Tuesday, September 30, 2008

โพรง (6): ชะตากรรมของคนหนุ่มสาว (ในเมือง)


โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา

www.rabbithood.net

ชะตากรรมของคนหนุ่มสาว (ในเมือง)

บ่ายวันหนึ่ง ผมผ่านไปเยี่ยมเพื่อนแถวๆ ทิพย์เนตร ระหว่างที่นั่งคุยกัน ชะโลมคอด้วยน้ำเย็นแก้วแล้วแก้วเล่า พลันเหลือบไปเห็นบทสัมภาษณ์ที่ตัวเองเคยทำไว้เมื่อหลายปีก่อน เป็นบทสัมภาษณ์ที่ผมและทีมนิตยสาร a day เดินทางไปสัมภาษณ์ คริสโตเฟอร์ ดอล์ย ในช่วงที่เขามากำกับภาพให้กับหนัง Last Life In The Universe ของคุณเป็นเอก รัตนเรือง

ในบทสัมภาษณ์ช่วงท้าย ผมถามเขาว่าคิดอย่างไรกับคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน (ถามเมื่อพ.ศ. 2545) คริสถามกลับว่า “หนุ่มสาวที่ไหนล่ะ” ผมเห็นเขามีโอกาสเดินทางไปทำงานตามที่ต่างๆ ของโลกจึงตอบกลับไปว่า หนุ่มสาวทั่วโลกโดยรวมๆ เท่าที่เขาพบเห็น

ผู้กำกับภาพระดับโลกตอบกลับทันทีว่า “ขี้เกียจ ผมคิดว่าพวกคนหนุ่มสาวขี้เกียจเกินไป”
หกปีผ่านไป ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่คริสแสดงทรรศนะไว้นั้นเป็นจริงหรือไม่
.........

ในบรรดาคนที่ผมมีโอกาสคบค้าสมาคมอยู่ด้วยที่เชียงใหม่ จำนวนไม่น้อยที่ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย หลายๆ ครั้งที่เรานั่งคุยกัน ความอัดอั้นในใจโยงไยไปถึงบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของพวกเขาก็พรุ่งพรูออกมา

น้ำเสียงเหล่านั้นบอกถึงความอ่อนล้า ที่ต้องเขี่ยวเข็ญคนหนุ่มสาวในสังกัดให้ดำเนินชีวิตไปข้างหน้า เราประเมินกันคร่าวๆ ตามประสาคนที่เคยผ่านช่วงเวลาการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยมาก่อนว่าน่าจะเป็นเรื่องการขาดความกระตือรือล้นในการดำเนินชีวิต ทั้งที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้อยู่ในช่วงวัยที่มีพลังชีวิตเหลือเฟือ ร่างกายสดชื่นแข็งแรง และที่สำคัญคือมี ‘เวลา’ ให้ใช้จ่ายเหลือเฟือในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องแบกภาระความรับผิดชอบใดๆ ที่มากเกินจำเป็น

ยิ่งสภาพแวดล้อมแบบเชียงใหม่ที่อุดมไปด้วยกิจกรรมมากมายหลายแขนงไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจที่จะค้นหา ‘ความกระตือรือล้น’ ที่พวกเราตั้งข้อสังเกตกันเองว่า ‘มีน้อย’ ไปสักหน่อยนั้น ว่ามันหายไปไหน

โดยส่วนตัวผมคิดว่าความกระตือรือล้นของคนหนุ่มสาวที่นี่นั้นมีอยู่ ไม่เชื่อลองสละเวลาเดินสำรวจความคึกคักตามสถานบันเทิงยามค่ำคืนดูสิครับ คุณจะเห็นพลังชีวิตมากมายขับเคลื่อนอยู่ในบรรยากาศเหล่านั้น หรือถ้าคุณมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขาบ้าง ก็จะได้รู้ว่ามีคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยเบื่อหน่ายกับการออกไปท่องราตรีอย่างที่ทำอยู่ในเวลานี้

นี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ปริมาณผับบาร์ผุดขึ้นราวดอกเห็ดฤดูฝน ผิดกันก็แต่ว่าดอกเห็ดผับบาร์หน้าตาเหมือนๆ กันที่เราเห็นผุดซ้ำๆ อยู่ที่นี่นั้น มักเกิดขึ้นในฤดูหนาว
ไม่ต้องเรียนจบเศรษฐศาสตร์ ใครๆ ก็รู้ว่าเมื่อมีความต้องการเกิดขึ้นในตลาด ก็ย่อมมีการสนองตอบ

ความกระตือรือล้นที่จะออกไปเที่ยวกลางคืนเป็นความเลวร้ายจริงหรือ-ไม่จริงหรอก ผมเถียง
แต่ความกระตือรือล้นที่จะออกไปเที่ยวทุกคืนนี่สิ-ผมคิดว่าคงมีความผิดพลาดอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ

ถ้าเราจะคุยเรื่องนี้กันต่อ ผมใคร่ขอความกรุณาทุกท่านช่วยถอดหน้ากากศีลธรรมปลอมๆ ออกไปก่อน ยิ่งศีลธรรมประเภทที่แบ่งแยก ‘ฉันดี แกเลว’ ภายใต้กิจกรรมต่างๆ นานาที่สรรหามาแบ่งแยกความดีเลวของคนนั้น ยิ่งต้องเอาไปเก็บไว้ให้ห่าง เพราะเราต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจว่า พลังขับเคลื่อนสำคัญในช่วงวัยหนุ่มสาวนั้นเกิดขึ้นจากแรงขับทางเพศเป็นหลักใหญ่ (หรือสำหรับบางคนอาจเป็นทั้งหมด)

คนที่ตระเวณทำบุญเป็นร้อยๆ วัด ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดี...ไม่ใช่หรือ

ศิลปินสำคัญๆ หลายๆ คนในโลกต่างยอมรับหน้าชื่นตาบานว่าจุดเริ่มต้นการทำงานของพวกเขาก็เริ่มจากความต้องการเป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม

ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน

แต่ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปสู่กระบวนการพัฒนาตัวเองและผลงานของเขาเหล่านั้นจนชื่อเสียงของพวกเขาเลื่องลือมาเข้ารูหูของเราต่างหาก เพราะคนที่ลงมือทำอะไรสักอย่างย่อมรู้ดีว่าเส้นทางการยืนระยะทำงานอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ใดๆ ทั้งสิ้น

มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกลีบกุหลาบหอมกรุ่นที่โรยรอไว้บนเตียงในคืนแต่งงาน

ผมเดาว่าแรงขับของการออกไปตะลอนยามค่ำคืนก็น่าจะมาจากจุดเริ่มต้นไม่ต่างกัน ผู้ชายแต่งตัวหล่อออกไปดูผู้หญิง ผู้หญิงแต่ตัวสวยออกไปดูผู้ชาย หรือผู้ชายอาจจะออกไปดูผู้ชาย และผู้หญิงออกไปดูผู้หญิง ก็ไม่ว่ากัน ความแตกต่างประการเดียวคือกระบวนการที่ดำเนินไปของมัน

น้อยแสนน้อยที่ได้ยินว่า พวกเขาออกไปซึมซับดนตรีดีๆ นักร้องดีๆ หรือกระทั่งบรรยากาศดีๆ

ถ้าการเที่ยวกลางคืนเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตของใครสักคน ถึงตอนนี้ผมยังมองไม่ออกว่ากระบวนการของมันนั้นจะเดินทางไปสู่หนใด ช่วงเวลาของกิจกรรมเที่ยวกลางคืนนั้นก่อให้เกิดผลลัพธ์ใดๆ บ้างหรือไม่

เอาล่ะ ถ้าคุณมีโชค คุณอาจได้คู่ไปครอง ซึ่งอาจจะยั่งยืนหรือชั่วครู่ชั่วยาม ก็ว่ากันไป แต่เมื่อพบคู่แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าพลังทางเพศที่ขับเคลื่อนในชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปใช่หรือไม่

ย้ำอีกครั้งนะครับว่านี่เราไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องนี้ในสถานะที่ใครดีเลวกว่าใคร เพราะคำถามที่ตามมาของผมคืออะไรทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้กับคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ซึ่งจะว่าไปก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นเฉพาะที่เชียงใหม่ หนุ่มสาวที่ไหนในโลกก็ไม่น่าจะต่างกันมากนัก

ภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้ชีวิตกลางคืนเป็นหลัก สะท้อนว่ากลางวันไม่น่าสนใจสำหรับพวกเขาใช่หรือไม่?

ผมคิดว่าความโชคร้ายประการหนึ่งของคนหนุ่มสาวคือพวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้จัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับตัวเองมากนัก เพราะอำนาจการควบคุมความเป็นไปในชีวิตกลับตกไปอยู่ในมือของคนที่โตกว่าและมีหน้าที่โดยชอบธรรมที่ต้องประพฤติปฏิบัติ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือพวกเขาไม่มีโอกาส ‘ออกแบบ’ บรรยากาศการเรียนการสอนของตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองเสียเงินมาเรียนแท้ๆ หรือในทางกลับกัน กระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยก็ไม่เอื้อให้เกิดบรรยากาศที่เหมาะสมกับเขา

นี่พูดเฉพาะช่วงเวลาหลักตอนกลางวันของคนหนุ่มสาวที่มีโอกาสร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้นนะครับ ยังไม่พูดถึง บรรยากาศอื่นๆ ของเมือง เช่น ร้านหนังสือที่มีหนังสือมากพอสำหรับคนที่ชอบอ่าน ร้านซีดีที่มีซีดีมากพอสำหรับคนชอบฟังเพลง ห้องสมุดสำหรับคนที่อยากมาแสวงหาความรู้นอกห้องเรียนโดยไม่ต้องมีกฏกติการุงรัง สนามกีฬาสำหรับคนที่ชอบออกกำลังกาย โรงหนังที่มีหนังให้เลือกหลากหลายกว่าหนังฮอลลีวู้ด พิพิธภัณฑ์ที่เหมาะสมกับรสนิยมและยุคสมัย ลานกว้างๆ ที่ร่มรื่นเพียงพอให้คนที่ชอบแต่งตัวให้ออกมาเดินเฉิดฉาย และอื่นๆ อีกมากมาย

เป็นความจริงที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่นะครับ แต่น่าสนใจว่ามันมีในปริมาณที่เพียงพอหรือไม่ ตั้งวางอยู่ในทำเลแบบใด และที่สำคัญคือมีบรรยากาศที่เหมาะสมกับคนหนุ่มสาวหรือไม่

ถ้านึกภาพไม่ออก ลองเปรียบเทียบกับทำเลและบรรยากาศของผับบาร์ที่มีอยู่ตอนนี้ก็ได้ครับ แล้วถ้าได้คำตอบว่าไม่ อย่างนั้นเราจะไปคาดหวังอะไรกับกระบวนเจริญเติบโตของคนหนุ่มสาวในเมืองของเราล่ะครับ

ต้นไม้ที่ได้ดินดีก็ย่อมเจริญเติบโตงอกงาม

แต่ถ้าในสภาวะที่ดินสมบูรณ์ไม่พอ ต้นไม้เองอาจต้องทบทวนว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถ้ามีความต้องการเจริญเติบโตงอกงาม ก็เห็นจะไม่มีวิธีอื่นนอกจากแข็งใจ อดทน และพยายามแทงรากไปหาผืนดินที่อุดมสมบูรณ์กว่า

แน่ละ...ถ้าขี้เกียจก็จบกัน

ทะลุหูขวา (17) artist: Husky Rescue



ทะลุหูขวา [Fall On Deaf Ears]
text and artwork by RabbitHood
www.rabbithood.net


ขออนุญาตงด ‘ทะลุหูขวา’ เดือนกันยายนนะครับ พบกันใหม่ 11 ตุลาคม 2551 ที่ GrooveYard ปาย!
There will be NO ‘Fall On Deaf Ears’ in September. See you guys again on 11 October 2008 @ GrooveYard, Pai!


*ภาพประกอบจากอาร์ตเวิร์คในปกอัลบั้ม



HUSKY RESCUE

Husky Rescue เป็นวงดนตรี ambient-pop ห้าชิ้นจาก เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ก่อตั้งโดย Marko Nyberg ในปี 2002 โดยใช้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ ภาพถ่าย ภาพวาด และสภาพภูมิอากาศ ตอนที่บันทึกเสียงอัลบั้มแรก ‘Country Falls’ ที่ออกมาเมื่อปี 2004 นั้น Nyberg ใช้นักดนตรีและนักร้องมาช่วยบันทึกเสียงรวมกันราว 20 ชีวิต ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนของเขาที่อาศัยอยู่ในเฮลซิงกิ

Nyberg พูดถึงเพลงของ Husky Rescue ว่า “ทุกๆ แทรกออกแบบมาให้เป็นเหมือนสายลมอุ่นๆ ที่ไว้ปะทะกับความหนาวเย็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ในที่ที่อากาศหนาวเย็นหรือไม่ก็ตาม ช่วงสำคัญต่างๆ ในชีวิตกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของดนตรี Husky Rescue สะท้อนปูมหลังของพวกเราในเฮลซิงกิ ที่ซึ่งกลางคืนในฤดูหนาวเยือกเย็นและยาวนาน ขณะที่ฤดูร้อนนั้นร้อนและสั้น แต่ก็สวยงามดีนะ มันเป็นดนตรีหม่นเศร้าแต่ก็มีความหวัง ดนตรีของ Husky Rescue เหมือนหิมะแรกบนผืนดินที่คุณยังมองเห็นสีเขียวของต้นหญ้าผ่านหิมะนั้น มันเหมือนแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิที่โผล่มาหลังจากความมืดมิดยาวนานของฤดูหนาว”

สมาชิกทั้ง 5 ของ Husky Rescue ประกอบด้วย Marko Nyberg เล่นเบส (ชอบกินบลูเบอร์รี่แพนเค้ก) Reeta-Leena Korhola ร้องนำ (ชอบอาหารอิตาเลียน) Ville Riippa คีย์บอร์ด (ชอบกินปลาย่าง) Anssi Sopanen เล่นกลอง (ชอบกินต้มยำ) และ Miika Colliander เล่นกีตาร์ (ชอบกินซูชิ) เพลง My World จากอัลบั้ม Country Falls เพิ่งถูกนำมาใช้ประกอบโฆษณาชุด Think About It ของ Hyundai (ไพเราะและน่ารักมาก)

เพลงของ Husky Rescue ไม่เหมือนกับเพลงยอดนิยมทั่วไปที่เนื้อหานั้นเริ่มต้นและจบลงในโลกแห่งความเป็นจริง แต่พวกเขาต้องการให้ดนตรีของ Husky Rescue เปิดประตูออกไปสู่โลกอื่น ที่ไม่มีจุดหมายแน่ชัดและไม่เกิดข้อสรุปใดๆ ในใจ อัลบั้มแรกเป็นเหมือนฝันกลางวันที่มีส่วนผสมของความหวานและความหม่นเศร้า ส่วนอัลบั้มที่สอง Ghost is not Real ที่ออกมาเมื่อปี 2007 นั้นบรรยากาศหม่นกว่า เป็นเหมือนการตามหาแสงสะท้อนวิบวับหลังก้อนเมฆหม่นดำของโลกสมัยใหม่ที่เราอาศัยอยู่

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.husky-rescue.com/


I see tree in this World with you
I see earth in this world with you
I see cloud in this world with you
I see rain in this world with you

The rain in high
So high
In the sky
It's raining high

SONG: MY WORLD

Monday, September 22, 2008

EATING PARTY 5 @ minimal


มีแล้ว ปาร์ตี้ของกินของ minimal คราวนี้เป็นปลาหมึก!
ไม่ได้ไปร่วมเปิดเพลงกับเขา เพราะเห็นว่ารอบนี้มีแต่ดีเจฝรั่ง เลยเสนอว่าน่าจะเป็นเพื่อนๆ ต่างชาติของพวกเราเปิดให้หมดทั้งคืนไปเลย จะขอเป็นผู้ชมบ้าง ใครว่างๆ ขอเชิญไปเยี่ยมชมที่ minimal ตามวันและเวลาดังกล่าว
อืม..คราวนี้โปสเตอร์สวยงามเชียว

Please Peace Me


มีงานฉายหนังสั้นเกี่ยวกับสันติภาพ ของพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ รายละเอียดตามโปสเตอร์ที่เห็นนี้ ไม่รู้ว่าจัดฉายวันเดียวที่กรุงเทพฯ (คือวันอาทิตย์ที่ผ่านมา) หรือว่ามีโปรแกรมฉายต่อเนื่องอย่างไร ใครสนใจลองเข้าไปดูตามลิ้งค์ในโปสเตอร์ละกันนะ ^^

Friday, September 19, 2008

RabbitBag: Stripe o1


นี่คือกระเป๋าแบบลาย ที่ทำขึ้นมาพร้อมๆ แบบคลาสสิค
ลายนี้เป็นลายแรก ทำมาแค่ 6 ใบ ซึ่งขณะนี้หมดแล้ว
(เลยสำนึกได้ว่าทำน้อยไปนิด ลายต่อๆ ไปเลยทำเพิ่มเป็นแบบละ 15 ใบ)
ถึงตอนนี้ทำมาแล้วประมาณ 8 ลาย บางลายหมดไปแล้ว และจะไม่ทำเพิ่ม
(เนื่องจากสัญญากับคนซื้อไว้ว่าจะทำแค่นั้น)
มีโอกาสจะค่อยๆ เอามาลงให้ดูนะ ; )

กระเป๋ารุ่นลายนี้จะมาพร้อมเข็มกลัดกระต่าย ที่ทำมาจำนวนจำกัดพอดีๆ กับจำนวนกระเป๋า (ท่านท่ีซื้อไปแล้ว กรุณาอย่าทำเข็มกลัดหายนะ)

เหมือนเดิม, ยังไม่รู้ว่าจะซื้อขายกันยังไง ก็เอาเป็นว่าขอเชิญมาซื้อที่งานหู
คนที่มาไม่ได้ ก็ฝากๆ กันมาซื้อละกันนะ

ส่วนงานท่ีปายจะมีคอลเล็กชั่นใหม่ เป็นรุ่น 'คู่รัก' (น่ารักสมชื่อ)
กับรุ่น Classic o2 (อันนี้ก็คลาสสิคจริง)
ใครสนใจโปรดติดตามอย่างใกล้ชิด

ขอขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนโครงการยังชีพของ RabbitHood
; )

Saturday, September 13, 2008

11 September 2008


“Ask, and it shall be given you; seek; and you shall find; knock and it shall be opened unto you. For every one that asketh receiveth; and he that seeketh findeth; and to him that knocketh it shall be opened.

[Matthew 7:7-8].”

Wednesday, September 10, 2008

LHC: Large Hadron Collider (BIG BANG EXPERIMENT)


เห็นในรายการข่าว 3 มิติของคุณกิตติ เรื่่องการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่จะเกิดขึ้น บ่ายสามโมงวันนี้ (10 กันยายน 2551) โครงการนี้ชื่อ LHC (The Large Hadron Collider) ซึ่งเป็นชื่อของเครื่องเร่งอนุภาค ที่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ได้ยินคร่าวๆ ว่าถ้าเครื่องนี้ทำงานสำเร็จ นักวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเข้าใจจุดกำเนิดของเอกภพได้ แถมยังได้แหล่งพลังงานที่มีค่ามหาศาลและบริสุทธิ์กว่าพลังงานนิวเคลียร์ที่เรามีกันอยู่

แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะมีคนค้านว่าการทดลองนี้อาจทำให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ ซึ่งอาจสามารถดูดกลืนทวีปยุโรป หรืออาจจะดูดกลืนโลกทั้งโลกหายไปเลยก็ได้

เพื่อความกระจ่างมากขึ้้น ขออนุญาตคัดลอกข้อความมาจาก http://www.thaigaming.com/general-discussion/37004.htm มาให้อ่านกันนะ

Large Hadron Collider (LHC) เป็นเครื่องเร่งความเร็วอนุภาคของศูนย์วิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นท่อใต้ดินวนเป็นวงกลมยาว 27 กิโลเมตร เป้าหมายของ LHC คือใช้ทดลองเร่งความเร็วอนุภาคแล้วเอามาวิ่งชนกัน เพื่อตรวจสอบทฤษฎีทางฟิสิกส์อนุภาคว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าสร้างขึ้นมาได้จริงตามทฤษฎี วงการฟิสิกส์จะก้าวหน้าขึ้นไปอีกมาก

อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่คาใจเรื่องความปลอดภัยของ LHC ในหลายประเด็น เช่นว่า การใช้งาน LHC อาจก่อให้เกิดแบล็คโฮล (หลุมดำ) ขนาดเล็กขึ้นมาทำลายล้างโลก หรือเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลกให้เหลือข้างเดียวได้ ล่าสุดได้มีคนยื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐ ให้กระทรวงพลังงานสหรัฐและห้องทดลอง Fermilab ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกของ LHC ชะลอการใช้งานไปอีก 4 เดือนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทางฝ่ายสนับสนุน LHC เองก็ออกมาโต้แย้งว่าไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นแต่อย่างใด ส่วนศาลจะรับฟ้องหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างกระบวนการด้านเอกสาร

แม้นักฟิสิกส์ทั่วโลกจะใช้เวลาถึง 14 ปีและลงทุนไปกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ที่ใหญ่สุดในโลก ภายใต้ความร่วมมือขององค์การศึกษาวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป "เซิร์น" (Cern) เพื่อเร่งให้อนุภาคโปรตอนชนกัน แล้วสร้างพลังงานและเงื่อนไขที่เหมือนกับเสี้ยววินาทีที่ 1 ในล้านล้านล้านหลังเกิดบิ๊กแบง (Big Bang) โดยนักวิทยาศาสตร์จะวิเคราะห์เศษซากที่เกิดขึ้น เพื่อไขปริศนาธรรมชาติของมวลและแรงใหม่ๆ รวมถึงความสมมาตรของธรรมชาติด้วย

ทั้งนี้แม้จะฟังดูประหลาด แต่กรณีนี้ก็เป็นประเด็นเคร่งเครียดที่สร้างความวิตกให้กับนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ กล่าวคือพวกเขาจะประมาณความเสี่ยงจากการทดลองใต้ดินที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนนี้ได้อย่างไร และใครที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะหยุดหรือเดินหน้าการทดลอง

สรุปคือเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อจะทำให้ตัว LHC ทำความเร็วไปแตะระดับความเร็วแสง เพื่อทำให้เกิดปรากฎการใหม่ที่มนุษยชาติไม่เคยมีใครทำและทำได้ ถ้าทำได้สำเร็จจริงจะเป็นผลแห่งความรู้ใหม่อันมหาศาลทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์โลก เอาแบบง่ายๆ ถ้าทำสำเร็จจะเป็นพื้นฐานของการทำเครื่อง Time Machine แต่ถ้าสำเร็จจริงผลเสียที่ตามมา ที่มีกลุ่มคนต่อต้านกันอยู่คือ มันเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก การประเมินผลเสียที่เกิดขึ้นเป็นแค่การสมมุติฐานและคำนวนตามทฤษฎีเท่านั้น จึงเป็นไปได้ทั้งสองทางคือ อาจจะเป็นผลที่ดีมาก หรือผลเสียมากต่อมนุษยชาติก็ได้ ดีก็ดีไปแต่ข้อเสียก็คือ การทำให้อะไรสักอย่างบนโลกใบนี้เร็วในระดับไปแตะก้นความเร็วแสงได้จริงมัน อาจทำให้เกิดหลุมดำขนาดหนึ่งขึ้นมาได้ และอาจจะดูดกลืนทุกสิ่งบนโลกใบนี้ให้หายไปเลยก็ได้ครับ ทั้งผลร้ายและผลดีนั้น คำนวนตามทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ทั้งนั้นครับ ซึ่งไม่เคยมีใครมีประสบการณ์ในการทดลองจริงได้สำเร็จ

เพิ่มเติม
CERN ได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมาว่าจะเดินเครื่องเร่งอนุภาค Large Hadron Collider (LHC) ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ข่าวนี้มาพร้อมกับระยะทำเครื่องให้เย็นหลังจาก CERN ได้ประสบความสำเร็จในการข้อสรุปในการเดินเครื่องเร่งอนุภาคตัวใหม่ สถานีโทรทัศน์ได้ทำรายงานครอบคลุมตั้งแต่การเริ่มเดินเครื่องผ่านทางสถานี Eurovision LHC เป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่มีกำลังมากสุดในโลก สร้างลำแสงอิเล็กตรอนที่มีพลังงานมากกว่า 7 เท่าของเครื่องเก่า และมีความเข้มมากกว่า 30 เท่าเมื่อไปถึงประสิทธิภาพที่คาดหวังไว้ในปี 2010 อุโมงค์ขนาด 27 กิโลเมตรที่เป็นท่อลำแสง LHC อิงเทคโนโลยีที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เครื่อง LHC ในปัจจุบันจึงเปรียบเสมือนเครื่องต้นแบบในตัวมันเอง

สิ้นเดือนกรกฎาคม งานทั้งหมดใกล้จะเสร็จสมบรูณ์แล้วกับเครื่องยิงอนุภาค 8 ส่วนที่มีอุณหภูมิในการทำงานอยู่ที่ 1.9 องศาเหนือจุดเยือกแข็งสมบูรณ์ (-271°C) ระยะต่อไปขอการทำงานคือการทำเชื่อมต่อ LHC กับเครื่องเร่ง Super Proton Synchrotron (SPS) ที่จะมารวมเป็นส่วนเชื่อมต่อสุดท้ายของห่วงโซ่การยิง ของ LHC เวลาระหว่างเครื่องทั้ง 2 ต้องมีความแม่นยำในระดับส่วนเสี้ยวของนาโนวินาที การทดสอบการเชื่อมต่อจะเริ่มในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ และการยิงลำแสงอิเล็กตรอนที่สองแบบหมุนตามเข็มนาฬิกา จะเริ่มในสัปดาห์ถัดไป การทดสอบจะทำเรื่อยจนถึง 9 กันยายน เพื่อแน่ใจว่าเครื่องพร้อมที่จะเร่งและทำให้เกิดการชนของแสงอิเล็กตรอนที่ ยิงไปที่มีระดับพลังงาน 5 TeV ต่อลำแสง ซึ่งเป็นพลังงานเป้าหมายในปี 2008 นี้ และลำแสงที่จะวิ่งวนภายใน LHc อย่างเป็นทางการนี้คือวันที่ 10 กันยายน 2008 ซึ่งจะใช้พลังงาน 450 GeV (0.45 TeV)

เมื่อการโคจรของลำแสงอิเล็กตรอนเสถียรแล้ว นักวิจัยก็จะนำเข้าสู่ระยะการชนและสุดท้ายก็จะเร่งระบบ LHC ให้เร่งพลังงานไปถึง 5 TeV

เอาล่ะ...ตอนนี้ BBC กำลังถ่ายทอดสดอยู่...
อ้อ เกือบลืม มีสิ่งนี้อยู่ใน YouTube ด้วยนะ เป็นคลิปของนักศึกษาที่ไปฝึกงานโครงการนี้ ถ่ายคลิปออกมา แล้วทำแร็ปประกอบ สนุกดี ดูแล้วเข้าใจมากขึ้นนิดหน่อย

น่าจะมีใครทำอะไรแบบนี้กันเยอะๆ นะ สนุกดี ^^

Tuesday, September 9, 2008

RabbitBag/Classic


เอาล่ะ...ถึงเวลาคุยกันเรื่องกระเป๋าอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีนะ ^^

เรื่องก็เหมือนกับที่หลายๆ คนทราบ ว่าหลายๆ งานของ RabbitHood นั้นไม่มีรายรับ ยกเว้นบางครั้งที่หาสปอนเซอร์ได้เท่านั้น แต่ในสถานการณ์ที่ค่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้ ก็คิดว่าเข้าใจสปอนเซอร์นะ จะใช้จ่ายอะไรก็คงต้องคิดมากกว่าเดิม ครั้นจะรอรายรับจากสปอนเซอร์อย่างเดียว ก็เกรงว่าจะมักง่ายเกินไปสักหน่อย ก็เลยลองคิดเล่นๆ ว่า ในระหว่างการรอนั้น เราลงมือทำอะไรได้บ้าง

ที่จริงสินค้าชิ้นแรกนั้นควรจะเป็นเสื้อยืด แต่ก็ยังหาผ้าและที่ตัดเย็บที่ถูกใจไม่ได้ โครงการทำเสื้อก็เลยยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ระหว่างนั้นก็เลยคิดถึงกระเป๋า เพราะเป็นของใกล้ตัวที่ใช้เองกับมือมายาวนาน ก็พอจะรู้ ขนาดและลักษณะที่น่าจะใช้งานได้ดี กระเป๋าชุดแรกก็เริ่มต้นในเวลาต่อมา

ต้องเล่าว่ากระเป๋า RabbitBag นี้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก 'ไอ้เกี๊ยง' ก็คงทำไม่สำเร็จ ไอ้เกี๊ยงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประดิษฐ์ประดอย แม่นยำเรื่องกาดหลวง (ตลาดวโรรส) เป็นที่สุด ก็ได้ไอ้เกี๊ยงนี่แหละเป็นคนพาไปเดินตลาด เลือกผ้า ส่วนการตัดเย็บนั้นก็ได้คุณแม่เพื่อน ที่เขามีโรงเย็บผ้าขนาดเล็กๆ ทำเป็นอุตสาหกรรมเล็กๆ ในครัวเรือน

ที่เย็บนี้อยู่ไกลเมืองพอสมควร แต่วิวทิวทัศน์ระหว่างทางไปก็สวยงามจับใจ มีทุ่งนาเขียวสดสลับบ้านเรือนไปตลอดทาง วันไหนที่ไปนั่งทำฉลากกับเขา (รีดฉลากเล็กๆ ที่อยู่ขอบกระเป๋า-สำหรับรุ่น stripe) ก็นั่งฟังแม่บ้านเขาคุยกันสนุกดี ส่วนใหญ่ก็บ่นเรื่องข้าวของ ผัก ผลไม้ที่ราคาแพงขึ้น อีกอย่างคือรายการวิทยุที่พวกเขาฟังกันก็น่ารักดี จัดเป็นภาษาเมือง ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็พยายามกันต่อไป

RabbitBag จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการรณรงค์เพื่อลดภาวะโลกร้อน ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่ว่าลำพังการใช้กระเป๋าผ้าตามแฟชั่นอย่างเดียวไม่น่าจะพอ คงต้องปรับพฤติกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย

คุยกันเล่นๆ ว่า เหมาะจะเป็น 'โครงการยังชีพ' มากกว่า ^^

ที่จริงกระเป๋านี่ก็ทำมาได้สักพักแล้ว มีรุ่นใหม่ๆ ออกมาบ้าง แต่ยังถ่ายรูปได้ไม่หมด แถมบางลายก็หมดไปแล้วด้วย (โฆษณาชวนเชื่อ!) ไว้มีโอกาสคงได้นำมาทยอยลงให้ดูกัน แบบ classic นี้คงทำไปเรื่อยๆ แต่ก็ทำได้ทีละไม่มากนัก เพราะไม่ได้กะเอาเป็นเอาตาย ส่วนแบบ stripe นั้นทำแบบละสิบกว่าใบเท่านั้น หมดแล้วก็หมดเลย คงไม่ทำซ้ำลาย

ยังไม่ได้ฝากขายที่ไหนจริงจัง ที่เชียงใหม่สามารถซื้อได้ที่ 'งานหู' ส่วนที่กรุงเทพฯ และจังหวัดอื่น ยังไม่รู้จะขายยังไงเหมือนกัน ขอคิดก่อนนะ

จบเรื่องกระเป๋า RabbitBag ครั้งแรกไว้แต่เพียงเท่านี้...

Friday, September 5, 2008

First Night...


ขออนุญาตนำมาแปะไว้นะ
จะเอามาแปะไว้นานแล้ว แต่ไม่ค่อยสะดวก

นี้คือภาพของการซ้อมดนตรีวันแรก เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ minimal บรรยากาศการซ้อมนั้นสนุกสนานดีแท้ เพราะว่าเล่นกันสนุกๆ งูๆ ปลาๆ ไปตามประสา ตอนแรกก็ไม่มีใครคิดจะถ่ายเก็บไว้ แต่บังเอิญคุณปุ๊ (แห่งวอร์ม) เอาแผ่นหนัง Control มาคืน เลยพูดขึ้นว่า น่าจะถ่ายเก็บไว้สักหน่อย พยายามเลือกรูปที่เบลอที่สุดแล้ว แถมจุดเหลืองให้ด้วยอีกต่างหาก (ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการชุมนุมประท้วงนะ แต่ทำเป็นสีอื่นไม่เป็น -_-')

หลังจากนั้นก็ซ้อมเกือบทุกวัน สองสามครั้งแรกปวดมือและแขนซ้ายบรม คงเพราะไม่ได้ออกแรงกดสายนาน แต่วันหลังๆ กำลังแขนและมือก็ดีขึ้นมาก ยิ่งมีน้องๆ นักดนตรีที่เล่นเป็นอาชีพมาช่วยเล่น ก็ยิ่งสนุกกันใหญ่ วันหลังๆ พอซ้อมเสร็จ (เที่ยงคืน ตีหนึ่ง) ก็ยังไม่กลับบ้าน นั่งดูมืออาชีพเขาแจมกันให้เป็นที่สนุกสนาน

บรรยากาศเช่นนี้ ครึ้กครื้นยิ่งนัก

F>O>D>E>18>Come On Feel The 80s!! @ M.I.X.


(scroll down for lousy english ^^)

มาแล้วรูปงานหู! บรรยากาศงานคืน 80s
ขอขอบคุณทุกๆ คนที่อยู่ร่วมสนุกสนานด้วยกันจนจบ ตอนที่ฝนตกลงมาราวๆ สี่ทุ่ม ก็นึกว่าจะแยกย้ายกลับบ้านกันไปหมดแต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ เห็นหลบกันอยู่ตามใต้ร่ม แล้วพอฝนหยุดก็ออกมารวมกันใหม่

เป็นบรรยากาศงานหูที่สนุกสนานมาก จะไม่ลืมเลยจริงๆ
(โต๊ะกระจกของร้านแตกไปสองบาน -_-')

อีกคนที่สำคัญมากคือพี่หม่อง-ชัยชนะ สิมะเสถียร (ช่างภาพ) ที่มาร่วมเปิดเพลงด้วยกัน พี่หม่องเป็นเจ้าพ่อเพลงเก่าและแปลก (ไม่รู้เหมือนกันว่าแกไปเสาะหามาจากไหน) คนที่มีโอกาสมาคืนนั้นคงได้ฟังกันแล้ว
พี่หม่องฝากชมแฟนๆ งานหูว่าอบอุ่นมาก มีโอกาสแกสัญญาว่าจะกลับมาร่วมสนุกกันอีกเราก็อยากให้พี่หม่องมาอีกเช่นกัน ขอบคุณพี่หม่องมากๆๆ ครับ

งานภาพคราวนี้เป็นของเน-เนติพล แก้วกมล ผู้ที่วนเวียนมาเชียงใหม่ไม่รู้จักเบื่อ
อะไรเป็นอะไรโปรดคลิ้กเข้าไปชม (รอมันโหลดแป๊บนึงนะ)

http://www.rabbithood.net/fode18/

จบงานแล้วมีคนมาขอยืมดีวีดี Joy Division เต็มเลย
(หมายความว่า มาไม่ทันตอนฉายไง!) ก็ให้ยืมได้ ไม่ได้หวงอะไรรวมไปถึงหนังเรื่อง Control ที่ทำจากประวัติชีวิตของ Ian Curtis ก็เหมือนกันดีใจที่สิ่งเหล่านี้ได้แพร่กระจายออกไป ส่วนใครจะชอบหรือไม่ชอบนั้นก็คงเป็นอีกเรื่องเราอาจไม่ต้องชอบเหมือนกันก็ได้ แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสได้เลือกว่าชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร

เอาล่ะ ขอบคุณร้าน M.I.X. สำหรับสถานที่
เดือนกันยายนนี้งด พบกันใหม่ 11 ตุลาคม ที่ GrooveYard ปาย!
F>O>D>E>On The Road!> "กระต่ายกับเต่า(ทอง)!"

ขอบคุณครับ
วชิรา
RabbitHood
http://www.rabbithood.net/
.......................

Dear All,
here comes the pix of that night, the 80s!
unfortunately, our beloved photographer from Bkk, Nae, was too drunk to shot all images of people who ve been there.
So, enjoy the rest of all.

----> http://www.rabbithood.net/fode18

there will be again, NO Fall On Deaf Ears in Sept
see you on Oct 11 @ GrooveYard, Pai....
"Rabbit Heart The Beatles!"

take care,
vajira