Monday, July 28, 2008

F>O>D>E>17>a very thai night 2 @ See Scape


สวัสดี
ขอขอบคุณทุกท่านที่มีโอกาสมาร่วมงานหูกับเรา
ผ่านไปแล้วด้วยดี หวังว่าจะสนุกสนานสำราญใจ
สำหรับท่านที่มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มีโอกาสเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน

ส่งรูปวันงานมาให้ดูกัน ล่าช้าไปนิด ขออภัย
เพราะมัวแต่ไปเพลิดเพลินทำกระเป๋าเข้าไปดูรูปงานได้ที่นี่นะ ^^

http://www.rabbithood.net/fode17/

สิบสองรูปแรกเป็นของเน (ช่างภาพที่ถ่ายให้ตอนงาน The Message เมื่อเดือนมีนา)หลังจากงานคราวนั้น เนก็แวะเวียนมาเชียงใหม่บ่อยๆ (ไม่รู้ติดใจอะไร) แล้วก็มาช่วยถ่ายรูปให้ภาพหลักๆ ของงานนี้เป็นของเบียร์ ช่างภาพเจ้าของแกลเลอรี่เล็กๆ ชื่อ minimal ที่อาสามาถ่ายให้ขอขอบคุณช่างภาพทั้งสองท่าน ลองชมกันดูนะ

ภาพที่ผนังนั้นเป็นช่วงที่ฉายหนัง The Signature สารคดีเกี่ยวกับ รัตน์ เปสตันยี ที่ขอมาจากมูลนิธิหนังไทยและบางช่วงเป็นภาพตัวอย่างหนัง 'ปืนใหญ่จอมสลัด' ของพี่อุ๋ย (คราวนี้เขียนถูกแล้วนะ เข้าใจว่าชื่อ ปืนใหญ่ 'โจรสลัด' มาตลอด ขออภัยด้วย)

ขอขอบคุณมูลนิธิหนังไทย พี่ชลิดา Cinemasia และพี่อุ๋ยอีกครั้งครับ

พบกันใหม่เดือนหน้าสิงหาคม

วชิรา
RabbitHood
http://www.rabbithood.net/

ปล ลืมบอกไปว่า ถ้าใครได้รับเมลซ้ำกันในแต่ละครั้ง รบกวนช่วยเมลกลับมาบอกนิดนึงนะ ขอบคุณมากหรือถ้าใครไม่ต่องการรับเมลแล้ว ก็สามารถเมลมาบอกได้เช่นกัน ^^


Dear all,
thx for joining to our F>O>D>E>
and here is the link for anyone who wanna see what was going on

http://www.rabbithood.net/fode17/

see you again next month ^^
vjr.
RabbitHood

โพรง (4): จุดนัดพบ (2)


โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา
www.rabbithood.net

จุดนัดพบ (2)

ความ
เดิมตอนที่แล้ว สุภาพบุรุษท่านหนึ่งเดินทางไกลมาจากกรุงเทพฯ พร้อมข้อสงสัยว่า ‘ทำไมใครๆ ก็มาเชียงใหม่’ อันนำมาซึ่งความห่วงไยว่าเชียงใหม่จะ ‘เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร’

จริตและคุณภาพชีวิตนั้นเป็นเรื่องของรสนิยมความ ‘พอใจ’ เรื่องรสนิยมนั้นตัดไปก่อน เพราะถกเถียงกันยาก ฉะนั้น ถ้าพอใจในสิ่งที่มีอยู่ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่ ก็ต้องดิ้นรนกันต่อ ดรรชนี้ชี้วัดด้วยกำปั้นทุบเปรี้ยงลงไปบนดินคือถ้าไม่ออกอาการทุรนทุรายก็ถือเป็นอันใช้ได้

ภาพกว้างๆ ของการอพยพโยกย้ายหรือกระทั่งการเดินทางท่องเที่ยวก็สมควรจะอยู่ในขอบข่ายนี้
ปัญหาก็คือว่า ‘ความพึงพอใจ’ ของคนกับเมืองที่เราอาศัยอยู่นั้น เกิดขึ้นแต่ลำพังภายในจิตใจของเราใช่หรือไม่

ผมคิดว่าไม่

ลองจินตนาการเล่นๆ ว่าถ้าเชียงใหม่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพิกัดนี้ แต่ไปซุกตัวอยู่ในหุบเขาไกลโพ้น เข้าถึงยาก ถนนหนทางไม่สะดวก โอบล้อมด้วยป่าดงดิบ สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ฝนก็ฝนหนัก ร้อนก็ร้อนตับแตก ชื้น อบอ้าว ฤดูหนาวก็หนาวหิมะตก การอพยพโยกย้ายของคนเชียงใหม่ในจินตนาการนี้อาจเกิดขึ้นน้อยหรือแทบไม่มีเลย การมาท่องเที่ยวของคนต่างถิ่นนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง คงเกิดขึ้นบ้างสำหรับผู้ที่อุทิศชีวิตให้ความแปลกใหม่และท้าทาย แต่คงไม่ได้รับความนิยมนัก เพราะลำบากเกินพยายามและไม่สวยงามตามฝันของชนชั้นกลางผู้มีกำลังซื้อ คำถามต่อไปคือว่า เมืองลี้ลับแห่งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในบ้างหรือไม่

ผมเชื่อว่าเกิด แต่อาจจะน้อย และคงไม่เป็นประเด็นให้ใครสักคนดั้นด้นเดินทางมา 700 กิโลเมตร เพื่อพูดคุย

ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เชียงใหม่จริงๆ ในวันนี้ แตกต่างจากเชียงใหม่ในจินตนาการลิบลับ ทันทีที่คนจำนวนมากแห่กันมาพบปะสังสรรค์ เกิดบทสนทนาและความคิดเห็น ทั้งคล้อยตามและแตกต่าง ยิ่งการสังสรรค์นั้นยังทวีปริมาณไม่ลดละ เมื่อนั้นความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน

ถ้าการกำหนดนโยบาย ‘เมืองท่องเที่ยว’ เป็นตัวแปรหลักที่จุดประกายให้คนแห่แหนกันมาจริง อันส่งผลให้เกิดอาการ ‘ติดใจ’ จากการ ‘มาเที่ยว’ บ่อยๆ จนเกิดอาการโยกย้ายถิ่นฐาน ‘มาอาศัย’ คำถามต่อไปอีกคือว่า ได้มีการกำหนดนโยบายไว้รับมือปรากฏการณ์เช่นนี้หรือไม่ นอกเหนือจากแค่ลำพังการสะกดจิตผู้คนและนักท่องเที่ยวให้อนุรักษ์เปลือกปลอมๆ ของประเพณีและวัฒนธรรมไทยอันแสนดีงามของเรา

(ให้เวลานึกหนึ่งนาที)

ตลอดเวลา
สองปีที่ผ่านมา จากการใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณ ‘ส่วนเมือง’ ของเชียงใหม่เป็นหลัก ผมสังเกตเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของร้านเหล้า ร้านกาแฟ ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ และฟิตเนส มากมาย โดยเฉพาะในส่วนพื้นที่หลักที่ใช้รับรองนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและชาวไทย ทั้งที่สถาน ‘ให้บริการ’ เหล่านั้นมีปริมาณสูงอยู่แล้วจนน่าตกใจ

แต่ผมกลับไม่เห็นการเจริญเติบโตของระบบขนส่งมวลชนเพื่อความสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้รถเก๋งหรือรถเครื่อง (แม้ว่าจะมีการพยายามเปิดให้บริการรถเมล์ก็ตาม) ไม่เห็นการพยายามกำหนดเส้นทางสำหรับรถถีบเพื่อที่คนส่วนมากจะขี่ไปไหนมาไหนง่ายๆ ไม่เห็นสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่และร่มรื่น หรือห้องสมุดที่ทันสมัยสำหรับคนทั่วไป

จริงอยู่ สิ่งเหล่านี้อาจกำลังเคลื่อนตัว ขยับขยาย แต่มันไม่สามารถเทียบเคียงกันได้เลย ทั้งในปริมาณและอัตราเร่ง

สายตาผมอาจจะคับแคบ จำนวนสองปีอาจน้อยเกินไป

แน่นอนว่าละแวกนิมมานเหมินทร์ไม่ใช่ทั้งหมดของเชียงใหม่ บริเวณรอบคูเมืองหรือท่าแพก็ไม่ใช่ เหมือนที่กรุงเทพฯไม่ใช่ประเทศไทย แต่ในสถานการณ์ที่ทุกสิ่งถูกบังคับให้เคลื่อนออกจากศูนย์กลางแต่เพียงอย่างเดียวของบ้านเรา ก็ย่อมแสดงว่าการเปลี่ยนแปลงในส่วนเมืองจะส่งผลกระทบออกไปในวงกว้าง

นักท่องเที่ยวผู้โชคร้ายไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จึงต้องรับเคราะห์ ถือเป็น ‘ตัวการ’ สำคัญที่ทำให้เมืองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ค่อยดีนัก (ต้องกลับไปครวญเพลง ‘ชวนฉันมา แล้วก็ด่าฉันไป’) ในขณะที่กระบวนการเพื่อการคำนวณผลประโยชน์ล้วนๆ กลับถูกแสดงออกมาผ่านธุรกิจพื้นๆ ที่เชื่อกันว่าหาเงินได้ง่าย ระลอกแล้วระลอกเล่า

ซื้อตึก เช่าที่ ทำร้านเหล้า เปิดร้านกาแฟ ขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ใครเจริญรุ่งเรืองก็โชคดีไป ใครพ่ายก็ลองหาลู่ทางใหม่ อาจแค่ย้ายทำเล หรือลองเปลี่ยนชนิดของกิจการ

ทิ้งไว้เพียงซากความฝันแสนหวาน ในจุดนัดพบแสนสวย

ที่จริงการมีร้านเหล้า ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะคงไม่มีใครอยากอาศัยอยู่ในเมืองที่มีแต่วัด ห้องสมุด หรือสวนสาธารณะ แต่ผมคิดว่าเมืองที่ดีควรมีทางเลือกในการเจริญเติบโต มีความหลากหลายของคุณภาพชีวิตที่รองรับความ ‘พอใจ’ ของคนส่วนใหญ่ มีพื้นที่ให้ชุมชนได้แสดงความคิดเห็นและพลังของพวกเขา (เช่น ป้ายผ้าต่อต้านตึกสูงในซอยวัดอุโมงค์ หรือละแวกชุมชนวัดเกตุ ฯลฯ)

เพราะไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ ความเปลี่ยนแปลงในเสื้อผ้าของ ‘ความเจริญ’ นั้น ก็จะมาถึงวันยังค่ำ ฉะนั้นถ้าเรามีช่องทางให้เลือก ก็มีแนวโน้มว่าจะกำหนดความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้

สองคำถามสุดท้าย
หนึ่ง เรามีทางให้เลือกหรือไม่?
สอง ถ้ามี เราจะเลือกเพื่อให้เกิดความหลากหลายมั้ย?

ทะลุหูขวา (15): artist: HOT CHIP


Hot Chip เป็นวงอิเลคโทรป๊อปจากอังกฤษ มีผลงานออกมาแล้ว 3 อัลบั้ม อัลบั้มที่สอง The Warning ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Mixmag ว่าเป็นอัลบั้มแห่งปี และได้รับการโหวตให้เป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมอันดับสี่ของปี 2006 จากนิตยสาร NME (แม้แต่อัลบั้ม Made in the Dark ก็ได้รับรางวัล ชื่ออัลบั้มยอดเยี่ยม ประจำเดือนจาก Mixmag ตั้งแต่อัลบั้มยังไม่วางออกจำหน่าย)

Hot Chip ก่อตั้งครั้งแรกในปี 2006 โดย Alexis Taylor และ Joe Goddard ทั้งคู่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน แถมยังเคยเรียนด้วยกันที่ Elliott School ใน พัทนี่ย์ ลอนดอน ครั้งหนึ่ง Goddard เคยให้สัมภาษณ์ว่าดนตรีช่วงแรกๆ ของ Hot Chip เขียนแบบกลอนหก ด้วยกีต้าร์โปร่ง แต่ตอนหลังวงได้เปลี่ยนทิศทางของดนตรีไปโดยสิ้นเชิงเพราะว่ามัน 'โคตรน่าเบื่อ' และลองพยายามทำเพลงว่างๆ โล่งๆ ที่ไม่ต้องมีความหมายเท่าที่จะทำได้

หลายปีหลังจากที่ทำอัลบั้มกันเอง พวกเขาเซ็นสัญญากับ Moshi Moshi ในปี 2003 และออกอัลบั้ม LP 'Coming On Strong' ในปี 2004 และเริ่มทำอัลบั้มที่สองในเวลาต่อมา ช่วงเวลานั้นพวกเขาเซ็นสัญญากับ DFA ซึ่งเป็นค่ายเพลงในอเมริกาและนำอัลบั้มแรกออกวางจำหน่ายอีกครั้งในช่วงปลายปี 2005

ในปี 2006 Hot Chip ออกอัลบั้มที่สอง The Warning กับค่าย EMI ของอังกฤษ คราวนี้ชื่อเสียงของพวกเขาขจรขจายมากขึ้นทั้งในหมู่ผู้ฟังทั่วไปและนักวิจารณ์ อัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Mercury Music Prize ในปีนั้นเอง(แข่งกับวงอื่นๆ เช่น Arctic Monkeys, Editors, Isobel Campbell, Muse, Thom Yorke และอื่นๆ -วงที่ได้รับรางวัลในปีนั้นคือ Arctic Monkeys นั่นไง!) แม้จะไม่ได้รับรางวัลแต่เพลง Over and Over และ And I Was a Boy from School ในอัลบั้มนี้ก็ติดชาร์ต UK Top 40 singlesในเดือนมีนาคมและพฤษภาคมปีเดียวกันนั้น เพลง โดยเฉพาะมิวสิควิดีโอเพลง Over and Over นั้นได้รับความสนใจเป็นพิเศษเพราะว่ากำกับโดย Nima Nourizadeh (คนนี้เป็นผู้กำกับมิวสิควิดีโอทุนต่ำที่มีชื่อเสียงมาก เชิญติดตามเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.nimanourizadeh.com/site/) และเพลงเดียวกันนี้ ก็ยังได้รับการประกาศให้เป็นซิงเกิ้ลที่ดีที่สุดของปี 2006 จากนิตยสาร NME ของอังกฤษอีกด้วย (ได้รับรางวัลเยอะจริง!)

Hot Chip ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องการแสดงสด เพราะว่าพวกเขามักไม่เล่นเหมือนในแผ่น แต่ชอบประดิษฐ์คิดค้นเวอร์ชั่นที่แตกต่าง บางครั้งก็ต่างจากในแผ่นโดยสิ้นเชิง แถมยังเป็นวงที่เล่นในเทศกาลต่างๆ มากมาย ตัวอย่างเช่น Dour Festival, Glastonbury, Sonar, Benicassim, Electric Picnic, Bestival, Lovebox, Bonnaroo, the Reading and Leeds Festivals, the Summer Sundae festival, the Big Day Out T in the Park , Summer Sundae, Splendour In The Grass Tim Festival (Brazil) และ Coachella (เยอะมาก!)

Hot Chip เป็นวงที่สมาชิกมีพรสวรรค์ด้านดีเจ สมาชิกทั้งห้าคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ DJ set live ของ BBC RADIO ONE's The Essential Mix Radio Program ซึ่งดำเนินการโดย Pete Tong ผู้โด่งดัง ในปี 2007 พวกเขาออกอัลบั้มรวมเพลงในชื่อ DJ-Kicks ซึ่งประกอบด้วยเพลงใหม่ที่ชื่อ My Piano และในปี 2008 พวกเขาก็ออกอัลบั้มเต็มอัลบั้มที่สาม Made in the Dark และซิงเกิ้ล Ready For The Floor ก็ขึ้นอันดับ 6 ใน UK Singles Chart

ตอนต้นปี 2008 Hot Chip ไปโผล่ในรายการ Friday Night with Jonathan Ross (รายการทีวีของอังกฤษ) เพื่อโปรโมทเพลง Ready for the Floor และเดินสายออกรายการต่างๆ มากมาย รวมถึงการไปแสดงสดใน Radio 1's Live lounge ด้วย (Live Lounge เป็นส่วนหนึ่งของรายการ The Jo Whiley Show ขอสถานี BBC Radio 1โดยกำหนดให้ศิลปินดังๆ มาเล่นสดแบบอคูสติก กติกาคือให้เล่นเพลงตัวเองหนึ่งเพลงและเพลง coverหนึ่งเพลง ซึ่งภายหลังก็มีการทำออกมาขายเป็นอัลบั้มด้วย)

เพลงของ Hot Chip มีทั้งสนุกสนานและหม่นหมอง แต่รับรองได้ว่าไม่โหลและไม่เฝือแต่อย่างใด

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ http://www.hotchip.co.uk/site/

*พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนกรกฎาคม 2551

Tuesday, July 15, 2008

TOO RAINBOWS


ที่เชียงใหม่วันนี้มีรุ้งสองตัว (เพิ่งเคยได้ยินว่าเขาเรียกรุ้งกันเป็น ตัว นี่แหละ)
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะบอกทำไม แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ตัวบนนั้นโค้งกว่าแต่ก็ซีดกว่าเช่นกัน
ส่วนตัวล่างนั้นโค้งน้อยแต่คมชัด และทอดยาวจากขอบถึงขอบ
แปลกดี
ท่าจะเป็นวันดี (นั่นแน่!)

ปกติเคยเห็นตัวเดียว เลยไม่รู้ว่าการมีรุ้งสองตัวพร้อมๆ กันบนท้องฟ้า มันมากเกินไปมั้ย?

Wednesday, July 2, 2008

FALL ON DEAF EARS: JULY 2008


ทะลุหูขวา ปีที่ 2 ครั้งที่ 17! โดยวชิรา

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2551 เวลาสามทุ่มถึงเที่ยงคืน
ที่ See Scape (นิมมานซอย 17) เชียงใหม่
พร้อมฉายหนังสารคดีพิเศษ Signature สารคดีเกี่ยวกับ รัตน์ เปสตันยี เวลาสองทุ่มตรง!
สำรองที่นั่งโทร 086 663 0303
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.rabbithood.net


สวัสดี

กลับมาแล้ว ; )
เพิ่งกลับมาจากออกไปเดินทางและภารกิจที่คั่งค้างก็ใกล้เสร็จเต็มที เลยตัดสินใจจัดงานดีกว่า แก้คิดถึง

งานหูเดือนนี้เป็นครั้งที่ 17 แล้ว! คราวนี้จัดเป็น 'คืนไทย' (Thai Night) ครั้งที่ 2 หมายความว่าคืนไทยนี้เคยจัดไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อปีที่แล้ว ตอนเดือนมิถุนายน ซึ่งครบรอบอยู่เชียงใหม่หนึ่งปีพอดี ที่จริงปีนี้ก็ตั้งใจว่าจะจัด 'คืนไทย' ตอนเดือนมิถุนาเหมือนเดิม จะได้ทำทีคล้ายเป็นธรรมเนียมระลึกถึงรอบปีที่มาอยู่เชียงใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จัดให้ตรงเดือน ดังที่ส่งจดหมายบอกกันไป

สำหรับคนที่ไม่ทราบมาก่อน 'คืนไทย' คือคืนที่เราจะเปิดแต่เพลงจากศิลปินไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะร้องเป็นภาษาอะไรก็ตาม ทั้งใหม่ทั้งเก่า ส่วนมากมักเป็นเพลงที่ไม่ค่อยได้ฟังที่ไหน ถือโอกาสช่วยเป็นสะพานเชื่อมเพลงดีๆ ไปสู่ผู้ฟังคนอื่นๆ และหนึ่งปีมีหนึ่งครั้งเท่านั้น!

คนที่เคยมาเมื่อปีที่แล้ว ก็คงพอจำบรรยากาศได้ว่าสนุกสนานเพียงใด

งานหูครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์เป็นพิเศษจากมูลนิธิหนังไทย ที่อนุญาตให้ฉายสารคดีพิเศษเรื่อง Signature (ความยาวประมาณ 40 นาที) ทำโดยทีมงานของมูลนิธิหนังไทย เป็นสารคดีเกี่ยวกับ รัตน์ เปสตันยี (รู้จักมั้ย? คนที่ทำเรื่อง 'โรงแรมนรก' ไง) บุคคลที่สำคัญที่สุดท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย รัตน์เป็นคนไทยคนแรกที่ทำภาพยนตร์ส่งไปประกวดในต่างประเทศและได้รับรางวัลชนะเลิศจากภาพยนตร์สั้นเรื่อง 'แตง' ในการประกวดภาพยนตร์สมัครเล่นแห่งเมืองกลาสโกล์ว ประเทศอังกฤษ เมื่อปีพ.ศ. 2481 ต่อมาก็ได้ยึดการสร้างภาพยนตร์เป็นอาชีพ และสร้างโรงถ่ายหนุมานภาพยนตร์ที่ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ

นอกเหนือจากการทำหนังแล้ว รัตน์ เปสตันยี ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเรียกร้องต่อสู้ให้ภาพยนตร์เป็นอุตสาหกรรมที่พึงได้รับสิทธิ์ส่งเสริมจากรัฐ แต่ดูเหมือนจะพบกับความผิดหวังซ้ำๆ และเหนื่อยหน่าย จนแสดงออกมาในคำพูดว่า 'เรารักงานนี้ เราก็ทำไป เราก็สู้ไป สมหวังบ้าง ไม่สมหวังบ้าง ก็เป็นธรรมดา' (เรียบเรียงจาก http://www.thaifilm.com/articleDetail.asp?id=108 สามารถเข้าไปอ่านฉบับเต็มได้ที่นั่น)

มาถึงวันนี้ ดูเหมือนพี่ๆ น้องๆ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้านเราจะยังไม่ได้รับสิทธินั้นยังไงไม่รู้

Signature เพิ่งฉายไปครั้งเดียว ในโอกาสฉลอง 100 ปีเกิดของรัตน์ เปสตันยี เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาที่กรุงเทพฯ

แต่ไม่ใช่แค่นั้น ถ้าจำไม่ผิด คิดว่าปีที่แล้วได้ขอตัวอย่างหนังเรื่อง 'พลอย' ของพี่ต้อม (เป็นเอก) มาฉายในงานหู ปีนี้ก็ไม่ให้น้อยหน้า ติดต่อของตัวอย่างหนัง 'ปืนใหญ่โจรสลัด' ของพี่อุ๋ย (นนทรีย์) มาฉายให้ดูกันถึงที่ ก่อนที่หนังจริงจะฉายตอนเดือนตุลาโน่น พี่อุ๋ยบอกว่า ถ้าไม่ติดธุระ ก็อาจจะมาเที่ยวที่งานด้วยกัน

อีกสิ่งที่จะทดลองเริ่มต้นครั้งแรกในงานหูเดือนนี้ คือ 'ร้านขายของกระต่าย' (ยังไม่ได้ตั้งชื่อ เรียกแบบนี้ไปก่อน) ซึ่งก็คือ 'พื้นที่' ขนาดเล็กสำหรับ 'งานฝีมือ' ของใครก็ได้ เอามาวางขาย เข้าใจว่าบอกกันตอนนี้อาจจะกระชั้นชิดไปหน่อย ครั้งแรกนี้เลยชักชวนเพื่อนๆ ใกล้ๆ ตัวทำของมาขายเป็นตัวอย่างก่อน ก็ทดลองดูว่าจะเป็นอย่างไร

แต่ถ้าคนไหนมี 'งานฝีมือ' ที่พร้อมจะนำมาขายทันในเดือนนี้ ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งกติกาอย่างเดียว คือช่วยถ่ายรูปผลงานและส่งกลับมาทางอีเมลนี้ขออภัยที่จำเป็นต้องมีการคัดเลือก เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด และเพื่อผลงานที่ดีและตั้งใจจริงๆ เท่านั้น แต่ถ้าคนไหนมี 'งานฝีมือ' ที่พร้อมจะนำมาขายทันในเดือนนี้ ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งกติกาอย่างเดียว คือช่วยถ่ายรูปผลงานและส่งกลับมาทางอีเมลนี้ขออภัยที่จำเป็นต้องมีการคัดเลือก เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด และเพื่อผลงานที่ดีและตั้งใจจริงๆ เท่านั้น

ลืมอะไรหรือเปล่านา....อ้อ...กระต่ายที่เห็นในโปสเตอร์นั้น ถ่ายมาจากฝาผนังในร้านอาหารชื่อ HOUSE ที่สิงคโปร์ (ร้านบรรยากาศดีมาก อยู่ที่ Dempsey Hill) เห็นมันกำลังกระโดดตัวลอย น่ารักดี

แล้วก็ RabbitEyes (ช่างภาพ) ประจำเดือนนี้ก็คือ เบียร์ แห่ง minimal ที่เคยถ่ายงานให้เราเมื่อคราวปาร์ตี้พี่เพชรเมื่อปีที่แล้ว ผลงานคราวนี้จะเป็นอย่างไรนั้นโปรดติดตามส่วนท่านอื่นๆ ที่ส่งอีเมลกลับมาอยากร่วมสนุกกับ RabbitEyes นั้น โปรดอดใจรอสักนิดนะ

เอาล่ะ ยืดยาวกันพอสมควรแล้ว พบกันวันที่ 11 นะ
ขอขอบคุณ คุณชลิดา เอื้อบำรุงจิต และมูลนิธิหนังไทยอีกครั้งครับ

รักษาสุขภาพด้วยล่ะ ; )
วชิรา
RabbitHood
www.rabbithood.net