Thursday, February 28, 2008

KOKO GIRL! (and her Dinosaurs)


เมื่อสัปดาห์ก่อนได้รับประสบการณ์ 'แปลกใหม่' มันทั้งแปลก และใหม่ และคาดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีก จู่ๆ Kimura ชาวญี่ปุ่นที่พอรู้จักมักคุ้นกันสมัย SOI MUSIC ก็ติดต่อมาว่าอยากชวนมาถ่ายแบบ อ่านอีเมลของ Kimura อยู่หลายรอบจนแน่ใจ แต่ก็ไม่วายต้องอีเมลกลับไปถามว่า จริงๆ แล้วต้องการให้ช่วยหานายแบบหรือว่าต้องการให้เป็นแบบ

สุดท้ายกลายเป็นอย่างหลัง

เรื่องก็คือว่า Kimura ไปช่วยคุณ Fumiya ทำนิตยสาร haco ซึ่งเข้าใจคร่าวๆ ว่าเป็นคล้ายๆ แคตตาล็อกของแบรนด์เสื้อผ้า .fr ที่ญี่ปุ่น เข้าใจไปเองอีกว่าคุณ Fumiya นั้นก็เป็นคล้ายๆ creative director ของนิตยสารเล่มนั้น (แต่ไม่รู้ว่าแกเกี่ยวข้องอะไรกับเสื้อผ้า .fr หรือเปล่า) คราวนี้ haco จะมาถ่ายที่ประเทศไทย เขาก็ชักชวนคนโน้นคนนี้มาเป็นแบบกันสนุกๆ เท่าที่เห็นและพอจำได้ (ที่เขาเอามาโชว์ให้ดู) ก็มีจีน มหาสมุทร, จีน ฟูตอง, ตั้ม วิศุทธิ์, ปราบดา, โมโมโกะ, จูน Bear Garden, Stylish Nonsense ฯลฯ คงพอนึกภาพออก ตอนแรกก็นึกว่าเขาจะยกโขยงมาถ่ายกันที่เชียงใหม่ แต่ปรากฏว่าทุกคนถ่ายที่กรุงเทพฯ ที่เชียงใหม่มีแค่เรากับนักเขียนการ์ตูนผู้หญิงที่มาจากญี่ปุ่นอีกหนึ่งท่าน (ไม่ได้ถ่ายด้วยกัน)

เราปักใจเชื่อจนทุกวันนี้ว่าเขาคงหาอื่นไม่ได้จริงๆ หรือคนอื่นๆ อาจจะไม่ว่าง
นอนเกร็งไปหลายวัน การอยู่หน้ากล้องเป็นเรื่องยากลำบากสาหัส

แล้ววันนั้นก็มาถึง ทีมงานเขายกมากัน 9 คน ซึ่งทำให้นึกถึง 'ความพร้อม' ของการทำงานแบบชาวญี่ปุ่น (ที่จริงก็ไม่รู้ว่าเขาอยากมาเที่ยวกันเป็นพิเศษหรือเปล่า) แต่เราเห็นว่านอกจากคุณ Fumiya และ Kimura แล้ว ก็มีทั้ง อาร์ตไดเรคเตอร์ ช่างแต่งหน้าและทำผม (Kimura อวดทรงผมใหม่ ชี้มือบอกว่าคุณคนนี้เป็นคนตัดให้ แล้วก็ย้ำว่าคนนี้เคยตัดผมให้กับ Kahimi Karie-นักร้อง (ที่เราชอบมาก) มาแล้วนะ) ลูกค้าสองคน นักเขียนการ์ตูนคนนั้น แล้วก็ช่างภาพ

ช่างภาพที่แหละที่เป็นประเด็น!

ตอนที่ Kimura แนะนำ เราเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ท่าทางเพี้ยนๆ ว่างๆ ก็เอาผ้ามาโพกหัวเล่น หน้าตาตลกๆ และท่าทางอารมณ์ดี กล้องที่ใช้ก็มีสติ๊กเกอร์ตัวโน่นตัวนี่ (คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นไดโนเสาร์หนึ่งตัวแน่ๆ) เขาเตรียมหนังสือที่เป็นผลงานของเขามาให้ (สังเกตหลายครั้งว่าน่าจะเป็นธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น เวลาที่ไปพบปะคนใหม่ๆ) เขียนชื่อให้ด้วย (ตอนที่ยื่นให้ เขาพยายามชี้ตรงที่ชื่อ แล้วพูดว่า โจ้ซัง โจ้ซัง) รับหนังสือมาพลิกดู แป๊ปเดียว Kimura ก็มาอธิบายว่า หนังสือเล่มนี้ขายได้ราว 100,000 เล่มที่ประเทศญี่ปุ่น! จากปกติที่ 4,000 ก็ขายกันหืดขึ้น

ช่างภาพคนนี้คือ Kayo Ume
ช่างเป็นช่างภาพที่ปราศจาก 'มาด' แบบช่างภาพที่เห็นเกลื่อนกลาดเสียเหลือเกิน

Ume ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ ทำงานเร็ว (Fumiya บอกว่าปกติเธอถ่าย 20 นาทีก็เสร็จ แต่ออกมาดี) หลังจากที่เลือกที่ถ่ายทำ เธอก็เริ่มลงมือ เราไปถ่ายกันที่ร้านหนังสือมือสอง ซึ่งเป็นร้านประจำของเรา "KoKo KoKo" คือคำที่เราได้ยินจากปาก Ume ตลอดเวลา

KoKo = here ในภาษาอังกฤษ เขาจะดันเราไปยืนตรงโน่นตรงนี้แล้วก็พูดว่า KoKo KoKo แต่ไม่แค่นั้น เพราะ Ume จะชอบให้เราชูสองนิ้ว ทำท่าประหลาดๆ และลากไปยืนที่ในจุดแปลกๆ ถ่ายอยู่สักพักก็บอกว่า เราเหมาะจะกินไอติม ก็ชักชวนกันไปร้าน iberry ไปถึงก็เหมือนเดิม สั่งไอติมโคนให้เราเสร็จสรรพ (คุณ Fumiya ถือมาให้แล้วบอกว่า เราไม่มีสิทธิเลือก เพราะว่า Ume เลือกให้แล้ว) ลากเราไปยืนตรงโน้นตรงนี้ เดี๋ยวก็ลากไปนั่งข้างถังขยะ "KoKo KoKo" แล้วก็ถ่ายๆๆๆๆๆ

ลืม...ตอนไปถึง iberry ตอนแรก (คนค่อนข้างเยอะ) เรากระซิบ Kimura ว่า ขอร้อง ไหว้ล่ะ อย่าถ่ายตรงชิงช้านะ เราอาย หลังจากนั้นไม่ถึงนาที หลังจากที่ Kimura หันไปพูดอะไรไม่รู้กับ Ume (เราฟังไม่ออก) Ume ก็เดินมาลากเราไปที่ชิงช้า หยิบไอติมของใครก็ไม่รู้ บอกว่าไปถ่ายรูปกัน (ตอนนั้นเรายังไม่ได้ไอติมของเรา) เขากดถ่ายอยู่จนเสร็จ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาพูดภาษาญี่ปุ่นกับเรา เราหันไปถาม Kimura Kimura บอกว่า "แกล้ง!"

Ume เป็นช่างภาพที่ตลกที่สุดเราที่เคยเจอและก็เป็นช่างภาพคนแรกที่เราเห็นว่าเวลาเปลี่ยนเลนส์แล้วไม่มีฝามาปิด แต่ใช้กระดาษแข็งสีขาวแล้วเอามือแปะทับไว้! -_-'

หลังจากนั้น เราก็พาออกไปนอกเมือง คุณ Fumiya บอกว่าอยากไปดู เผื่อไว้คราวหน้า ขับรถกันไปจนถึงแถวๆ แม่ริม จอด ลงไปเดิน แล้ว Ume ก็ลากเราไปตรงกอเฟื่องฟ้า "KoKo KoKo" เหมือนทุกครั้ง (คราวนี้เขาถ่ายคุณ Fumiya กับคุณ อาร์ตไดเรกเตอร์ด้วย)

กลับเข้ามาที่วัดอุโมงค์ เราเลยได้รู้ว่า Ume กลัวหมา (แต่ชอบเล่นลูกหมา แล้วก็ชอบวาดการ์ตูนรูปหมา) เวลาเดินผ่านหมา หรือหมาเดินผ่าน Ume จะรี่มาหลบข้างหลัง จ๋อยๆ แต่พอหมาเดินผ่านไป ก็ซ่าเหมือนเดิม

ตอนระหว่างนั่งรอไปสนามบิน ทุกคนกำลังเก็บข้าวของ Ume เดินถือตุ๊กตาที่หน้าเหมือน Kitty (สันนิษฐานว่าซื้อมาจากร้านตุ๊กตาแถวๆ กาดหลวง) เอามาวางบนตัก ถอยหลังไป หยิบกล้องมาถ่าย หยิบตุ๊กตากลับ แล้วก็พูดอะไรไม่รู้กับคุณ Fumiya

"หน้าเหมือนกัน!" หมายถึงเรากับเจ้าตุ๊กตาหน้าแมวนั่น! คุณ Fumiya หันมาแปลให้ฟัง

หลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว มารู้ทีหลังจากอังกฤษ (เพื่อน) ว่า Ume ดังมากๆๆๆๆ มีรายการทีวีที่ญี่ปุ่นตามถ่ายทำชีวิตประจำวันตอนทำงานด้วย แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้เองคุณ Fumiya กลับมาที่เชียงใหม่ เราก็ยังมานั่งคุยเรื่องนี้กันต่อ เลยได้รู้ว่า Ume เป็นเด็กสาวจากจังหวัดทางเหนือ ตอนนี้มีสินค้าหลายชิ้นมาติดต่อให้เธอไปโฆษณา แต่เธอก็ไม่อยากทำ ที่น่าสนใจกว่าคือ เธอรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะต้องปฏิเสธ คุณ Fumiya พูดคล้ายๆ ว่านี่เป็นคุณสมบัติของชาวชนบทญี่ปุ่น

หลังจากนั้นเรากลับมานั่งดูงานของ ume และพบว่ามันทำให้การมองสิ่งต่างๆ ของเราต่างไป ไม่ใช่แค่เฉพาะความแปลกหรือตลก แต่มันประกอบขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง ดูแล้วก็คิดต่อไปว่า คนแบบไหนนะ ที่จะถ่ายภาพออกมาได้แบบนี้ (อีกใจก็คิดว่า ก็คงเป็นคนแบบ KoKo KoKo คนนั้นนั่นแหละ!) โดยเฉพาะเวลาที่เขาถ่ายเด็กๆ เราจะเห็น 'ตัวเขา' สะท้อนมาจากแววตาที่เด็กๆ มองเขาได้ชัดเจน

นี่อาจจะเป็นสาเหตุให้งานของ Ume จับใจคนได้เป็นจำนวนมาก
มันคงเป็นความเป็นตัวของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ
ลองเข้าไปชมงานของ Ume ได้ที่นี่นะ ^^

http://www.home-room.org/archive/guest/003_ume_tum/room/ume/

บอกไปแล้วว่า ประสบการณ์แบบนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ หรืออาจไม่เกิดขึ้นอีกเลย
เล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน เพราะมันเป็นการถูกถ่ายที่สนุกที่สุดตั้งแต่เกิดมา
ขอบคุณ Kimura และคุณ Fumiya ครับ ^^

อ้อ เกือบลืม เขามีสัมภาษณ์สั้นๆ ไปลงประกอบด้วย เอามาแบ่งให้อ่านละกันนะ ถามเป็นภาษาอังกฤษ ตอบเป็นภาษาอังกฤษ ขออภัยถ้าเขียนหรือแกรมม่าผิด พยายามจะหาคนช่วยตรวจแล้ว แต่มันไม่ทัน ; (

> Q1. what is your favourite soi in bangkok?
Siam Square soi 1. you start with Scala, the unique theatre and finish with Rode-Dee-Ded, a simply noodle open restaurant.

ตอนแรกเขาถามถึงซอยในกรุงเทพฯ แต่ตอนหลังเขาอยากถามถึงซอยในเชียงใหม่มากกว่า แต่ไปค้นแล้วหาคำตอบไม่เจอ (พอดีชุดนี่มันอยู่ในเมลที่ Kimura ส่งกลับมา) จำได้ว่าตอบไปว่า คนเชียงใหม่เขาไม่ค่อยเรียกชื่อซอยกัน ก็เลยจำชื่อไม่ได้ แต่เป็นซอยเล็กๆ แถวๆ ท่าแพที่มีร้านหนังสือมือสองอยู่สองสามร้าน (ก็คือที่ไปถ่ายรูปนั่นเอง!)

> Q2. what is spicy for you? (our theme is spicy so. it could be food or people or anything)
everything is spicy for me! i am allergic to spicy food, many said i was born in the wrong country, but that s fine. i am quite getting used to my alienation on the dinning table, always spend few more minutes to explain what is going to happen if i start eating something spice. besides, imagine the angry-old-man in my country, they all are spicy!

> Q3. anything you like about thailand or thai people
i like the way they mess thing up, everything. the way they proud to ignore and automatically turn to smile, of course, beautifully. how lovely it is! Koas is a very character of this country, but no one seems to accept. and that s really cute!

> Q4. anything you like about japan or japanese
from the far side, i always wonder how japanese people work that hard, focus, creative and discipline. i wish i could be just half of those behavior which i noticed from all my japanese friends. (but sometimes they are too stress!) above all, i love Shibuya!



EE: THE BRIDGE a film by Eric Steel


ดูหนังสารคดี The Bridge ทางดีวีดี (ได้ข่าวว่ามีฉายที่กรุงเทพฯ แต่ที่เชียงใหม่ไม่มี T_T)เป็นเรื่องเกี่ยวกับสะพาน Golden Gate ที่ซานฟรานฯ ว่ากันว่าเป็นสะพานที่คนนิยมไปกระโดดฆ่าตัวตายมากที่สุดในโลก ผู้กำกับ Eric Steel ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องนี้มาจากบทความเรื่อง 'Jumpers' (ไม่ใช่หนัง JUMPERที่ฉายอยู่ตอนนี้นะ) ที่เขียนลง The New Yorker ในปี 2003 โดย คุณ Tad Friend และทีมงานเลยเอากล้องไปตั้งถ่ายไว้สองจุด (เฉพาะเวลากลางวัน) ตลอดปี 2004 (หนึ่งปีเต็ม!) และถ่ายการฆ่าตัวตายได้ราวๆ 24 ราย

หนังตามต่อไปสัมภาษณ์ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง พยานที่รู้เห็นในเหตุการณ์ หรือกระทั่งคนที่เคยกระโดดแล้วรอดชีวิตในช่วงเวลานั้น โปรเจกต์นี้ถูกเก็บเป็นความลับ เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ประเภท 'นักอยากดัง' แล้วไปทำทีกระโดดระหว่างที่ถ่ายทำ เกิดสถิติว่า ทุกๆ 15 วันโดยเฉลี่ย จะมีคนไปกระโดดสะพานนั่น 1 คน! (ลือกันว่าหลังจากที่หนังฉาย คุณ Steel ก็มีปัญหากับคณะกรรมการดูแล Golden Gate เพราะว่าตอนที่ไปขอถ่ายทำ แกไปบอกว่าจะไปบันทึกความยิ่งใหญ่อลังการที่ผสมผสานการดำรงอยู่ระหว่าง สะพาน กับ ธรรมชาติ)

เคยมีโอกาสไปป้วนเปี้ยนอยู่ในเมืองนั้นพักหนึ่ง ผ่านไปผ่านมาพี่ 'สะพาน' นั่นก็หลายครั้ง แค่เห็นความสูงก็เสียวแล้ว ตอนนั้นมัวแต่สนใจว่าสร้างกันได้ยังไง ทั้งใหญ่โตและต้องต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศระหว่างก่อสร้าง

ระหว่างที่ดู ก็นึกอีกมุมว่า ระหว่างที่กำลังถ่ายทำกันอยู่นั้น ได้มีการห้ามปราม หรือยับยั้งการฆ่าตัวตายหรือไม่ หรือผู้กำกับก็เพียงแต่ทำหน้าที่ 'บันทึก' สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เรื่องนี้คุยยาก หลายความเห็นคงคิดว่าน่าจะไปห้าม แต่ความคิดอีกด้านก็ค้านได้ว่า มันเป็นการตัดสินใจของเขา ซึ่งก็อาจเป็นการสมควรที่จะเคารพการตัดสินใจนั้นยิ่งเห็นในหนังแล้วคิดตามไปว่า นั่นเป็นการฆ่าตัวตายจริงๆ คนๆ นั้นที่เราเห็นเขาตายไปจริงๆ ก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบอกไม่ถูก
รู้แต่ว่าเรื่องการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันไปไม่จบสิ้น เพราะว่าไม่ได้มิติเดียวแค่เรื่องบาปบุญคุณโทษ

กับอีกความรู้สึกหนึ่ง ไม่รู้ทำไม ระหว่างที่ดู รู้สึกเหมือน 'สะพาน' ทั้งๆ ที่เป็นแค่สิ่งก่อสร้าง แต่เหมือนมันก็มีชีวิตเป็นของมันเองยังไงไม่รู้ คงเป็นเพราะเรื่องราวต่างๆ ที่ล้อมรอบตัวมันล่ะมั้ง

ปล สนใจอ่านบทความของคุณ Tad Friend ขอเชิญที่นี่ (เรายังไม่ได้อ่านนะ)

http://www.newyorker.com/archive/2003/10/13/031013fa_fact

Tuesday, February 26, 2008

F>O>D>E 15 @ minimal, CM


รูปมาแล้ว!
อันที่จริงก็มานานแล้ว เพราะเดือนนี้ได้ เบียร์ ถ่ายให้
เบียร์เป็นช่างภาพ เคยช่วยถ่ายงานพี่เพชรให้เรา และเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่ม minimal ด้วย
ขอบคุณเบียร์ไว้ตรงนี้ด้วยนะ

เดือนนี้ต้องขอบคุณหลายคนมาก ขอเริ่มจาก minimal ที่ร่วมสนุกด้วยกัน และให้อิสระเต็มที่ในการทำงาน (เรายังมีโปรเจกต์ต่อไปด้วยกันอีกนะ) ขอบคุณชะมะ สำหรับความรู้เรื่องโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (แถมยังอุตส่าห์ตามมาตอนดึก) ขอบคุณพี่เหิร-เฮียแจ๊บแห่ง see scape และพี่น้องชาว see scape ที่คอยช่วยเหลือและมาให้กำลังใจ ขอบคุณ 'ราชินิคาริเบียน' สำหรับเพลงต่างๆ นานาของ radiohead ที่เราหาไม่ได้ (แต่เธอหามาให้จนได้) ขอบคุณไก่ (Khai) สำหรับไอเดียต่างๆ (see you at ACTION PARTIES#2!) ขอบคุณเปิ้ลและ P'joss สำหรับความช่วยเหลือทางไกลจากลอนดอน (ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรนะ) ขอบคุณซิ่มที่จะส่งแผ่นมาให้จากอเมริกา (ยังรออยู่เน่อ) ขอบคุณเพฟอระสำหรับอัลบั้ม Radiodread-แจ๊บมาก! แถมอุตส่าห์ส่งเป็น ems มาให้จากกรุงเทพฯ ขอบคุณคุณเกรียงไกร สำหรับ unplugged แถมอุตส่าห์ขับรถมาส่งให้ถึง minimal ขอบคุณ Mr thad finlayson (เพื่อนนรา) ที่อุตส่าห์อีเมลมาแสดงความช่วยเหลือ ขอบคุณท็อป-แม่โจ้ สำหรับแผ่นต่างๆ จำนวนมาก (แต่คราวหน้าช่วยเอามาให้ล่วงหน้าหน่อยก็ดีนะ นัดแล้วชอบหายตัว) ขอบคุณตั้มและปิง จาก monotone สำหรับ creep เวอร์ชั่นญี่ปุ่น (ยังรออยู่เน่อ) ขอบคุณพี่ไฝ (Nai5) สำหรับทุกอย่าง ไม่ได้พี่ช่วย งานคงไม่ราบรื่นเช่นนี้
ขอบคุณทีมงานตัวเอง รวมทั้งน้องๆ ที่มาช่วยเปิดศักราชให้ RabbitBAR!

ลืมใครหรือเปล่านา.... ถ้าลืมต้องขอโทษด้วยนะ ความจำไม่ค่อยดี แต่เดือนนี้ได้รับความช่วยเหลือมากมายจากหลายๆ คนที่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกันมาก่อน
อ้อ ลืมขอบคุณทุกๆ คนที่มา ขอโทษเรื่องสถานที่อีกครั้ง ไม่คาดฝันว่าคนจะมาเยอะกว่าที่ตั้งใจ หลายๆ คนมาแล้วเข้าไม่ได้ หรือเข้ามาได้แค่ทักทาย แล้วก็ต้องออกไป เพราะไม่มีที่จริงๆ ต้องขออภัยอย่างแรง
คราวหน้าสัญญาว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ตั้งใจมากกกกก ว่าจะเอารูปมาทำเป็น slideshow แบบที่เห็นข้างๆ นี้ --->
พยายามอยู่หลายวัน ก็ไม่สำเร็จเสียที ถ้าช้ากว่านี้เห็นจะเซ็งกันไปเปล่าๆ
เลยเอาสองรูปนี้มาแปะไว้ก่อน เป็นรูปที่ถ่ายเอง เป็นบรรยากาศตอนหัวค่ำ ที่เพิ่งเซ็ตอะไรต่อมิอะไรเสร็จ งานยังไม่เริ่ม

ถ้าอยากเห็นภาพบรรยากาศงาน รบกวนกดอีกครั้งนะ ^^
ดูที่โน่น แล้วจะแวะมาทิ้งข้อความไว้ที่นี่ก็ยินดีมาก

http://www.flickr.com/photos/rabbithood/show/

ปล เดือนหน้าเล็งที่จัดงานได้แล้ว กำลังอยู่ในช่วงติดต่อ (ขอให้สำเร็จเถอะ!)
ส่วนวันเวลา ก็คิดว่าน่าจะแถวๆ สัปดาห์ที่สองของมีนาคมโน่น
สัปดาห์แรก ชวนเที่ยวงาน fat กันก่อน ^^

Saturday, February 23, 2008

before sunset


You can never replace anyone because everyone is made up of such beautiful specific details.

- Before Sunset

(ref. september 3, 2007)

Tuesday, February 19, 2008

ACTION PARTIES#2 by Wunderspaze


มีข่าวมาเล่าสู่กันฟัง จากเพื่อนชาวสิงคโปร์ ที่ขณะนี้หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ที่เชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อย
ไก่ (Khai) เป็นศิลปินร่วมสมัย (มีคนบอกว่าดังมากที่โน่น!) อัธยาศัยดี วันๆ หมกหน้าทำแต่งาน รู้จักกันผ่านมาทางพี่เหิร-เฮียแจ๊บ เจ้าของ see scape เจ้าเก่า ไก่มาอยู่ได้แป๊ปเดียว ก็สรรหาอะไรทำทันที

โปรเจกต์นี้ชื่อ Action Parties # 2 ไก่ทำในนามกลุ่ม Wunderspaze ของตัวเอง
คอนเส็ปต์คร่าวๆ ก็คือว่ามีพื้นที่ว่างๆ ไว้ให้คนมาสร้างงาน จะเป็นงานอะไรก็แล้วแต่ ไก่จะคัดเลือกอีกที ข้อแม้หลักๆ คือต้องเป็นงานที่มี ACTION เกิดขึ้น (ห้ามเอารูปมาแปะเฉยๆ)

มีเครื่องหมาย #2 ก็หมายความว่าเคยผ่านครั้งแรกมาแล้ว ที่สิงคโปร์โน่น เห็นไก่ว่าได้รับความนิยมเหลือหลาย คนส่ง proposal มาแสดงไอเดียมากมาย ครั้งนี้มาประเดิมที่เชียงใหม่ ก็ใคร่ขอชักชวนเพื่อนฝูงพี่น้อง มาร่วมสนุกด้วยกัน

ไอ้ไก่ทำกับข้าวอร่อยมาก-ขอบอก (บอกทำไม!)

เอาล่ะ สนใจรายละเอียดกว่านี้ ขอเชิญได้ที่นี่
http://wunderspaze.blogspot.com/

รีบนะ เข้าใจว่าหมดเขตเสนอผลงาน วันที่ 3 มีนาคมนี้แล้ว ^^
ส่วนตัวงาน ก็จะมีทุกวันศุกร์-เสาร์ 14-29 มีนาคมนี้เช่นกัน

Monday, February 18, 2008

Kosovo Declares Independence From Serbia.


เมื่อคืนบังเอิญเห็นข่าวใน CNN
โคโซโว ประกาศอิสรภาพแล้ว!

ประเทศไทยก็แบบนี้?


ช่วงนี้กำลังอ่านหนังสือ 'สัตว์วิกาล' (Unknown Forces) ของพี่เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
ไว้อ่านจบแล้วจะมาเล่าให้ฟัง
ช่วงนี้อยากชวนอ่านบทสัมภาษณ์นี้ก่อน ที่ open online
สัมภาษณ์ไว้โดย นราวุธ ไชยชมภู
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน คอลัมน์ Icon นิตยสาร IMAGE ปีที่ 20 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2550
^^

Tuesday, February 12, 2008

minimal

นี้คือพิกัดของ minimal

F>O>D>E FEBRUARY 2008

(scroll down for lousy english)

สวัสดีกลับมาแล้ว แก้คิดถึงแวะมาจัดงานขนาดจิ๋ว ในวันเทศกาลเป็นทางเลือกให้กับคนที่รู้สึกว่าถูกโลกทำร้าย (ด้วยเทศกาล) และไม่รู้จะวางตัวเองไว้ที่ไหนครั้งนี้กะไว้ว่าน่าจะมาชุมนุมกัน 40-50 คนก็น่าจะพอ(ตอนแรกคิดไว้ว่าสัก 30 แต่โดนด่าว่าน้อยเกินไป)

งานเดือนนี้ชื่อ 'RABBI_T HE_ART RADIOHEA_D'คือเปิดเพลงของ RADIOHEAD ตลอดงาน ทั้งเพลงต้นฉบับและเวอร์ชั่น cover ต่างๆ ซึ่งมีมากมายเหลือเกินคนที่รู้จัก RADIOHEAD คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความพวกเขาเพิ่งออกอัลบั้มใหม่ (IN RAINBOWS) ตอนปลายปี 2007และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับการซื้อ-ขายเพลงในโลกใบนี้ตอนที่อัลบั้มนี้ออกใหม่ๆ เขาให้ดาวน์โหลดได้ฟรี จ่ายเงินเท่าไหร่ตามใจ หรือจะไม่จ่ายก็ได้

ปรากฏว่ามีคนจ่ายเงินมากกว่าไม่จ่าย!

ดนตรีของ RADIOHEAD พัฒนาเรื่อยมาตามยุคสมัย เป็นต้นแรงการเคลื่อนตัวของดนตรีโลกจากอัลบั้มแรกเมื่อปี 1993 (ที่เพลง creep ดังมากๆๆๆๆ)หลายคนบ่นว่าเพลงพวกเขาฟังยากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเลิกติดตามไปเลยก็มีช่วงที่ผ่านมาไปรื้อค้นอัลบั้มเก่าๆ มาฟังใหม่ทั้งหมด ยิ่งฟังก็ยิ่งอินเลยคิดว่าน่าจะเอามาแบ่งกันฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนที่คนส่วนมากถูกครอบงำให้พยายามตามหา 'ความหวาน'(ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องการ 'เสียตัว' ตามที่รัฐบาลกังวลแต่อย่างใด)เรามาดำดิ่งด้วยกันกับความแปลกแยก ใคร่ครวญ หม่นเศร้า ทว่ากัดกินอารมณ์ได้ดีนักแล

สนใจวงดนตรีจากอังกฤษนี้เพิ่มเติมขอเชิญที่
http://www.radiohead.com/
http://www.myspace.com/Radiohead

พอมาค้นคว้า ก็พบว่ามีอีกหลายอัลบั้มที่ยังไม่มี โดยเฉพาะพวก tribute ต่างๆ นานาเลยขอชักชวนเพื่อนฝูงพี่น้อง ท่านใดมี RADIOHEAD เวอร์ชั่นแปลกๆ หรือกระทั่ง DVD ต่างๆ ช่วยกรุณาติดต่อกลับมาทางอีเมลนี้ เผื่อจะสามารถแบ่งปันคนอื่นๆ ร่วมกัน(ที่มีอยู่แล้วตอนนี้ก็ EXIT MUSIC: Song with Radiohead, Christopher O'Riley 'True Love Waits' O'Riley Plays Radiohead
แล้วก็ OKX: a tribute to OK Computer)(ส่วน DVD ที่มีแล้วก็คือ 7 Television Commercials, Meeting People is Easy, The Astoria Lodon Live แล้วก็ Radiohead Glastonbury 2003 )

งานหูครั้งนี้จัดที่ 'minimal' เขาบอกว่าเป็น bar & art gallery ขนาดเล็กที่คนหนุ่มจำนวนหนึ่งรวมตัวกันทำขึ้นมาใช้เป็นพื้นที่พบปะ สังสรรค์ แสดงงาน และจัดกิจกรรมเคยแวะไปมาสองสามครั้ง เห็นความตั้งใจแล้วก็ชื่นชม

พื้นที่ของ minimal ค่อนข้างเล็กมาก แต่ก็น่าจะพอดีกับงานหูฉบับ mini

โปสเตอร์เดือนนี้ก็เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ ภาพที่เห็นนั้นถ่ายเมื่อปี 1965 ที่ประเทศญี่ปุ่นบุคคลในภาพเป็นใครนั้น ขออนุญาตปกปิด เพื่อความเป็นส่วนตัวของเขาถ้าสังเกต จะเห็นโลโก้ของ RabbitHood แล้วนะ และคงจะใช้โลโก้นี้สืบไป(ขอขอบคุณ super-slowmotion ที่ช่วยออกแบบให้ สมกับที่รอมากว่าครึ่งปี!)

เดือนนี้ไม่มีส่งข่าวลงในสื่อ ไม่พิมพ์โปสเตอร์ (มีแบบปริ้นท์แค่ 8 ใบ) ไม่มีโปสการ์ดถือเป็นการชุมนุมลับของอีเมลก็แล้วกัน

คนที่ชอบ RADIOHEAD ขอชวนมาฟังด้วยกันเป็นหมู่คณะ เผื่อจะได้บรรยากาศที่ต่างออกไปส่วนคนที่ไม่รู้จัก ก็อยากชวนมาให้ลอง อย่างน้อยจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยตัวเอง(ชวนเพื่อนมาได้นะ ^^)

สรุปความได้ดังนี้F>O>D>E 15 'RABBI_T HE_ART_ RADIOHEA_D'Thursday 14 February 2008@ minimal (nimman soi 13), Chiang Mai.21.00-23.30 HRSมี DVD ฉายเหมือนเดิม แถมด้วย MV อัลบั้มเพลง Jigsaw Falling Into Place จากอัลบั้มล่าสุดFOR RESERVATION, PLS CALL 086 663 0303

โทรมาจองก่อนก็ดีนะ แล้วรีบมาเร็วหน่อยก็ดี เพราะต้องเลิกเร็ว(เดี๋ยวข้างบ้านด่า!)

ย้ำอีกครั้ง งานนี้ไม่เหมาะกับ 'นักเต้น' ด้วยประการทั้งปวง!พบกันนะ
วชิรา

ปล พบกับ 'RabbitBar' ครั้งแรก ที่นี่!
....................................

Fall On Deaf Ears 15
'RABBI_T HE_ART RADIOHEA_D'
(All about Radiohead music!)

THURSDAY 14 FEBRUARY 2008
@ minimal bar & gallery (nimman soi 13)
21.00-23.30 HRS.
FOR RESERVATION, PLS CALL 086 663 0303

forget about Valentine's, let's get into the dark..
Welcome all 'Creep'!
^^ see ya

warning: NO GOOD for dance lover!
vajira

PS if you have any various versions of Radiohead music pls email me!

Friday, February 8, 2008

EE: LUST, CAUTION a film by Ang Lee


ตอนกลับไปกรุงเทพฯ รีบรี่ไปดู Lust, Caution
ที่ HOUSE เหลือแค่รอบเดียว (ชาวบ้านเขาคงดูกันไปหมดแล้ว)
พลาดงานอั้งลี่เรื่องที่แล้วไปหนึ่งครั้ง
แต่โชคดีที่ Brokeback Mountain มีฉายในเคเบิ้ลเลยพอกล้อมแกล้มได้ดูไปกับเขา
โชคดีอีกที่ดู Lust, Caution ที่ HOUSE เพราะว่าไม่ตัด (เข้าใจว่าไม่นะ)
รู้สึกว่าอั้งลี่เก่งขึ้น เนียนขึ้น ฉากร่วมเพศต่างๆ ในหนังไม่ได้ทำให้รู้สึกขยะแขยง
(เหมือนที่มีผู้ใหญ่หลายคนออกมาประณาม)
ในทางกลับกัน ยิ่งร่วมเพศกันมากครั้ง ก็ยิ่งสะเทือนใจ
เพราะเป็นกิจกรรมที่ทั้งสอดคล้องและขัดแย้งกับชีวิตทั้งชีวิตของตัวละคร
นักศึกษากลุ่มหนึ่งต้องการกู้ชาติ และนั่นเป็นภารกิจของพวกเขา

น่าเสียดายที่ศีลธรรมปลอมๆ ในบ้านเราถูกฉาบจนหนาเตอะ
เลยมองไม่เห็นความหมายสำคัญที่อยู่ข้างใน

Thursday, February 7, 2008

ทะลุหูขวา (10): artist: Ed Harcourt


{artist}
Ed Harcourt

Ed Harcourt เป็นชาวอังกฤษ มาจากเมือง Sussex เกิดเมื่อปีค.ศ. 1977 เขาเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงที่มีแฟนเพลงไม่น้อยจากทั่วโลก หลังจากที่ออกผลงานมา 6 อัลบั้ม นับถึงปีค.ศ. 2006

เครื่องดนตรีหลักๆ ที่เขาใช้คือเปียโน แต่เขาก็สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด ทั้งคีย์บอร์ด กีต้าร์ และเครื่องเคาะต่างๆ เวลาที่แสดงสด เขามักเล่นกับวงที่ประกอบด้วยกลอง กีตาร์ ไวโอลิน และทรัมเปต แต่บางครั้งเขาก็เล่นแสดงคนเดียว

ก่อนที่จะออกอัลบั้มเดี่ยว Ed Harcourt เล่นเบสและคีย์บอร์ดให้กับ Snug

นอกจากการทำเพลงและร้องเองแล้ว Harcourt ยังเป็นนักดนตรีสนับสนุนให้กับศิลปินหลายๆ วงในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา เช่น R.E.M., Snow Patrol, Wilco และ Neil Finn ในทางกลับกันก็ศิลปินหลายๆ วงก็มาเล่นแบ็กอัพให้กับเขาเวลาที่ออกทัวร์ เช่น Magnet, The Magic Numbers และ Feist หรือกระทั่งวงที่กำลังมาแรงของอังกฤษอย่าง The Smoke Fairies และ Hush the Many (Heed the Few)
เมื่อปี 2007 เขาทำอัลบั้มพิเศษกับนักดนตรีแจ๊ซชาวฝรั่งเศส Erik Truffaz ชื่อ Arkhangelsk

เขาแต่งงานแล้ว กับ Gita ซึ่งเป็นนักร้องและนักดนตรีเช่นเดียวกัน
เล่าลือกันว่าตอนที่ Harcourt อายุ 23 ปี เขามีเพลงที่แต่งสำรองไว้มากกว่า 300 เพลง!

เพลงของเขาฟังง่าย ไพเราะ จนนักวิจารณ์หลายคนค่อนขอดว่าเขาไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เพราะว่าผลิตผลงานที่คล้ายศิลปินคนโน้นบ้างคนนี้บ้างอยู่ตลอดเวลา

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.edharcourt.com (แต่ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่)
หรือ www.myspace.com/edwardharcourt (อันนี้สนุกกว่า มี MV ให้ดูด้วย)

พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับกุมภาพันธ์ 2551

ทะลุหูขวา (10): lyric: Shanghai

{lyric}
Shanghai

Let's move away together, go interplanetary
Maybe in Chinese weather, where it's sanitary
I'll go out trawler fishing, yeah we'll have tuna steak
I'm on a special mission, for us to have a break

We'll climb the corporate buildings
Spray-paint the outside walls
You bet that they'll be yielding
When the castle falls
We'll swim beneath the ocean
Near the coral reef I have a certain notion
That it will not be brief

We're going to Shanghai
To watch the red sky
We're moving to Shanghai
Goodbye, goodbye
We're going to Shanghai
So don't you cry
We're moving to Shanghai

Looks like we might have made it
Put on your silkworm dress
You look so beautiful and I look such a mess
Across the city's landscape, the sun burns crimson red
Maybe the moon will wait, before we go to bed

Maybe, maybe we'll have a fresh new start
I'll learn the martial arts
We'll have our own rickshaw cart
We're moving to Shanghai

ทะลุหูขวา (10): essay: เมืองใหม่ (ในฝัน)


{essay}
เมืองใหม่ (ในฝัน)

เซี่ยงไฮ้ในความทรงจำของผมรางเลือนเต็มที เท่าที่พยายามทบทวน มองเห็นแต่ตึกรามสวยงามแถวๆ ‘ฝั่งตลิ่ง’ จำได้แม่นว่ามี ‘เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน’ อย่างธนาคารกรุงเทพยืนตระหง่านอยู่แถวนั้น นึกไปอีกหน่อยก็ได้ภาพของ ‘หอคอยเซี่ยงไฮ้’ (Shanghai Tower) โผล่ขึ้นมา เคลิ้มอีกนิดก็นึกถึงสวนสาธารณะที่ในอดีตเคยมีป้าย ‘ห้ามคนจีนและหมา’ ประทับอยู่ที่หน้าทางเข้า

ที่เหลือตกค้าง เป็นภาพปะปนของคนหนุ่มสาวแต่งตัวทันสมัย เดินเหินสง่าผ่าเผยไปตามท้องถนน
เอ...ภาพนั้นมันเห็นที่ลอนดอนหรือเซี่ยงไฮ้กันแน่หว่า
.........

เรื่อยมาแต่โบราณ มนุษย์เราออกเดินทางกันมาช้านาน ด้วยเหตุแตกต่างกัน บ้างออกเดินทางเพื่อล่า (ยุคนี้อาจไม่ค่อยมีให้เห็นชัดแจ้งแบบนั้นแล้ว หรือถ้าจะมี ก็มักจะมาพร้อมเหตุผลข้างๆ คูๆ ที่โลกต้องฟังเช่น ต้องการให้เกิดความสงบสุขในประเทศของท่าน เราจึงบุกยึดอำนาจจากท่าน เป็นต้น) บ้างเพื่อศึกษา ยุคหลังมานี้ เมื่อคุณภาพชีวิตของชนชั้นกลางผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจเดินมาถึงทางตัน จึงสร้างทางระบายออกเพื่อแก้ไขความเบื่อหน่าย อยากหนีออกไปจากสภาพสังคมเดิมๆ ที่ตัวเองเวียนว่ายอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะหันหลังให้กับสภาพชวนอึดอัดนั้นอย่างถาวร ความอิหลักอิเหลื่อเช่นนี้ทำให้เกิดการปลีกตัวออกไปแสวงหาความแปลกใหม่ที่แสนจะโรแมนติก

หลายคนเลยเถิด จินตนาการถึงเมืองในฝัน ที่ซึ่งสวยสดงดงามเพียบพร้อมในความนึกคิด
เมื่อจุดเริ่มต้นของการเดินทางแตกต่างออกไป ผลลัพธ์ที่ย่อมหลากหลาย แม้จะเกิดขึ้นในสถานที่เดียวกัน-หรือเมืองเดียวกัน

ถ้ามีใครสักคนจะชอกช้ำในปรากฏการณ์นี้ ก็คงต้องเป็น ‘เมือง’ อย่างไม่ต้องสงสัย

หลายปีมานี้ก็ได้ข่าวแว่วๆ ว่า จำนวนนักเรียนที่ไปศึกษาต่อที่เมืองจีนนั้น เพิ่มอัตราขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าเกิดจากการที่ประเทศจีนมีท่าที่ที่จะยึดครองอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต ขณะที่ปัญหาเรื่องโรคเอดส์ อันเกิดจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเมือง ก็ยังไม่มีทีท่าจะลดน้อยถอยลง

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเปรยเรื่องนี้ให้ฟังด้วยความเป็นห่วง ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของตำบลโป่งแยง
เป็นผลพวงจากการสังวาสกับวัฒนธรรมตะวันตกอย่างที่ว่ากันใช่หรือไม่

ระยะเวลาหนึ่งปีแปดเดือนที่เชียงใหม่ ผมมีโอกาสได้เห็นการมาและไปของคนหลากหลายรูปแบบ-แน่นอนว่านั่นรวมถึงการไปๆ มาๆ ของตัวเองด้วย

คนจำนวนไม่น้อยมองเห็นเชียงใหม่ในภาพของตลาดเศรษฐกิจที่กำลังค่อยๆ เติบโต พวกเขาจึงเดินทางมาเพื่อตักตวงการเติบโตนั้นด้วยตนเอง

อีกจำนวน มองเห็นมหานครทางเหนือแห่งนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ระหว่างความเจริญและธรรมชาติ ซึ่งหาได้ยากเย็นเต็มทีในเมืองหลวงที่เติบโตอย่างไร้ทิศทางจนเกินเยียวยา พวกเขาจึงอพยพโยกย้ายมาพำนักอาศัย เรียนรู้และหล่อหลอมวิถีชีวิตให้เข้ากับความพอเหมาะพอดีที่เขามองเห็นได้นั้น

ที่เห็นชัดที่สุด น่าจะเป็นการมาและไปของนักท่องเที่ยว ผู้โหยหาภูมิประเทศและอากาศ ที่มาเป็นแพ็กเกจคู่กับคุณภาพชีวิตที่ดีในราคาย่อมเยา พวกเขาจึงเดินทางมา แสวงหาความสุข ไล่เรียงมาตั้งแต่การดื่มด่ำชื่นชมธรรมชาติของแมกไม้ขุนเขา เรื่อยไปจนถึงการกินดื่มสังสรรค์ เกิดการพบปะของหนุ่ม-สาว สาว-หนุ่ม หนุ่ม-หนุ่ม และสาว-สาว

สังเกตได้จากปริมาณการเบียดเสียดของผู้คนในฤดูเทศกาล

จำเพาะมาที่บุคลิกแบบซุปเปอร์เมือง เสียงดนตรีอึกทึกในผับบาร์ บรรยากาศริมน้ำปิงยามค่ำคืน เอื้อเฟื้ออย่างยิ่งที่จะสร้างบทสนทนาให้กับคนแปลกถิ่นกับคนในพื้นที่ เพราะบรรยากาศเช่นนี้เองก็ได้สร้างบทสนทนาให้คนในพื้นที่ด้วยกันเองจำนวนไม่น้อยมาแล้ว

ไม่แปลกและไม่ผิดหรอก นิวออร์ลีนส์ เมืองหลวงของดนตรีแจ๊ซและบลูส์ก็มีบรรยากาศแบบนั้น อาจจะแตกต่างกันบ้าง ที่ดนตรีของเขาเกิดขึ้นเพื่อตอบรับบริบทของคนผิวดำ เป็นความโหยหวนทางจิตวิญญาณของผู้คนที่ต้องอยู่อาศัยในบริเวณนั้น

จนกระทั่งการมาถึงของพายุแคททรีน่า ผมจนปัญญาที่จะจินตนาการถึงบรรยากาศของนิวออร์ลีนส์ในทุกวันนี้

เป็นความติดขัดเช่นเดียวกับเมื่อได้ยินใครสักคนบอกว่าจะย้ายไปตั้งรกรากอยู่พัทยา
พัทยาไม่ได้มีอะไรเสียหายโดยตัวมันเอง-ผมแค่จินตนาการไม่ออก ก็เท่านั้น

เมืองใหม่ในฝันของหลายๆ คน ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนแบบแผนเดียวกัน นักเขียนจนๆ อาจเฝ้าใฝ่ฝันถึงเมืองขนาดเล็กๆ ที่เงียบสงบราคาไม่แพง ขณะที่โสเภณีจนๆ ก็อาจเฝ้าฝันถึงเมืองที่นักท่องเที่ยวยินยอมพร้อมใจควักกระเป๋าจ่ายด้วยสนนราคางดงาม

สีเขียวขจีของแมกไม้ในขุนเขา อาจสวยงามเท่ากันกับเขียวของแบงค์ดอลล่าร์ในความหมายนี้
การสังวาส ไม่ว่าจะเกิดขึ้นระหว่างอะไรกับอะไร ระหว่างคนกับคน เมืองกับชนบท หรือระหว่างวัฒนธรรมกับวัฒนธรรม ไม่น่าจะใช่เรื่องเลวร้าย เพราะอย่างน้อยที่สุดมันทำให้เกิดสิ่งใหม่
ผมคิดว่ามันเป็นธรรมชาติของการมีชีวิตอยู่

เพียงแต่เสียดายที่ ‘เมือง’ โดยตัวมันเอง ไม่สามารถแหกปากส่งเสียงว่ามันต้องการหรือไม่ต้องการอะไรคงต้องเป็นภาระของคนที่ต้องส่งเสียงแทนมัน ทั้งคนที่อยู่ คนที่เพิ่งมาอยู่ และคนที่มาๆ ไปๆ

ข้อสำคัญคือ ถ้ายังไม่พร้อมมีบุตรธิดา กรุณาป้องกัน!

Monday, February 4, 2008

Pic From The Sea

F>O>D>E JANUARY 2008


ผ่านเดือนไปแล้ว เอามาแปะเก็บไว้นะ
...........................................................

(scroll down for lousy english)


สวัสดี
คงสนุกสนานกับเทศกาลกันไปพอสมควร
เลยถือโอกาสพักยาวววววววไปในตัว
มาส่งข่าวกันอีกที่ก็ล่วงมาต้นกุมภาพอดิบพอดี
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนไปเที่ยวเยี่ยมกันที่ SEE-SCAPE อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทำให้คลายความกังวลใจไปได้มาก นึกถึงคืนนั้นแล้วก็ยิ้มไม่หาย

แจ้งไว้คร่าวๆ ตั้งแต่ในคืนวันงานแล้วว่าเดือนมกราคมจะของดจัดงาน
ตั้งใจว่าจะเดินทางและเขียนหนังสือ ไม่ได้เดินทางนานแล้ว
ส่วนหนังสือก็คิดว่าถึงเวลาอันควรที่จะทำให้เสร็จสำเร็จเสียที
ขณะนี้ก็ดำเนินการไปแล้วบางส่วน (ทั้งเดินทางและเขียนหนังสือ)
รวมถึงโครงการใหม่อีกสองสามชิ้นในปีนี้
ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
มีอะไรคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะ
ช่วงที่หายหน้ากันไปนี้ ขอเชิญแวะเวียนได้ที่บล็อกเน้อ
มีรูปงานเดือนที่แล้วให้ชมนิดหน่อย
(ถึงท่านที่ชี้ชวนให้ทำเว็บไซต์ ขอแจ้งให้ทราบว่าคิดอยู่ทุกขณะจิต)
ไปละ รักษาสุขภาพด้วยนะฝนตกไปแล้ว
ตอนนี้กรุงเทพฯ ก็ร้อนอีก

สุขสันต์ทุกเทศกาล ทั้งล่วงหน้าและย้อนหลัง
^^
วชิรา

dear all,
you may know that there will be NO F>O>D>E in jan
due to my writing and travelling (and few more projects for 2008)
see you again soon, very soon
till we meet again...take care
^^
vajira