลอดยาสีฟัน เปลี่ยนหัวแปรงสีฟัน ชงกาแฟ เอาหมาเข้ากรง เอาข้าวให้หมา เก็บผ้าใส่ตะกร้า แยกประเภทเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอน เปลี่ยนปลอกหมอน เอาผ้าใส่เครื่องซัก เดินออกไปซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม กวาดบ้านปัดฝุ่นตามชั้น ดูดฝุ่น จัดชั้นหนังสือ จัดชั้นซีดี จัดชั้นวางของ เรียงซีดีใส่แฟ้ม เช็ดโต๊ะ เช็ดหน้าต่าง หุงข้าว หั่นผัก หั่นหมู หั่นกระเทียม ทอดไข่ ออกไปซื้อน้ำยาล้างจาน ล้างจาน ขัดรองเท้า ล้างตูปลา ขับรถเอาผ้าห่มไปซัก ไปไขตู้ไปรษณีย์ ไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ไปตลาด ซื้อปลา หมู ไก่ เนื้อ ซื้อของที่ซุปเปอร์ แวะซื้อหมูปิ้ง เอากับข้าวเข้าตู้เย็น ตากผ้า เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ เปลี่ยนหลอดไฟ เช็ดโคมไฟ ซ่อมท่อน้ำ ตัดหญ้า เอาหมามาอาบน้ำ ตัดเล็บ ตัดขน ไล่แมลงวัน เล็มกิ่งไม้ รดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน รดน้ำต้นไม้หลังบ้าน เช็ดกระจก ล้างมุ้งลวด ล้างห้องน้ำ จัดชั้นวางอุปกรณ์อาบน้ำ ขัดโถส้วม ล้างรถ ลับมีด เอาหมาไปหาหมอ รีดผ้า เอาขยะไปทิ้ง ถูพื้น จัดสำรับ เอาดอกไม้มาปัดแจกัน จัดโต๊ะเครื่องแป้ง ซักผ้า ซักกางเกงใน ซักถุงเท้า ล้างแก้ว ล้างจาน กวาดใยแมงมุม เก็บหนังสือเข้าชั้น ซ่อมต่างหู เอารองเท้าตากแดด กวาดหยากไย่ ไล่มด ตีแมลงสาบ ปลูกต้นไม้ เปิดไฟรอบบ้าน พาหมาไปเดินเล่น ตั้งสำรับ เก็บจาน ล้างจาน ซ่อมทีวี เดินออกไปซื้อโรตี เก็บขยะ

ที่นอกบ้าน ฝนตกปรอยๆ
แม่บ้านยืนนิ่ง อัดควันเข้าปอด....ล่องลอย
ชู่วสสสสสสส....

Saturday, January 12, 2008

F>O>D>E 14 @ SEE-SCAPE, CM


มาแล้ว...ช้าไปนิด มัวหยุดพักปีใหม่
รูปถ่ายมาจากหลายๆ กล้อง มีพี่ตี๋ ซีอิ๊ว และปาล์มมี่
ขอเชิญรับชม (อยากให้มีรับฟังด้วยจัง)

ขอบคุณ ABSOLUT อีกครั้ง

เดือนนี้ (มกราคม) ขออนุญาตงด
(แจ้งไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว...)
ส่วนเดือนกุมภานั้นยังไม่แน่
ขอเวลาเขียนหนังสือบ้าง ^^
รักษาสุขภาพเน้อ

Monday, January 7, 2008

Alessandro Baricco



เพิ่งอ่าน 'ไร้เลือด' (Senza sangue) จบ
อ่านแล้วคิดถึงสงครามอิรักที่ผ่านไปไม่นาน แต่ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปหมดแล้ว
คิดถึงเรื่อง 'ไหม' (Seta) ในแง่กลวิธีการเขียน (ขอแนะนำว่าควรอ่านอย่างยิ่ง!)

คิดถึงอดีตและความทรงจำบางเรื่อง ที่กลายเป็นสมบัติติดตัวเราไปตลอดกาล

ใครสนใจขอชวนอ่าน มีขายทั่วไปในร้านหนังสือ
ส่วนตอนนี้แปลเรื่องของคุณบาริกโกมาแบ่งกันอ่านพอสังเขปดังนี้
............
อเลซซานโดร บาริกโก เกิดที่เมืองตูริน อิตาลี
เป็นนักเขียน ผู้กำกับ และนักแสดง
หนังสือของเขาแปลเป็นภาษาต่างๆ หลายภาษา ได้รับรางวัลมากมาย
ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโรมกับภรรยาและลูก

เขาจบปริญญาสาขาปรัชญาและดนตรี (เปียโน) เขียนบทความวิจารณ์ดนตรี และในปี 1991 นิยายเล่มแรกก็ออกมาสู่สายตาคนอ่าน (Lands of Grass)

ปี 1993 เขาและเพื่อนร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนนักเขียนโดยใช้ชื่อว่า Scuola Holden ซึ่งมาจากชื่อ Holden Caulfield ตัวละครเอกในหนังสือ Catcher in the Rye ของ J. D. Salinger โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอน 'เทคนิคการเล่าเรื่อง' มากมายหลายหลักสูตร ทั้งบทภาพยนตร์ งานสื่อสารมวลชน วิดีโอเกม (!!??) นิยาย และเรื่องสั้น

ไม่กี่ปีต่อมา งานเขียนของเขามีชื่อเสียงมากในยุโรปและติดอันดับขายดีมากในอิตาลีและฝรั่งเศส และมากไปกว่านั้น เมื่อบทละครพูดคนเดียว (monoloque) ของเขาที่ชื่อ Novecento ถูกดัดแปลงไปเป็นหนังเรื่อง The Legend of 1900 ที่กำกับโดย Giuseppe Tornatore (คนที่กำกับ Cinema Paradiso นั่นเอง!)

1900 คือชื่อของเด็กคนหนึ่งที่ถูกทิ้งกำพร้าไว้บนเรือ เขาไม่เคยขึ้นบก มีพรสวรรค์ในการเล่นเปียโนอย่างเหลือเชื่อ แต่ต้องเผชิญชะตากรรมอันเด็ดเดี่ยว

ปี 1996 นิยายเรื่องที่สาม 'ไหม' (Seta) ก็ปรากฏสู่สายตาผู้อ่าน และได้รับความนิยมอย่างสูง (300,000 เล่ม ในเวลาอันรวดเร็ว-สร้างเป็นภาพยนตร์แล้วด้วย แต่ขอแนะนำให้อ่านก่อนจะตราตรึงกว่า) ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ หลายภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย (แปลโดยคุณ งามพรรณ เวชชาชีวะ /สำนักพิมพ์ผีเสื้อ)

บาริกโกยังเคยทำโปรเจกต์ City Reading กับวง Air โดยอ่านนิยายเรื่อง City ของเขาร่วมไปกับดนตรีของ Air (มีออกมาเป็นซีดีด้วยนะ เคยยืมพี่คมสันมาฟัง)

แล้วปี 2002 นิยายเรื่อง 'ไร้เลือด' ก็เสร็จสำเร็จออกมา

ปัจจุบันเขากำลังกำกับหนังเรื่อง Lezione 21

หมายเหตุ อ่านประวัติเพิ่มเติมได้ที่ท้ายเล่มแปล