Saturday, February 28, 2009

FALL ON DEAF EARS: MARCH 2009


(scroll down for lousy english)

RabbitHood proudly presents

Fall On Deaf Ears 23 (mini)
Introducing: PORTISHEAD
+ Wax Installation by Pattree Chimnok (Meo Jai Dee)
+ Live Bass Solo on 'Sour Times' by Little Rabbit (10.45)


Saturday 7th March 2009
@ minimal gallery (nimman soi 13)

9.30 PM till Midnight!
Admission Free and No Table Reservation at all.
Any curious, call 086 663 0303 or visit: www.rabbithood.net


SPECIAL DVD SCREENING: PORTISHEAD LIVE (roseland new york) + short films + vidoes8.00 PM onwards!

Previous F>O>D>E> visit: www.rabbithood.net/fode22

Next Event: F>O>D>E>24> THAI NIGHT RETURNS! > April 2009> somewhere in Chinag Mai, Thailand

..............................

สวัสดีเดือนมีนาผ่านงานคราวที่แล้วมาได้ด้วยดี ใครว่างๆ ลองเข้าไปชมในเว็บที่เขียนไว้ข้างบนได้นะ ^^(ขอขอบคุณ โครงการ The Ring นิมมานฯ ซอย 17 ที่เอื้อเฟื้อสถานที่นะครับ)

เดือนมีนานี้งานหูเดินทางกลับมาหาฉบับ mini อีกครั้ง ถ้าจำได้ ปีที่แล้วเราเคยทำกับเพลงของ Radiohead ไปแล้วครั้งหนึ่ง
งานหู mini คืองานหูในสเกลเล็กมาก เน้นที่วงดนตรีวงเดียวเป็นหลักในคืนนั้นๆ เพื่อชักชวนคนที่ชอบเหมือนๆ กัน ออกมาฟังเพลงด้วยกันและถือโอกาสแนะนำคนที่ไม่คุ้นเคยมาทดลองฟังเพลงใหม่ๆ ด้วยกัน
ผ่าน Radiohead กันมาแล้ว รอบนี้ก็ถึงคราวของ PORTISHEAD บ้าง PHEAD (ชื่อเล่น) เป็นวงดนตรี Trip Hop จากอังกฤษ ที่ตามหลัง Massive Attack และ Tricky มาติดๆ มีผลงานยาวนานกว่าสิบปี และเป็นวงดนตรีที่มีแฟนเพลงเหนียวแน่นที่สุดวงหนึ่ง(กว่าจะออกมาแต่ละอัลบั้มต้องรอแล้วรออีก)

เพลงของ PHEAD คงไม่เหมาะสำหรับนักเต้น และอาจจะไม่เหมาะสำหรับนัก feel good ด้วยเช่นกันเพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความหม่น ดิ่ง แต่ก็มีความสามารถพิเศษในการพาผู้ฟังไปยังบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยเราชอบเสียงร้องของ Beth Gibbons (นักร้อง) มากๆๆๆ พอๆ กับที่ชอบดนตรีที่แสนประณีตของพวกเขาถ้าสนใจอยากทดลอง ขอเชิญอ่านเรื่องของ PORTISHEAD ได้ที่นี่ก่อนhttp://iamvajira.blogspot.com/2008/06/14-portishead.html (ภาษาไทย) หรือที่เว็บไซต์ของวง http://www.portishead.co.uk/ (ภาษาอังกฤษ) หรือถ้าอยากทดลองฟังก่อน ก็สามารถเข้าไปฟังได้ที่นี่ http://www.myspace.com/PORTISHEADALBUM3 (มีอื่นๆ ให้ดูด้วยนะ)

งานหูคราวนี้ก็ไม่ได้จัดเปล่าๆ (อีกแล้ว) เราได้ชักชวนพี่เหน่งแห่งร้านเทียนแมวใจดี (ที่อยู่นิมมานฯ ซอย 1) มาทำนิทรรศการด้วยกันงานของพี่เหน่งคือการเอาเทียนไปเคลือบกับวัสดุต่างๆ (ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง HOUSE OF WAX อาจจะนึกออก) เราเคยเห็นงาน Wax ของพี่เหน่งมาแล้วหนึ่งครั้ง สวยงามมาก ตอนแรกเรานึกอยากชวนให้พี่เหน่งเคลือบ minimal ทั้งร้าน แต่ในทางปฏิบัติจริงคงเป็นไปไม่ได้ พี่เหน่งก็เลยเตรียมเคลือบงานชิ้นใหม่ (ได้ข่าวว่าดำล้วน!) สำหรับจัดแสดงคราวนี้โดยเฉพาะ(แต่จะเคลือบอะไรนั้นขออุบไว้ก่อน) ยิ่งไปกว่านั้น เราได้ส่งเพลงทั้งหมดของ PHEAD ให้พี่เหน่งก่อนที่แกจะเริ่มทำงานชุดนี้ไปแล้วด้วยนะ

พูดยังไงดี...ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ

อีกเรื่องที่งอกมาใหม่คือส่วนของ Live Bass Solo โดย Little Rabbit เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก บางท่านอาจพอทราบว่าเรามีวงดนตรีที่เชียงใหม่ (ชื่อ Migrate to the Ocean) ก็เล่นก็ซ้อมกันงูๆ ปลาๆ กันมาได้หลายเดือนแล้ว แต่งเพลงกันเองก็ได้หลายเพลงอยู่โดยส่วนตัวเราอยากเล่นเพลงของ PORTISHEAD มานานแล้ว โดยเฉพาะเพลง Sour Times นี้คราวนี้สบโอกาส ก็เลยฉวยไว้ไม่ให้สูญหาย ถือเป็นบทเรียนในการฝึกฝนเล่นเบสให้ตัวเองอีกบทหนึ่งแต่ว่าจะเล่นสดประกอบกับอะไรนั้น ก็ขอโปรดติดตามได้ในงาน ^^

อีกเรื่อง...หนังสือ โรมานซ์ ของตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร ยังพอมีอยู่ ก็จะนำไปจำหน่ายในงานด้วยเช่นกันพร้อมกับ RabbitBag รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ยังไม่เคยวางจำหน่ายที่ไหนมาก่อน ก็จะเผยตัวในงานนี้เช่นกัน

เอาล่ะ สำหรับท่านที่อยู่เชียงใหม่ ช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูหมอกควันแล้ว โปรดรักษาตัวเองดีๆ ด้วยขอบคุณพี่เหน่งที่ถึงแม้เราจะยังไม่มีสปอนเซอร์ แต่ก็ทำงานมาร่วมสนุกกันขอบคุณจริงๆ ครับ

แล้วพบกันในงานนะ
^^
วชิรา
RabbitHood
http://www.rabbithood.net/
http://www.beautifulbreathless.com/

ปล ขณะนี้ RabbitHood มี FaceBook แล้วนะ ^^ (หลังจากตั้งท่ามาหนึ่งปีเต็ม) สนใจเชิญแอ็ดได้ที่ Iam Vajira หรือ iamvajira@hotmail.com
...........................................................

Dear all,
welcome again to Fall On Deaf Ears 'mini' version (last year was RADIOHEAD, remember?)
this month we are going to introduce our beloved british trip hop band PORTISHEAD(http://www.portishead.co.uk/
) along with our guest artist Pattree Chimnok from Meo Jai Dee (nimman soi 1) she is going to make her new Wax Installation for the night and i bet you shouldn't miss for any reason!

another step of F>O>D>E> is we are going to have a Live Bass Solo on PHEAD' Sour Times by Little Rabbit
who is Little Rabbit? ......... (silent)
but he is going to play just one song, mydear (and this one you can miss it!)

well, hope to see you around
and welcome to the PORTISHEAD's world
^^
vajira,
RabbitHood
http://www.rabbithood.net/
http://www.beautifulbreathless.com

PS RabbitHood is now jumping onto FaceBook (after hesitated for 1 year) pls add "Iam Vajira" or "iamvajira@hotmail.com" thx
XXX

Sunday, February 15, 2009

โพรง (10) : วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก


พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนมกราคม 2552

โพรง

เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา
www.rabbithood.net


วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก

เรื่องนี้เกิดขึ้นในราวต้นเดือนพฤศจิกายน ฤดูหนาวกำลังเดินทางมาช้าๆ
ขณะนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ปกติแล้วผมกับเขาไม่มีอะไรต้องโทรศัพท์หากันพร่ำเพื่อ ส่วนมากก็เป็นเรื่องธุระปะปังที่ต้องจัดการ นอกเหนือจากนั้นเรามักพบปะกันโดยไม่ต้องนัดหมาย

ชาจบการศึกษาด้านวิศวะไฟฟ้า เป็นนักดนตรีทั้งกลางวันและกลางคืน มีวงดนตรีเป็นของตัวเอง ทำมาหากินกับการเล่นดนตรีตามที่ต่างๆ แถวนิมมานเหมินทร์ หลายๆ ค่ำ เราก็วนเวียนมาเจอกันที่แกลเลอรี่เล็กๆ แถวนั้น หรือบางครั้งเราก็เจอกันตามร้านกินข้าว (กลางวัน)

คนที่วงจรชีวิตคล้ายกัน ก็มักวนเวียนมาพบปะกันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน

น้ำเสียงร้อนรนของเขาในบ่ายวันนั้นทำให้เราต้องนัดหมายมาพบปะกันในอีกราวสิบห้านาที ที่ร้านกาแฟเล็กๆ ของเพื่อนเราบนหัวถนนนิมมานเหมินท์

สำหรับท่านที่คุ้นเคย คงพอทราบดีว่าถนนนิมมานท์เหมินท์นั้นจัดอยู่ในหมวดแหล่ง ‘เจริญ’ ของประเทศเชียงใหม่ หลายท่านเปรียบให้เป็นละแวกทองหล่อ (สุขุมวิท) ของกรุงเทพมหานคร เป็นแหล่งรวมของร้านขายของเก๋ๆ ร้านกาแฟเก๋ๆ ที่พักเก๋ๆ ผับบาร์ (ไม่ค่อยเก๋) มากมายเปลี่ยนหน้ารอให้เลือกเข้าไปใช้บริการกันสลอน รวมถึงร้านอาหารอร่อยๆ (ทั้งเก๋และไม่เก๋) ที่ถ้าเดินกินทั้งวันก็คงพุงแตกตายอยู่ข้างถนน ความเจริญในความหมายทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวนั้น นำมาซึ่งตึกใหม่ๆ ตามตรอกซอกซอย และพาไปซึ่งต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่นับวันจะร่อยหรอลงเต็มที

ในบรรดาร้านอาหารที่เราอุดหนุนกันบ่อยนั้น ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อกลางซอย (ไม่เก๋ แต่รสชาติยอดเยี่ยม!) เป็นร้านหนึ่งที่เรานิยม ร้านนี้ตั้งอยู่มุมสี่แยกในซอยเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นขนาดเก้าคูหา และที่ด้านหน้าของคูหาหนึ่ง มีต้นหูกวางสองต้นยืนตระหง่านอยู่เคียงข้างกัน ความสูงของมันเคียงบ่าเคียงไหล่กับตึกสามชั้น

กิ่งก้านใบของมันที่แผ่ขยายออกมาบดบังความแข็งกระด้างของปูนแข็งๆ ทำให้ตึกนั้นมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด ความกระด้างของตึกปูนที่มีความอ่อนน้อมของกิ่งไม้ใบไม้เคียงข้างอยู่ด้วยนั้น เป็นสุนทรียะพื้นฐานที่มนุษย์ในตึกอย่างเราๆ พึงจะได้รับ

แถมดูมีรสนิยมโดยไม่ต้องแต่งฟุ่มเฟือยอีกต่างหาก

“พี่ พี่ หูกวางสองต้นกำลังจะโดนตัด!” นี่คือข้อความของชาในสายโทรศัพท์ หูกวางผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กำลังจะถูกตัดโดยเจ้าของตึก ด้วยข้อหาสองประการ

หนึ่ง มันขึ้นอยู่ตรงหน้าคูหาพอดิบพอดี ทำให้คูหานี้ไม่มีคนเช่า เพราะไม่สามารถจอดรถได้
สอง ลูกและกิ่งก้านของมัน ตกใส่รถยนต์ราคาแพงของผู้บริหารที่เช่าอยู่คูหาข้างๆ

ชา ต้น ชะ (เจ้าของร้านกาแฟ) และผม นั่งสุมหัวกันในร้าน เราพยายามหาทางออก เพราะต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการแก้ปัญหาเรื่องที่จอดรถด้วยการตัดต้นไม้ใหญ่สองต้นทิ้งไปเฉยๆ นั้น เป็นทางออกที่มักง่ายไปสักหน่อย

แรกที่สุดเราคิดถึงการประวิงเวลาด้วยการไปเช่ากันไว้เอง แต่เมื่อสำรวจเงินในกระเป๋าของทุกคนรวมกันแล้ว ความคิดนี้ก็เป็นอันต้องตกไป ต่อมาเราคิดถึงการบวชต้นไม้ ซึ่งหลายๆ ที่ก็ทำไว้ได้ผล แต่นั่นก็ยังไม่น่าจะใช่ทางออกที่ถูก ขืนเราต้องตามไปบวชต้นไม้กันทุกที่ ก็ดูจะเป็นการรบกวนเวลาปฏิบัติธรรมของคุณพระคุณเจ้าโดยใช่เหตุ

วนเวียนคิดกันอยู่หลายตลบ เราก็ได้คำถามว่า ในประเทศเชียงใหม่ของเรานี้ จะไม่มีคนเช่าตึกที่ต้องการต้นไม้ไว้บ้างเลยหรือ ทุกคนต้องการแต่ที่จอดรถจริงไหม

จริงครับ ทุกคนที่มีรถก็ย่อมต้องการที่จอด เพราะยังไม่มีใครออกแบบรถให้พับเก็บได้ในกระเป๋า แต่คนมีรถที่ไม่ต้องการให้ตัดต้นไม้เพียงเพื่อจะทำที่จอดรถนั้นก็ยังมีอยู่

แล้วชาก็พบ

เขาติดต่อไปยังอาจารย์ท่านหนึ่ง เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง อาจารย์ท่านนั้นมีความคิดจะเช่าตึกกับเพื่อนๆ ของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเช่า เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากชา อาจารย์ท่านนั้นรีบรุดมาสมทบที่ร้านกาแฟ จากนั้นก็พากันไปดูสถานที่จริง (ซึ่งอยู่ไม่ไกล) ตกลงเช่ากับเจ้าของอาคาร โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามตัดต้นไม้สองต้นนี้เด็ดขาด

อาจารย์ให้เหตุผลว่าต้นไม้สองต้นนี้มความจำเป็นกับธุรกิจของเขา

จากเหตุการณ์วันนั้นจนถึงวันนี้ ผู้เช่าเปลี่ยนมือจากอาจารย์เป็นน้องอีกกลุ่มหนึ่ง แต่พวกเขาก็ตัดสินใจเช่าด้วยเงื่อนไขเดียวกัน คือห้ามตัดต้นไม้ ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาจะเปิดเป็นร้านกาแฟ โดยที่เจ้าของเงินทุน (ตัวจริง) ก็ให้เงื่อนไขว่า ถ้าจะไม่ตัดต้นไม้ ก็ต้องออกแบบบรรยากาศร้านให้เข้ากัน

ชะเป็นสถาปนิก จึงช่วยเพื่อนรุ่นน้องออกแบบอย่างแข็งขัน

พี่นักข่าวอาวุโสท่านหนึ่งที่บ้านอยู่ตึกตรงข้ามเมื่อทราบเรื่อง ก็โทรมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงต้นไม้ พร้อมให้ความช่วยเหลือด้วยการอนุญาตให้ผู้เช่าคูหานั้น สามารถจอดรถที่หน้าบ้านฝั่งตรงข้ามได้

ถึงวันนี้ หูกวางสองต้นนั้นยังเคียงคู่ให้ร่มเงากับพวกเรา แต่ในอนาคตนั้น...ไม่มีใครรู้

ตอนที่มาเชียงใหม่ใหม่ๆ พี่ที่เคารพท่านหนึ่งซึ่งอยู่นิมมานฯ มาก่อนเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนนิมมานฯ ต้นไม้ใหญ่เยอะมาก แต่ทุกวันนี้ก็หร่อยหรอลงไปตามที่เห็น ครั้งหนึ่งเขาเคยถ่ายคลิปวิดิโอตอนที่คนงานกำลังโค่นต้นไม้ใหญ่ลงไปต่อหน้าต่อตา (น่าเสียดายที่หาคลิปนั้นไม่เจอแล้ว)

ปกติพี่คนนี้เล่าเรื่องอะไรก็ตลก แต่เชื่อเถอะครับว่าเรื่องนี้แกเล่าด้วยความไม่ตลก

ผมยืนยันอีกครั้งว่าเข้าใจระบบธุรกิจ เข้าใจเจ้าของเงินทุนที่ต้องควักเงินจำนวนมหาศาลมาลงทุนในพื้นที่ที่ราคาสูงขึ้นๆ ทุกวี่วัน เพียงแต่สงสัยว่าการกลับคืนมาของเงินลงทุนโดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมนั้นจะเป็นไปได้จริงหรือ

ถ้าสภาพอากาศเลวร้ายสุดขีด ผู้คนเริ่มอพยพไปหาที่ที่อากาศดีกว่า เงินลงทุนนั้นมหาศาลนั้นจะไม่สูญเปล่าไปหรอกหรือ

ต้องรอให้ต้นไม้ใหญ่หมดนิมมานฯ ไปก่อน จึงจะค่อยรู้สึกกันใช่ไหม

เรื่องทั้งหมดที่เล่านี้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญของคนสามสี่คนที่ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ละแวกเดียวกัน ผมเชื่อว่าทั่วทั้งเชียงใหม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกมาก เพียงแต่เราไม่รู้ข่าว

เป็นไปได้ไหมที่สักวันหนึ่ง เราจะมีกฏหมายหรือข้อบังคับเรื่องการตัดต้นไม้ใหญ่ ที่ต้องขออนุญาตก่อนจะทำการโค่น มีทีมสำรวจของหน่วยงานรัฐคอยให้ความรู้ มีทีมออกแบบที่คอยช่วยเหลือให้เจ้าของที่สามารถออกแบบอาคารให้หลบเลี่ยงต้นไม้ได้สวยงาม โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างให้น้อยที่สุด ถ้าใครฝ่าฝืนก็ให้ถือว่ามีโทษทางกฏหมาย แม้ว่าต้นไม้นั้นจะอยู่ในเขตพื้นที่ของตัวเองก็ตาม

เหตุผลสำคัญมีข้อเดียว
อากาศเป็นของเราทุกคน

ทะลุหูขวา (21) : artist: CALVIN HARRIS


ทะลุหูขวา [Fall On Deaf Ears]
text by RabbitHood


CALVIN HARRIS

Calvin Harris เริ่มทำเพลงตั้งแต่เพียงอายุ 15 จนเมื่ออายุ 18 เพลง “Da Bongos” และเพลง “Brighter Days” ของเขาถูกเลือกให้อยู่ใน 12” Club Single และอีพีของค่าย Prima Facie ตอนช่วงต้นปี 2002 ในชื่อ Stouffer

Harris เกิดเมื่อปี 1984 (ปัจจุบันอายุ 24 ปี) ที่เมือง Dumfries เมืองทางใต้ของสก็อตแลนด์ (มีชื่อเล่นว่า Queen of the south) ช่วงที่เป็นวัยรุ่น เขาเคยย้ายมาอยู่ในลอนดอน แต่อยู่ได้ไม่นานเขาก็ต้องย้ายกลับไปที่ Dumfries บ้านเกิด เนื่องจากหางานทำไม่ได้ จากนั้น Harris เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ฟังทั่วไปจากเพลงที่เขาทำไว้ใน MySpace จนในปี 2006 เขาเซ็นสัญญากับ EMI (publishing) และ Sony BMG (recording) และออกอัลบั้มแรก I Created Disco ในปี 2007

เพลงส่วนใหญ่ของ Harris ได้รับอิทธิพลมาจากเพลงในยุค 80s ทั้งจังหวะและน้ำเสียง ในประวัติของเขาเขียนว่า ‘Harris ไม่ได้คิดค้นเพลงดิสโก้ แต่เขาคิดค้นเพลงดิสโก้ขึ้นใหม่’

Harris ออกเดินสายโปรโมทอัลบั้มของเขาในสหราชอาณาจักร โดยเล่นเป็นวงสนับสนุนให้กับ Faithless และ Groove Armada เพลงต่างๆ ในอัลบั้มของเขาติดชาร์ทในอังกฤษมากมาย โดยเฉพาะเพลง Acceptable in the 80s นั้นติดชาร์ทอยู่นานถึง 15 สัปดาห์

เมื่อปี 2007 Harris ได้มีโอกาสแต่งเพลงและบันทึกเสียงให้กับ Kylie Minogue หลังจากที่มีโปรดิวเซอร์เอาอัลบั้มของเขาให้เธอฟัง Harris พูดถึงการทำงานกับ Kylie Minogue ว่า “Surreal, but fun” (สันนิษฐานว่าวลีนี้ดัดแปลงมาจากวลี “Surreal, but nice” ที่ Huge Grant พูดกับ Julia Roberts ในภาพยนตร์เรื่อง Notting Hill) ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ Harris เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร MixMag (นิตยสารเกี่ยวกับเพลงเต้นรำและวัฒนธรรมคลับ) ว่าเขาต้อง “ดื่มสักสองสามแก้วก่อนจะไปเจอเธอ”

Harris ยังเป็นโปรดิวเซอร์รีมิกซ์เวอร์ชันให้กับ Mitchell Brothers ในเพลง Michael Jackson และร่วมเขียนเพลงกับป็อปสตาร์คนดังอย่าง Sophie Ellis-Bextor ในอัลบั้มที่สี่ของเธออีกด้วย

ถือเป็นนักดนตรีอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง

Inside me,
Inside me is a flame,
That burns brighter any time you came.

Gets in the way, when I'm alone with you,
But dissappears if I'm with someone new,
It learned how to fit into my foreplay,
With my skills our love was going okay.

Until the night when we were on the phone,
You're moving on and want better.

SONG: Disco Heat
ALBUM: I Created Disco

Thursday, February 12, 2009

ROMANCE by Wisut


นี้คือหน้าตาของ 'โรมานซ์' ผลงานใหม่ล่าสุดของตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร เราเจอตอนที่ไปงานเปิดนิทรรศการของตั้มที่กรุงเทพฯ (ที่ J Avenue ทองหล่อ) เรื่องราวภายในนั้นกลมกล่อมนัก แฟนๆ งานของตั้มคงทราบดี ท่านที่สนใจก็ขอเชิญมาซื้อหาได้ในงานหูเดือนกุมภานี้ มีจำนวนจำกัดแค่ 100 ร้อยเล่มเท่านั้นนะ
^^

FALL ON DEAF EARS: FEBRUARY 2009


(lousy english, scroll down)

RabbitHood proudly presents

FALL ON DEAF EARS 22
'The Philosophy of Intimacy'

+ Art Exhibition by Students of Chiang Mai School of The Deaf.

Saturday 14th February 2009
at The Ring (nimman soi 17)

9 PM till late

Admission Free
For Table Reservation pls call 086 663 0303

visit www.rabbithood.net
for more detail.

สวัสดีเดือนกุมภา

เอ่อ...ส่งข่าวช้าอีกตามเคย ต้องขออภัยช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมามัวแต่ออกไปหา input ข้างนอก ไม่ได้อยู่ติดบ้านและติดเชียงใหม่ งานหูกลับมาอีกครั้งคืนวาเลนไทน์ ปีที่แล้วเราจัดคืน Radiohead กันไปถ้ายังจำได้

ปีนี้กลับมาอีกครั้งพร้อมเพลงไพเพราะที่คาดว่าน่าจะไม่ค่อยได้ยินที่ไหนมากนักยกตัวอย่าง Sean Lennon, Rufus Wainwright, The Divine Comedy, Belle and Sebastian ฯลฯตั้งใจหนักแน่นว่าจะเปิดเพลงไม่เต้น (เพราะเต้นกันมาหลายเดือนติดกันแล้ว) ย้อนอารมณ์กลับมาเหมือนงานหูสมัยแรกๆ ที่เรามานั่งฟังเพลงด้วยกัน โดยไม่เกี่ยวกับว่าโสดหรือมีคู่!

ไม่น่าเชื่อเลยว่างานหูจะเดินทางเข้าสู่ปีที่สามแล้ว...(และคราวนี้ก็ตรงกับครั้งที่เลข 2 มี 2 ตัวพอดี!)

ชื่อ Philosophy of Intimacy ขโมยมาจากชื่อรองของหนังสือ Conditions of Love ที่เขียนโดยคุณ John Armstrong (ภาษาไทยมีแปลแล้วชื่อ 'ความลับในความรัก' โดย คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา) หนังสือเล่มนี้ดีนัก ช่วยขยายภาพการมองความรักในมิติอื่น ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกใครที่ยังไม่ได้อ่าน ขอชักชวนให้รีบอ่านโดยด่วน

ในงาน นอกจากจะนั่งฟังเพลงกันให้เพลิดเพลินใจแล้วนั้นก็ยังมี Typographic ที่เอาบางส่วนของเนื้อเพลงที่เปิดให้ฟัง มาเรียงร้อยเข้าด้วยกันทำให้เกิดความหมายบางอย่างที่วนเวียนอยู่ในความสัมพันธ์ของคนเรา(ยังไม่ได้ทำหรอกนะ แต่คงทันเสร็จวันงานพอดี)

อีกเรื่อง คราวนี้ไม่ใช่งานหูเฉยๆ เท่านั้น แต่ยังมีนิทรรศการศิลปะของน้องๆ จากโรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทรคละวัย คละชั้น นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ The Happy Bag Project (โครงการถุงอิ่มใจ)โครงการของเพื่อนๆ ทั้งที่เชียงใหม่และกทม. นำทีมโดย แก้วก๊อ ณ เชียงใหม่ (ก๊อก็เป็นผู้สนับสนุนคนหนึ่งของงานหู)

โครงการถุงอิ่มใจปีนี้เป็นปีที่สองแล้ว เล่าง่ายๆ ว่าเป็นการทำบุญร่วมกันนั่นเองโดยทีมงานจะทำถุงออกมาขาย (120 บาท) ในถุงมีการ์ดอวยพรสองส่วนส่วนหนึ่งคนซื้อเขียนอวรพรให้คนรับ ส่วนที่สองคนรับเขียนขอบคุณกลับมาให้คนซื้อเราชอบวิธีคิด รู้สึกว่าน่ารัก แต่ไม่ทันร่วมสนุกกับพวกเขาในปีแรก เพิ่งมาทันในปีที่สองนี้ (ไปวาดกระต่ายลงถุงมาหนึ่งตัว) เงินที่ได้จากการขายถุง ทีมงานก็จะนำไปจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเช่น บ้านพักคนชรา บ้านคนพิการ หรือบ้านเด็กหูหนวก ฯลฯ

นิทรรศการศิลปะกว่า 30 ภาพคราวนี้เป็นกิจกรรมที่โครงการถุงอิ่มใจทำกับน้องๆ โรงเรียนโสตศึกษาฯ RH รู้ข่าวจากก๊อก็เห็นดีเห็นงาม คุยกันไปคุยกันมาเลยออกมาเป็นการจัดงานร่วมกันคนที่มางานหูเดือนนี้ ก็จะได้ชมภาพวาดของน้องๆ ที่จัดวางอย่างสวยงามแต่ถ้าใครที่มาชมวันแรกนี้ไม่ได้จริงๆ ก็สามารถติดตามไปชมผลงานของน้องๆ ได้ต่อที่ minimal (นิมมาน ซอย 13) ตั้งแต่ 15-22 มีนานี้ (หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น!)

อ้อ...มีโปสการ์ดจากน้องๆ มาจำหน่ายในงานหูด้วยนะ แผ่นละ 20 บาท!

อีกเรื่องน่าตื่นเต้นมาก เหตุเกิดมาจากที่ลงไปกทม.มาเมื่อต้นเดือนได้ไปงานนิทรรศการของตั้ม-วิศุทธิ์ (ที่ J Avenue ทองหล่อ-งานสวยมากๆๆ) เลยได้เห็นว่าตั้มออกงานชิ้นใหม่ชื่อ 'โรมานซ์' เป็นนิยายภาพตามแบบฉบับของตั้ม RH มีโอกาสได้เอางานโรมานซ์นี้มาขายที่เชียงใหม่ ก็เลยจะเปิดขายครั้งแรกที่งานหูเดือนนี้แฟนๆ ของตั้มไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เพราะพิมพ์มาจำนวนจำกัดแค่ 1000 เล่มเท่านั้น! (เอามาขายที่เชียงใหม่นี้เพียง 100 เล่ม!)

สนใจเพิ่มเติมแวะเข้าไปดูที่ http://www.rabbithood.net/
ละกันนะ

ในงานยังมี 'กาดกระต่าย' เล็กๆ เหมือนเดิม ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คราวนี้จะมี 'กระเป๋าคู่รัก' ออกมาขายอีกและถ้าทำออกมาทัน คนที่มาก็จะได้พบกับ RabbitBag รุ่น International ซึ่งเป็นซีรี่ส์ใหม่ล่าสุดของ RB

เอาล่ะ...หอมปากหอมคอกันแต่เพียงเท่านี้ก่อน
พบกันคืนวันเสาร์นะ

^^
วชิรา
RabbitHood
http://www.rabbithood.net/

http://www.beautifulbreathless.com/

........................................

hello february,

sorry again for my delay, have been away for new inputs.we will make our lovely F>O>D>E> on Valentine's night again,it s a time to return to our Music-Listening Party, with loads of beautiful music,just like old time.

the title 'Philosophy of Intimacy' is stolen from the subtitle of the book 'Conditions of Love'by John Armstrong (MUST READ!) which contains various aspects about love, apart from 'romanticism'.

let's see what will happen...

one more thing, this month we are going to have an art exhibition from students of Chiang Mai School of The Deaf which is the part of The Happy Bag Project byour friends in cm and bk. the project itself is very interesting and that s the only reason why we are going to make it happen together

see you on sat, no matter you are single or couple
who really cares!
; P

vajira,
RabbitHood
http://www.rabbithood.net/

http://www.beautifulbreathless.com/