Tuesday, June 30, 2009

Love Is Hear: CONCERT


ข่าวฝากมาจากพี่วิฯ แห่ง Happening
น่าสนใจมากนะ เสียดายคงไม่ได้ไปบางกอกช่วงนั้น ; (
อ่านจากจดหมายพี่วิฯ ละกันนะ
..........................................

ทุกท่านครับ
มีข่าวมาแจ้งและฝากบอกต่อครับ ลองอ่านดูก่อนสักนิดนะครับ เป็นงานที่ happening และ Nude Communication พร้อมกับเพื่อนๆ ศิลปินอีกราวๆ ยี่สิบองค์กร ทั้งวงดนตรี กราฟิกดีไซเนอร์ คนทำหนัง รวมกันจัดขึ้นมา เป็นงานการกุศล 100% ไม่มีใครได้ค่าแรง เงินทั้งหมดเข้ามูลนิธิคนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์ งานนี้เป็น "คอนเสิร์ตเพื่อคนหูหนวก" ครับ...

วิภว์

-----------------------------------------------

เมื่อคนหูดีฟังดนตรีพร้อมคนหูหนวก
Love is Hear คอนเสิร์ตครั้งแรกที่คนหูดีฟังดนตรีพร้อมคนหูหนวก
รายได้ทั้งหมด ไม่หักค่าใช้จ่าย มอบให้มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์

ดนตรีไม่ได้มีไว้เพื่อคนหูดีเท่านั้น...
นี่คือคอนเสิร์ตเพื่อคนหูหนวก ศิลปินทุกท่านทั้งภาพและเสียงจะร่วมกันถ่ายทอดบทเพลงและเติมเต็ม จินตนาการผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมด เพื่อให้ดนตรี “เข้าถึง” และ “เพราะที่สุด” ในชีวิตของคนหูหนวก และคนหูดีด้วยเช่นกันร่วมสัมผัสดนตรีผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า (ภาพ เสียง สัมผัส รส กลิ่น) พร้อมๆ กับน้องๆ ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินเป็นครั้งแรก จากศิลปินทั้งภาพและเสียงที่มาแสดงด้วยหัวใจ Friday, Stamp, Scrubb, ETC.Koh Mr. Saxman, Exotic
B.O.R.E.D., Duck Unit, Babymime, Donut, Apostrophy’S, จอกว้างฟิล์ม
และแขกรับเชิญสุดพิเศษเป็นครั้งแรก

ฟังเพลงพิเศษ “เสียงในความเงียบ” ที่พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ แต่งขึ้นเพื่อ Love is Hear

พฤหัสที่ 9 กรกฎาคม 2552
โรงภาพยนตร์สกาลา
เวลา 19.00 น.
บัตรราคา 1,500 1,000 700 และพิเศษ 999

ซื้อได้แล้ววันนี้ที่ช่องขายตั๋วโรงภาพยนตร์สกาลาทุกที่นั่ง
รับ CD เพลง “เสียงในความเงียบ” ไว้ไปฟังต่อที่บ้าน พร้อมของแถมอีกเพียบ


Hotline: 02 264 9633
www.loveishear.com

Monday, June 29, 2009

Persepolis I&II : BOOK


ได้รับมาจากสำนักพิมพ์กำมะหยี่ตั้งนานนนนนแล้ว
เพิ่งได้เอามาอ่าน (ขอบคุณที่ส่งหนังสือให้อย่างสม่ำเสมอนะมิว ^^)


ชอบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเรื่อง สนุกสนานเพลิดเพลิน ได้เห็นความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่ได้สัมพันธ์กันแค่สารทุกข์สุกดิบ แต่ลึกซึ้งไปถึงทัศนคติที่มีต่อการเมืองและสังคม ทั้งในภาพใหญ่ระหว่างเชื้อชาติ และในภาพย่อยอย่างเพื่อนฝูงหรือสมาชิกในครอบครัว ชอบมุมมองที่มาร์จี้ (คนเขียน) มองและกระทำต่อสิ่งหรือคนต่างๆ รอบตัว (ชอบมากกกกกก)

เด็กหญิงคนนี้เติบโตมาได้เร้าใจมาก หลายเรื่องเร้าใจจนเหลือเชื่อ!

ยิ่งอ่านตอนนี้ที่สถานการณ์ในอิหร่านไม่สู้จะดีนัก ก็ยิ่งชวนให้คิดถึงความสำคัญของทัศนคติที่มีต่อการเมืองของทั้ง 'ท่านผู้นำ' และ 'ท่านผู้ตาม'

ไม่ชอบได้ยินว่ามีการจราจลเลย แต่ก็รู้ว่ามันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่พูดว่า บางครั้งการเสียเลือดเสียเนื้อก็เป็นเรื่องจำเป็น เพียงแต่เราต้องรู้ให้แน่ชัดว่าเรากำลังแลกชีวิตกับอะไร!

น่าอ่านมาก...ขอชวน ^^

Author : Marjane Satrapi

+ ฉบับแปลไทย (โดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่) ชื่อ แพร์ซโพลิส แปลโดย ณัฐพัดชา (แปลมันมาก!)

Planet Ocean, A voyage to the heart of marine realm by Laurent Ballesta


โอย...กว่าจะหาชื่อช่างภาพเจอ

งานนี้เป็นงานที่ได้ดูตอน Migrate ไปเล่นที่หน้า Central World เป็นส่วนหนึ่งของงาน La Fete 2009 เหมือนกัน ปีที่แล้วก็มีงานแสดงภาพถ่ายกลางแจ้งแบบนี้ (ชื่อ Earth from Above ของ Yann Arthus-Bertrand ได้ไปดูมาด้วยนะ แต่ว่าจะเอาลงๆ แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้เอาลง ปีนี้ได้ไปดูอีกเลยต้องรีบเอาลง เดี๋ยวจะชวดอีก) งานสวยดี เจ้าของงานชื่อ Laurent Ballesta (อ่านว่า โลรองต์ บาเลสต้า) เราชอบที่ได้เห็นสัตว์ใต้ทะเลลึกๆ หน้าตาประหลาดเต็มไปหมด และที่สำคัญคือได้เห็นชัดมาก! เหลือเชื่อว่าพี่เค้าถ่ายออกมาได้ยังไงกัน ใครมีโอกาสแวะไปกทมก็น่าไปลองชมกันดู เห็นว่าจัดแสดงถึง 12 สิงหา โน่นเชียว

ข้างล่างนี้เป็นรายละเอียดของงานที่เอามาจากเว็บของ La Fete 2009 ลองอ่านดูนะ
หรือถ้าสนใจเพิ่มเติม ก็สามารถเข้าไปอ่านที่นี่ได้เลย http://www.lafete-bangkok.com/2009/en/index.html
น่าจะยังมีงานแสดงหลงเหลือคั่งค้างอีกนิดหน่อย ^^

......................................
นิทรรศการ “Planet Ocean” จะพาท่านดำดิ่งสู่โลกสีครามใต้ท้องทะเล!

นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าน้ำทะเลมิได้เกิดขึ้นเองบนผืนโลก แต่เกิดจากหิมะและธารน้ำแข็งจำนวนมหาศาลที่ร่วงหล่นจากอวกาศมากระทบโลกเมื่อสี่พันล้านปีที่แล้ว หรือนี่อาจเป็นคำอธิบายว่าเหตุใดโลกใต้สมุทรจึงลี้ลับ น่าค้นหา จริงอยู่ว่าการดำดิ่งสู่โลกมหัศจรรย์ใต้ท้องทะเลสะท้อนให้เห็นโลกมหัศจรรย์อีกหนึ่งใบ ซึ่งพรรณพืชแหวกว่ายใต้น้ำ มีสิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกประหลาดคล้ายพืช คล้ายปลาหลากชนิดซึ่ง เปลี่ยนสีตามธรรมชาติ โลกใต้น้ำใบนี้ดูเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ในขณะเดียวกันกลับยากเกินสัมผัสถึง กล่าวได้ว่าร้อยละ 75 ของพื้นที่โลกคือมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยปริศนามากกว่าดาวอังคารหรือดาวเสาร์ที่อยู่ไกลโพ้น สัตว์น้อยใหญ่ใต้ผืนสมุทรตั้งแต่แบคทีเรียขนาดจิ๋วจนถึงปลาหมึกขนาดมหึมาล้วนเป็นสิ่งที่น่าค้นหาทั้งสิ้น แต่ที่วิตกที่สุดอาจเป็นประเด็นที่โลกใต้สมุทรเก็บเงื่อนงำในอดีตพร้อม กุมอนาคตของมนุษยชาติ

นักวิทยาศาสตร์กล่าวเสมอว่ามนุษย์ต้องพึ่งพาสมดุลธรรมชาติ ดังเห็นจากหลากหลายกรณีเช่น อากาศบริสุทธิ์ร้อยละ 80 ที่มนุษย์หายใจล้วนมาจากสาหร่ายแพลงตอน สัตว์ทะเลนานาชนิดเช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นแหล่งโปรตีนของมนุษย์กว่าพันล้านคน ทว่าโลกใต้ทะเลกำลังประสบภาวะวิกฤติ สิ่งมีชีวิตใต้สมุทรกำลังถูกคุกคาม ไม่ว่าจากภาวะโลกร้อน มลพิษ หรือการประมงอย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งหมดล้วนสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้แก่โลกสีครามใบนี้ คงถึงเวลาแล้วที่มนุษย์ต้องหันมาบริโภค ทรัพยากรใต้ทะเลในลักษณะยั่งยืน หยุดทำลายสิ่งมีชีวิตในทะเลและป้องกันการสูญพันธุ์ของสัตว์น้ำ อย่างจริงจังนับแต่บัดนี้หรือในทศวรรษข้างหน้า เราหวังว่า “Planet Ocean” จะปลุกจิตสำนึกให้ มนุษย์เคารพและหันมาอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์ตลอดไป

บทความของ Laurent Ballesta (นักชีววิทยาใต้สมุทร นักดำน้ำอาชีพและช่างภาพ) ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารชั้นนำของฝรั่งเศสและในระดับสากลอาทิ National Geographic, Paris-Match, Figaro Magazine, Ça m’intéresse, VSD, Daily Mail, Stern, View นอกจากนี้เขาเป็นที่ปรึกษาให้กับรายการ Ushuaia Nature รายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมสูงในฝรั่งเศส

+ขอขอบคุณ La Fete 2009 ครับ ^^

Saturday, June 27, 2009

Forbidden Kingdom: MOVIE




-_-'


Directed by Rob Minkoff

"Reverie of Happiness" : PAINTING & PRINTING EXHIBITION


มีข่าวฝากมา จากน้องที่วิจิตรฯ
เขาเคยให้งานภาพพิมพ์เรามาชิ้นนึง น่าสนใจดีนะ ^^
....................................


สวัสดีค่ะ

"Reverie of Happiness"
เป็นนิทรรศการผลงานเดี่ยวของพลอย กาสม
ด้วยเทคนิคจิตรกรรมและภาพพิมพ์

จัดที่ 116 Art Gallery
94-120 ถ.เจริญเมือง ต.วัดเกต อ.เมือง เชียงใหม่ 50000
โทรศัพท์: 053-302-111

ระหว่างวันที่ 1 -31 กรกฎาคม 2552
เปิดงาน เวลา 6 โมงเย็น
พบกันที่ 116 Art Gallery นะค่ะ

พลอย กาสม
084-8066478

(รายละเอียด)
http://www.116artgallery.com
http://ploy-kasom.blogspot.com/

Friday, June 26, 2009

Farrah Fawcett: NEWS


นอกจากคุณพี่ไมเคิลที่เพิ่งจากไป Farrah Fawcett ก็จากไปด้วยนะ
(คิดถึงผมทรงนี้)

+ ภาพโพราลอยด์ของ Farrah ถ่ายโดย Andy Warhol
++ ขโมยมาจากเว็บ http://bebelestrange.tumblr.com/post/109253623

Panda Elephant ^^ : NEWS


วันก่อนเห็นในข่าวทีวี หลังจากที่เพิ่งคุยกับเพื่อนๆ ว่าช่วงนี้น้องแพนดี้ลงหน้าหนึ่งทุกวันเลย
ชอบวิธีแสดงออก (คิดได้ไงฟะ!) แค่ไม่แน่ใจว่าสีจะเป็นอันตรายกับช้างหรือเปล่า?
แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ส่งผลให้เกิดการถกเถียงในมุมมองต่างๆ
เห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้าง ก็ว่ากันไป (ดีกว่าเออออกันไปหมด)
รายละเอียดเข้าไปอ่านที่เว็บมติชนละกันนะ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1245918648&grpid=02&catid=02

+ ภาพก็เอามาจากเว็บมติชนเหมือนกัน ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ^^

ปาฐกถานำ "พัฒนาการของรัฐชาติกับความขัดแย้งภายในของชาวสยาม"


มีข่าวฝากมาถึงชาวกทม. น่าสนใจเชียว ^^
....................................


บทความจากงาน 70 ปี สยามเป็นไทยฯ
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. และวันนี้ ศุกร์ที่ 26 มิ.ย. ใครอยู่แถวราชดำเนิน เย็นๆ ตรงร้านริมขอบฟ้าดูจ้ะ เขามีเสวนาฯ โดย อ.ชาตรี ประกิตนนทการ มรดก ๒๔๗๕ สถาปัตยกรรมคณะราษฎร ใครว่างลองไปดูนะ http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=News&file=article&sid=2677


ปาฐกถานำ "พัฒนาการของรัฐชาติกับความขัดแย้งภายในของชาวสยาม"
โดย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
และอภิปราย "การเมืองสยามประเทศไทย เราจะไปทางไหนกัน"
คุณ บัญญัติ บรรทัดฐาน
คุณ จาตุรนต์ ฉายแสง
ศ. ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร
คุณคำสิงห์ ศรีนอก (ลาวคำหอม)

รศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ดำเนินรายการ

กำหนดการ : http://www.textbooksproject.com/70th%20Anniversary%20Thailand%202009.htm


เนื่องในโอกาสครอบรอบ ๗๗ ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ วารสารเมืองโบราณ และร้านหนังสือริมขอบฟ้า ขอเชิญฟังการบรรยายพิเศษ โดย อาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรอ่านบทกวีเปิดงาน "๒๔๗๕ หมุดเหล็กใต้ตีนของโต๊ะมากมาย" โดย อาณัติ แสนโท กวีกลุ่ม Live Poet"มรดก ๒๔๗๕ สถาปัตยกรรมคณะราษฎร" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ "คณะราษฎร" พยายามนำเสนอ "สยามใหม่" ที่ "ก้าวหน้า" ด้วย "หลักหกประการ" หลักการพื้นฐานของ "สังคมในอุดมคติ" คือ เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ และการศึกษาบางที "สถาปัตยกรรมคณะราษฎร" อาจนับเป็น "มรดก" ชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่จาก "การอภิวัฒน์" ก็เป็นได้...

วันศุกร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒
เวลา ๑๗.๐๐ - ๑๙.๐๐ น.
๑๗.๐๐ น. ลงทะเบียน
๑๗.๓๐ น. บรรยายพิเศษ "มรดก ๒๔๗๕ สถาปัตยกรรมคณะราษฎร"

เข้าร่วมฟังฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ณ ร้านหนังสือริมขอบฟ้า วงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมวารสารเมืองโบราณ โทร. ๐-๒๒๘๐-๗๕๐๙
ร้านหนังสือริมขอบฟ้า โทร. ๐-๒๖๒๒-๓๕๑๐

Tuesday, June 23, 2009

MIGRATE BACK TO CM


กลับมาเชียงใหม่กันแล้วโดยสวัสดิภาพ ^^ ขอขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาไปยืนดู (ฝนเพิ่งซาเม็ดด้วยนะ) เป็นประสบการณ์เวทีใหญ่ครั้งแรก แล้วก็เป็นประสบการณ์ที่กรุงเทพฯ ครั้งแรกด้วย ตื่นเต้นมากๆ แต่พอเล่นเสร็จก็โล่ง โชคดีผีเข้า (วงนี้ไม่ผีเข้า ก็ผีออก แล้วแต่...)

มีโอกาสคงหาเรื่องไปเล่นที่บางกอกอีก โปรดติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนคืนนี้มีเล่นอีกที่ Lounge ร่วมขบวนกับชาว No Signal 2.2 ใครว่างๆ ขอเชิญ

ขอขอบคุณ Fete de la musique 2009 ที่ให้เราไปเล่นด้วยนะครับ ^^

+ ท่านที่พลาดชมแต่สนใจ โปรดรอดูใน YouTube ที่เว็บของ Migrate นะ (รออีกแป๊ป!)

Wednesday, June 17, 2009

สุนทราพาเพลิน


ได้พบการแสดงชุดนี้ตอนไปขายของที่งาน ฮิพช่วยชาติ ที่ผ่านมา
พวกเขาเป็นชาวคณะวิจิตรศิลป์ที่มอชอ
รวมกันจัดตั้งคณะการแสดงชื่อ สุนทราพาเพลิน
เป็นการร้องเลียนเสียงคณะสุนทราภรณ์ (ซึ่งเหมือนมากกกกกก)

น่ารักและน่าเอ็นดูมาก
ตอนที่กำลังจะเริ่มเล่น เหมือนว่าซีดีจะมีปัญหา สมาชิกคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า
"อย่างงี้แหละค่ะ กระเทยมักมีปัญหากับเทคโนโลยี"
แล้วคนดูก็ได้หัวเราะกัน

ที่ชอบมากกว่าคือการแนะนำตัว
เขาใช้วิธีแนะนำกันว่า ใครเป็น 'เงาเสียง' ของใครในสุนทราภรณ์
โดยไม่ได้แนะนำตัวเองเลย

น่าสนใจดีนะ มีโอกาสเมื่อไหร่จะติดตามผลงานไปเรื่อยๆ

^^

Tuesday, June 16, 2009

MIGRATE TO THE OCEAN: JUNE 2009 TOUR


มาแล้ว...ตารางทัวร์ของ Migrate เดือนมิถุนายนนี้
(เราพยายามเล่นสดกันทุกเดือนน่ะ)

11 มิถุนาที่ผ่านมา ไปเล่นกันมาที่ Bar Shaky เราได้รับโจทย์ให้ cover เพลงของ Radiohead ก็สนุกสนานบรรยากาศดี ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม

20 มิถุนานี้ เป็นโอกาสพิเศษสุดๆ เพราะว่าจะยกขบวนกันไปเล่นที่งาน Fete de la musique 2009 ที่ลานหน้า Central World เราส่ง youtube ของวงไปออดิชัน แล้วก็ปรากฏว่าได้ไปเล่นกะเขาด้วย ^^ Migrate จะได้เล่นที่เวทีใหญ่ (ซึ่งเป็นเวทีหลักของวงต่างๆ ที่ผ่านการออดิชันมา) เวลา 18.00-18.25 น. ก็หมายความว่ามีเวลาวงละ 25 นาทีนั่นเอง (ประมาณ 4 เพลง)

ถ้าสนใจแวะไปเยี่ยมชม อย่าได้ไปเลตไปสายเชียว

แล้ว 23 มิถุนาก็ต้องรีบกลับมาเล่นที่ Lounge (warm up) คราวนี้ร่วมขบวนไปกับเพื่อน NO SIGNAL INPUT 2.2 ซึ่ง Migrate เล่นวงท้ายๆ เวลาก็น่าจะประมาณ 5 ทุ่ม
หรือถ้าจะไปเยี่ยมชาว NO SIGNAL ตั้งแต่สามทุ่มก็ไม่ว่ากัน

ไปละ ขอไปซ้อมดนตรีก่อน

+ ข้างขวามือ มีเว็บไซต์ของ migrate มาแปะไว้แล้วนะ ใครสนใจขอเชิญรับชม (และรับฟัง)

^^

Artwork by Paul, Peter & Salmon

คอนเทนเนอร์: NEWS


ตอนนี้เรื่องตู้ใต้น้ำหายไปแล้วแฮะ
เมื่อวานคุยกับแตง (มือกีตาร์ migrate) แตงบอกว่าได้ดูถ่ายทอดตอนเปิดตู้แล้ว และปรากฏว่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้น เราไม่ได้ดูเอง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ดีใจ แอบกังวลเรื่องสารพิษ กับศพคนอยู่ตั้งนาน

โดยเฉพาะถ้าเปิดมาแล้วกลายเป็นศพแรงงานต่างด้าวที่ถูกโยนทิ้งทะเล

ครั้งสุดท้ายที่ติดตามเรื่องนี้คือตอนที่เขาพากันไปออกรายการ ตาสว่าง
ก็เลยได้รู้ว่าการพยายามพิสูจน์เรื่องตู้นั้นเป็นเรื่องซับซ้อนมาก หลายๆ ส่วน หลายๆ ฝ่าย ต้องร่วมมือกันในระดับรายละเอียดยิบย่อย โดยเฉพาะเรื่องวิทยาศาสตร์ทางทะเลและนิติเวศวิทยา

ชอบที่ได้เห็นความรู้คนละสาขาทำงานบนเป้าหมายเดียวกันอย่างเป็นระบบ
เห็นแล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

+ ภาพนี้เอามาจาก http://www.krobkruakao.com/kkn/?a=news&s=detail&news_id=3059
ขอบคุณครับ

Monday, June 15, 2009

วังเวง: Desolate


"บัดเดี๋ยวดัง หง่างเหง่ง วังเวงแว่ว
สะดุ้งแล้ว เหลียวแล ชะแง้หา
เห็นโยคี ขี่รุ้ง พุ่งออกมา
ประคองพา ขึ้นไปจน บนบรรพต

แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์
มันแสนสุด ลึกล้ำ เหนือกำหนด
ถึงเถาวัลย์ พันเกี่ยว ที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คด เหมือนหนึ่งใน น้ำใจคน"

+ จำได้มาจากที่อ่านเรื่องสุดสาครตอนเด็กๆ (ถ้าจำคำคลาดเคลื่อนไปบ้าง ขออภัย) เป็นตอนที่สุดสาครโดนชีเปลือยผลักตาหน้าผา เพื่อแย่งไม้เท้ากับม้านิลมังกร แล้วพระเจ้าตาเหาะลงมาช่วย
++ ภาพนี้เอามาจาก
http://www.hammergallery.com/images/peoplepictures/people%20pictures.htm
เป็นงานชุด PEOPLE PICTURES: The Art of the Conceptual Photograph 1915 – 1920 Featuring work by: Mole and Thomas, E.O. Goldbeck, and Others
+++ งานชิ้นนี้โดย Mole & Thomas ชื่อ The Human Liberty Bell, 1918 Vintage Silver Gelatin Print MPH 48

Don't Upset the Rhythm: PARTY



ข่าว
จาก Gene จ้า ^^
.........................................

Hello lovers,


whatever! is back, packed with any sorta dancetunes to keep you (in) sane on the dancefloor.
so baby.....

DON'T UPSET THE RHYTHM!
Tunes by Gene Kasidit & Globez.
Ticket: B 200 with 2 drinks (before 11pm)
Dresscode: Very angry.

Promotion:
+ Come before 11pm get two free drinks for B 200
++ Come in 5 and show your student ID, get 1 free bottle.

GO BABY GO!

--
Gene Kasidit
http://www.myspace.com/genekasidit
http://www.myspace.com/whateverbangkok

Friday, June 12, 2009

โพรง: แม่สายอคาเดมี่ (Film & Music School) (1)


โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา

www.rabbithood.net
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนมีนาคม 2552

แม่สายอคาเดมี่ (Film & Music School) (1)

หนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ผมบรรจุเอาไว้ในหมวด ‘ขาดแคลน’ ของการใช้ชีวิตที่เชียงใหม่คือ ‘ต้นทุน’ ของชุดความรู้ต่างๆ ในสาขาวิชาชีพ หลักๆ ก็ได้แก่ หนัง หนังสือ และซีดี ซึ่งถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วต้นทุนเหล่านี้ใช่ว่าจะขาดแคลนเฉพาะที่เชียงใหม่ ต่อให้พำนักอาศัยอยู่ในมหานครอย่างกรุงเทพ ก็ใช่ว่าจะเพียงพอกับความต้องการของคนในสาขาอาชีพอย่างเราๆ ไม่

เป็นนักเขียนก็อยากอ่าน เป็นนักดนตรีก็อยากฟัง เป็นช่างภาพก็อยากเห็น หรือเป็นนักออกแบบก็อยากดูดีไซน์ของคนอื่น

น้อง
ที่ทำงานออกแบบที่กรุงเทพฯ (คนที่ออกแบบโลโก้แอ๊ปเปิ้ลให้ RabbitHood) เคยบ่นให้ฟังว่า อาชีพอย่างเราๆ นี่ซวยแท้ ทำงานแต่ละชิ้นได้เงินน้อยแสนน้อย แต่เวลาจะหาซื้อหนังสือกราฟิกดีๆ มาประดับความรู้กลับราคาแพงลิบลิ่ว แถมมีบ้างไม่มีบ้าง บางเล่มก็ต้องคอยซื้อเวลาเดินทางไปเมืองนอก

จริงอยู่ สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ถ้าจะว่ากันถึงที่สุด ก็อาจไม่จำเป็นเลยกับการประกอบอาชีพการงาน และไม่น่าจะถูกใช้เป็นเงื่อนไขว่าทำงานออกมาดีหรือไม่ แต่การได้รับความรู้อย่างเพียงพอ (ไม่ใช่พอเพียง) ก็เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ช่วยให้คนทำงานขยับแข้งขยับขาได้สดชื่นขึ้น

เพียงพอในที่นี้ เป็นความหมายเดียวกับคำว่า ‘หลากหลาย’

เห็น
งานคนโน้น สนใจงานคนนี้ เกิดนานาทรรศนะ เห็นคล้อยบ้าง ขัดแย้งบ้าง สร้างวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปสู่วัฒนธรรมการคิดวิเคราะห์ผลงาน นำไปสู่ความเข้าใจสูงสุด โดยไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับถูกหรือผิด ซึ่งไม่ค่อยเห็นแพร่หลายนักในสังคมขี้หมั่นไส้แบบบ้านเรา

แล้วก็จริงอีก ที่ปัจจุบันนั้นมีโลกเสมือนจริงให้อีกหนึ่งใบ เปิดช่องให้เราๆ ท่านๆ สามารถท่องเที่ยวไปได้ไกลตราบเท่าที่กำลังของเครือข่ายให้บริการอินเทอร์เน็ตแข็งแรงเพียงพอ (ซึ่งก็ขึ้นกับกำลังทรัพย์ของเรานั่นเอง)

แต่การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ก็ถือเป็นเรื่องน่าเบื่อที่สุดในโลกอีกเรื่องหนึ่ง

ปกติผม
ไม่ค่อยเดินห้างสรรพสินค้า เพราะรู้สึกว่า ‘สรรพ’ ไม่ค่อยจริง ห้างฯ ส่วนใหญ่มีแต่สินค้าสำหรับคนส่วนใหญ่เท่านั้น ดูเหมือนไม่มีใครสนใจคนส่วนน้อยที่สนใจสินค้าแบบอื่น จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมบังเอิญได้พบกับร้านขายดีวีดีขนาดหนึ่งห้องคูหา ในร้านมีแผ่นให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นแผ่นคอนเสิร์ตของวงต่างประเทศ ในกระแสบ้าง นอกกระแสบ้าง เดินดูอยู่สักพัก ผมก็สนใจเข้าให้สองสามแผ่น แต่พอถามราคาก็ต้องอึ้ง เพราะทางร้านบอกขายในราคาเกือบสามร้อยบาท (“ลดได้นิดหน่อย พี่!”)

ทั้งที่พลิกดูยังไงมันก็เป็นแผ่นที่ซื้อมาจากแม่สายนี่นา

ตอน
นั้นผมมีทางเลือกสองทางคือซื้อกับไม่ซื้อ หลังจากเดินวนไปวนมาพยายามคิดว่าควรซื้อหรือไม่ คำตอบก็ออกมาว่าจะซื้อบางแผ่นที่คิดว่าน่าจะหายากจริงๆ ส่วนแผ่นอื่นๆ ที่เหลือที่เดาว่าน่าจะยังพอหาได้ เดี๋ยวรอไปซื้อที่แม่สายเองดีกว่า

จากเชียงใหม่ไปแม่สายไม่ไกล มุ่งหน้าไปหาเชียงรายราวๆ สองร้อยห้าสิบกิโลเมตร ขับรถไปเองก็ประมาณสามชั่วโมงครึ่งเกือบสี่

ผมไม่
รู้ว่าแม่สายในวันนี้ แตกต่างจากสมัย ‘นกน้อยจากท้องนาราคาถูก เธอเป็นลูกที่ถูกพ่อแม่ขายไป’ ของคุณเทียรี่ เมฆวัฒนา มากน้อยแค่ไหน แต่เฉพาะช่วงบริเวณด่านท่าขี้เหล็ก ก็เห็นว่ามีพ่อค้าแม่ขายตั้งแผงขายของกันคึกคัก ทั้งนาฬิกา เสื้อผ้า เกี๊ยวซ่า โทรศัพท์ รองเท้า เห็ด ชุดน้ำชา เตารีด ไขควง ฯลฯ

การจะข้ามไปฝั่งพม่าก็ง่ายดาย แวะทำบัตรผ่านแดน โดยนำบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่ถ่ายเอกสาร พร้อมกับชำระเงิน 30 บาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะนำบัตรที่ถ่ายเอกสารแล้วมาติดกาวแปะลงไปบนใบผ่านแดน (ขั้นตอนนี้รวดเร็วจนน่าทึ่ง) จากนั้นก็สามารถเดินข้ามชายแดนไปได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องกลับมาก่อนหกโมงครึ่งในตอนเย็น

เดินข้ามฝั่งไทยแล้วก็ไปผ่านด่านตรวจทางฝั่งพม่า ตรงนั้นเสียเงินอีกสิบบาท ให้เจ้าหน้าที่ประทับตราผ่าน จากนั้นก็เดินต่อไปได้

เสียงประกาศจากผู้รู้ดังว่า “เรียนท่านนักช้อปโปรดทราบ ทุกอย่างที่ท่านเห็นต่อจากนี้ เป็นของปลอมทั้งหมด!”

ผมเดิน
ผ่าน หลุยส์ กุชชี่ ชาแนล ไนกี้ พูม่า อดิดาส โนเกีย โมโตฯ โดยไม่ได้ข้องแวะปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับพี่ๆ แบรนด์เนมเหล่านั้น ด้วยเหตุผลเดียวกับคนอื่นๆ –ถ้าไม่มีเงินซื้อของจริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ของปลอม เพราะถ้าเกิดอุตริอยากใช้กระเป๋าชาแนลกับเขาบ้าง ก็คงเป็นเพราะว่าสนใจแบบ เนื้อหนังและขั้นตอนการผลิตที่ประณีตพิถีพิถันของเขา ไม่ใช่เพียงเพราะตราโลโก้ตัว C ไขว้กลับข้างนั่น

ตลาดตึกแถวที่ฝั่งพม่ากินอาณาบริเวณไม่กว้างขวางไปกว่ากาดหลวง ซึ่งนอกเหนือจากโคลนนิ่งสินค้าแบรนด์เนมแล้วนั้น ยังอุดมไปด้วยสินค้าอื่นอีกนานาชนิด ตั้งแต่ถุงเท้าไปจนถึงจานดาวเทียม

อีกล่ะ ผมก็ไม่รู้จะซื้อจานดาวเทียมไปทำไม เห็นแต่เขาชอบใช้เป็นช่องทางสะสมขุมกำลัง
ผมมุ่งหน้าไปร้านดีวีดี

ในดงตึกแถว
นั้นมีร้านขายซีดีดีวีดีอยู่หกเจ็ดร้าน (ถ้าจำไม่ผิด) ขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน มีชนิดของหนังและเพลงให้เลือกหลากหลายกว่าร้านขายซีดีดีวีดีที่มีทั้งหมดในประเทศของเรารวมกัน ทั้งจากอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ทั้งคลาสสิค ป็อป แมส และอินดี้ ทั้งหนัง และซีรี่ส์

ยกตัวอย่างซีรี่ส์ คุณต้องการอะไรล่ะครับ Friends, Desperate Housewives, Prison Break, Lost, 24, South Park, Six Feet Under โอย...สาธยายไม่หมดหรอก (ขออภัย พอดีไม่ค่อยเป็นแฟนซีรี่ส์และไม่ค่อยรู้จักซีรี่ส์เกาหลี ไม่อย่างนั้นคงยกตัวอย่างได้มากกว่านี้)

หีบห่อก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าส่วนใหญ่ออกแบบกันมาสวยงาม มีลูกล่อลูกชนให้คนซื้อประทับใจ (เช่นชุด Box Set ของ James Bond ก็ออกแบบเป็นกระเป๋าสายลับ เป็นต้น) แม้ว่าคุณภาพการผลิตจะไม่ดีนัก แต่ก็ถือว่ามีความตั้งใจสูง

แตกต่างจากทัศนคติประเภทของถูกต้องห่วย ของแมสต้องแย่ ที่เราๆ ท่านๆ ชาชินกันเป็นอย่างดี
สนนราคาก็เป็นมิตรที่สุดในโลก เฉลี่ยอยู่ที่สามสี่สิบบาทต่อหนึ่งแผ่น มากสุดก็เก้าสิบบาท ซื้อมากก็ได้ลด ของเสียก็เอามาเปลี่ยนได้ (บางร้านยืนยันอย่างนั้น)

แต่หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่หีบห่อหรือราคาหรอกครับ
ที่น่าสนใจกว่าคือการเลือกผลิตแผ่นที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักออกมาขายต่างหาก

(อ่านต่อ ว่าด้วยเรื่องลิขสิทธิ์!)

โพรง: แม่สายอคาเดมี่ (Film & Music School) (2)


โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา

www.rabbithood.net
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนพฤษภาคม 2552

แม่สายอคาเดมี่ (Film & Music School) (2)

ท่ามกลางบรรดาหกเจ็ดร้านขายซีดีดีวีดีที่เรียงรายอยู่ในตลาดค้าขายนั้น ผมคิดว่ามีเพียงสองร้านที่ถือได้ว่ากว้างขวางและหลากหลายกว่าร้านอื่น (ที่ตั้งหน้าตั้งตาขายแต่หนังซีรี่ส์และหนังฮอลลีวู้ดเท่านั้น)

กระเถิบเข้ามาใกล้วงการเพลงอีกสักนิด ถ้าคุณบังเอิญเกิดมาไม่เหมือนชาวบ้าน หมายความว่าจู่ๆ คุณก็เกิดมีรสนิยมในการฟังเพลงที่หลากหลายกว่าการถูกยัดเยียดด้วยเทคนิคทางการตลาดและพลังอำนาจของสื่อ (ซึ่งจำกัดจำเขี่ยเฉพาะบางประเภทของดนตรีที่ล้างสมองกันมาว่าไพเราะและดีเท่านั้น) คุณอาจเคยตกอยู่ในอารมณ์อยากดูอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวข้องกับวงดนตรีที่คุณชื่นชอบบ้าง จะเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพื่อการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมก็ตามแต่

อยากดูงานมิวสิค
วิดีโอของ Radiohead, Bjork หรือ Nick Cave and the Bad Seeds เพราะศิลปินเหล่านี้พิถีพิถันในการทำงานกับผู้กำกับฝีมือดี หรืออยากดูการแสดงสดของ Rufus Wainwright, The Divine Comedy, The White Stripes, Iggy Pop หรือ Goldfrapp ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ภายในประเทศ (เพราะไม่มีใครอยากทำออกมาขาย เพราะมันคงขายไม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้จัก เพราะมันคงไม่คุ้มที่จะลงทุน) ทั้งที่เขาเหล่านั้นเป็นนักร้องนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ล้นเหลือ หรือ สารคดีของวง New Order, Smashing Pumpkins ที่ต่างก็เป็นวงในระดับที่สร้างปรากฏการณ์ในอดีต

กระทั่งเกิดริอยากขยายพรมแดนความรู้ออกไปหาอุปรากรที่สร้างจากวรรณกรรมเรื่องโปรดอย่าง Alice in Wonderland ก็ยิ่งอับจนปัญญา

ก่อนที่จะเดินข้ามเขต ถ้าสังเกตสักหน่อย จะมีกระดาษสีเทาอ่อนบางๆ แผ่นเล็กๆ แจกให้นักท่องเที่ยวในกระดาษนั้นแจ้งว่า

ข้อควรรู้สำหรับนักท่องเที่ยว

ของ
ต้องห้ามในการนำเข้า/ส่งออกนอกราชอานาจักรไทย (หมายเหตุ- เขาเขียนคำว่า ‘อานาจักร’ แบบนี้จริงๆ!)
1. ยาเสพติดให้โทษทุกชนิด เช่น ยาบ้า เฮโรอีน
2. สินค้า สิ่งของละเมิดลิขสิทธิ์ หรือ ปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าตรายี่ห้อ อาทิเช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา แว่นตา แผ่นCD, แผ่นVCD, แผ่นDVD และสิ่งเทียมอาวุธปืน
(เว้นแต่ของใช้ส่วนตัว ห้ามนำไป แจก-จ่าย ฝากจำหน่ายอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้า)
3. วัตถุลามก สิ่งพิมพ์ลามก สิ่งเทียมอวัยวะเพศ เช่น แผ่นหนังโป๊ (หนังX) แผ่นVCD เป็นต้น

สิทธิ์
ที่ได้รับการยกเว้นภาษีอากร สุรา หรือ เครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ทุกชนิดสามารถนำติดตัวเข้ามาได้คนละไม่เกิน 1 ลิตร บุหรี่ไม่เกิน 200 มวน หรือ ซิก้าร์ไม่เกิน 250 กรัม
การนำเข้ามาในราชอาณาจักรมีความผิด มาตรา 27 พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469 มีโทษปรับ 4 เท่าของราคา
รวมค่าภาษีอากร หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผมรีบ
สำรวจสิ่งของในถุงและไม่พบกระเป๋า รองเท้า นาฬิกา แว่นตายี่ห้อดัง หรือวัตถุ สิ่งพิมพ์ลามกอนาจารใดๆ ก็ไม่มี จึงรีบสรุปเข้าข้างตัวเองโดยไม่ปรึกษาใครว่าแผ่นดีวีดีที่มีชื่อของค่ายต้นสังกัดปะติดอยู่ทุกแผ่นในถุงนั้นน่าจะเป็นของถูกลิขสิทธิ์

ลิขสิทธิ์จีน!

ผมไม่สามารถ
สืบค้นได้จริงๆ ว่าดีวีดีเหล่านี้ผลิตที่ไหนในจีน และผลิตขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไรเป็นหลัก (คุณลุงที่ร้านกาแฟบอกระหว่างที่ผมแวะไปนั่งพักเหนื่อยว่าแผ่นเหล่านี้ผลิตที่กวางโจว แล้วค่อยส่งไปขายตามที่ต่างๆ ) แต่สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าใครเป็นคนเลือกว่าจะผลิตเรื่องอะไรบ้าง

อยากเชิญมารับรางวัลจริงๆ

เป็นไปได้
หรือไม่ว่าผู้ผลิตยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้น เขาจึงยังไม่รู้ว่าแผ่นๆ ต่างๆ บางส่วนที่เขากำลังผลิตอยู่นั้นไม่ได้เป็นความต้องการหลักของตลาดทุนนิยมในปัจจุบัน จึงอาจเริ่มต้นด้วยการหว่านผลิตไปก่อน

ถ้าสมมติฐาน
นี้เป็นจริง ในอนาคตอันใกล้ เราก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นแผ่นต่างๆ เหล่านี้อวดโฉมอยู่บนแผง เคียงบ่าเคียงไหล่กับแผ่นแสดงสดของศิลปิน K-POP ดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้ (ผมเริ่มสังเกตว่าแผ่นแปลกๆ มีให้เลือกน้อยลงเรื่อยๆ)

และถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ก็คงเป็นเรื่องน่าสลดหดหู่ไม่น้อย

ผมคิด
ว่าเรื่องลิขสิทธิ์นั้นไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ที่คาดว่าตนเองนั้นจะเสียประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรง ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการค้าล้วนๆ และนำมาซึ่งอำนาจในการควบคุมกลไกทางการตลาด

แต่ได้โปรดอย่าลืมว่าโลกนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์แต่ทางการค้าเท่านั้น
นี่ต่างหากที่ซับซ้อน

ท่าน
ที่มีโอกาสเดินทางออกนอกประเทศ และมีพฤติกรรมที่ต้องแวะร้านหนังสือหรือร้านซีดีอยู่เป็นประจำคงทราบดีว่าในร้านต่างๆ เหล่านั้น มีตัวเลือกให้เลือกมากเพียงพอสำหรับความต้องการ (หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง) โดยเฉพาะแผ่นดีวีดีของนักร้องนักดนตรีต่างๆ สนนราคาแผ่นละหนึ่งถึงสองพันกว่าบาทไทย (ขึ้นกับชนิดและราคาของค่าเงิน) ซึ่งทำให้การตัดสินใจซื้อตั้งอยู่บนความไม่ประมาท โดยเฉพาะกับคนหาเช้ากินค่ำ หลายครั้งต้องทบทวน เดินวนเวียนถามตัวเองว่าเราต้องการมันจริงๆ หรือไม่ แล้วจึงตัดสินใจ

ผมคิด
ว่าสิ่งที่จำเป็นจะต้องพิจารณามากกว่า ราคา ก็คือ โอกาส ที่เราจะได้เสพมัน-ซึ่งเกือบทุกครั้ง ก็ได้รับคำตอบให้ตัวเองว่า ซื้อเถอะ! เพราะไม่รู้จะมีโอกาสได้ซื้ออีกเมื่อไหร่

แตกต่างเล็กน้อยกับแผ่นซีดีเพลง ที่ยังพอหาซื้อได้ที่ร้านโด เร มี (สยามสแควร์) เวลาลงไปเยี่ยมเยียนกรุงเทพมหานคร

จริงอยู่
เรายังมีการสั่งซื้อทางเน็ตให้เลือกใช้ แต่ผมเคยสั่งซื้อซีดีเพลงมาสามสี่แผ่น ในราคาแผ่นละสี่ห้าร้อยบาท จนเมื่อไปรับของ ผมต้องเสียค่าอะไรก็ไม่รู้ (จำไม่ได้แล้ว) ให้รัฐอีกสี่ร้อยกว่าบาท-เทียบเท่าราคาซีดีอีกแผ่นหนึ่ง

นี่เป็นค่าป่วยการสำหรับการเรียนรู้ใช่หรือไม่?

(ยิ่งไปกว่า
นั้น ในบรรดาตัวเลือกที่น้อยแสนน้อย เรายังต้องมานั่งหงุดหงิดกับ ‘มือดี’ ที่มีอำนาจตัดหั่นบางส่วนบางตอนของหนังที่จัดจำหน่ายอย่างถูกกฏหมายในประเทศ โดยไม่เคยคำนึงถึงคุณภาพทางศิลปะเท่าๆ กับคำนึงถึงคุณภาพทางศีลธรรมจอมปลอมที่ปลูกฝังกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน)

วลี “ถ้าไม่มีเงินซื้อของจริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ของปลอม” คงใช้ไม่ได้กับกรณีแผ่นดีวีดี เพราะเรากำลังพูดถึงโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่โอกาสในการยกระดับความฟุ้งเฟ้อ (แห่งชาติ)

เอา
ล่ะ ถ้ากลไกทางการตลาดมันไม่เอื้อให้เกิดความหลากหลาย (เพราะมันถูกควบคุมไปแล้ว) อย่างน้อยก็ขอโอกาสในการเรียนรู้ที่กว้างและจริงกว่าการนั่งท่องจำเพื่อทำข้อสอบในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยได้ไหม?

ห้องสมุดดีๆ ที่มีเนื้อหาและระบบจัดการที่ทันสมัยทั่วหัวระแหง ทั้งหนังสือ ซีดีและดีวีดี ชาวบ้านร้านตลาดจะได้มีโอกาสได้เรียนได้ศึกษา คอนเสิร์ตดีๆ หลากหลายแนวจากนักร้องนักดนตรีที่เป็นนักร้องนักดนตรีจริงๆ จากทั่วทุกมุมโลกในราคาบัตรที่ไม่สูงถึงสองพันหรือสามพันห้า ชาวบ้านตาดำๆ ที่มีรายรับหลักพันหรือหมื่นต้นๆ จะได้อาจเอื้อมไปสัมผัสบรรยากาศแบบมืออาชีพจริงๆ กับเขาบ้าง

ผมคิดว่าเรามีผู้ประกอบการที่พร้อมจะสร้างกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่อาจต้องการการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา

ซึ่งต้องยอม
เข้าใจตรงกันเสียก่อนว่าโลกนี้ไม่ได้มีผลประโยชน์เพียงในทางการค้าเท่านั้น แต่ผลประโยชน์ในการเรียนรู้ของประชาชนในชาติก็จำเป็นเช่นเดียวกัน

โอกาส ก็สำคัญไม่แพ้ กำไร หรือถ้าจะว่ากันให้ถึงที่สุด การได้รับโอกาสนั้นก็ถือเป็นกำไรในตัวมันเองแล้ว
ใครๆ ก็รู้ว่ากระบวนการเรียนรู้นั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องมีความสม่ำเสมอเป็นที่ตั้ง

แต่ก็เถอะ ใครๆ ก็รู้อีกเหมือนกันว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน เพราะเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศเป็นเรื่องด่วนที่สำคัญกว่า (ได้ยินมาจากในทีวี)

ระหว่างนี้ ผมจึงใคร่ขอนั่งดูดีวีดีที่ซื้อมาเพราะสนใจ ประวัติ ชีวิต และทัศนคติ อันลึกซึ้งของ Coco Chanel ผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ในชีวิตมาอย่างหนักแน่นและโชกโชน จนกลายเป็นตำนานของวงการแฟชั่นทั่วโลกไปพลางๆ

เดี๋ยวดูจบแล้วค่อยไปเดินหาซื้อแว่นตากันแดดชาแนลปลอมๆ แถวตลาดมาใส่ประดับรสนิยมสักอัน

ทะลุหูขวา : Susan Boyle: MUSIC


เพิ่งรู้เหมือนกันว่า Susan Boyle แพ้การประกวดไปแล้ว
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เธอเป็นนะ

ลองอ่านดู

^^
.........................................

ทะลุหูขวา
Text by RabbitHood
www.rabbithood.net

Susan Boyle

Susan Boyle เป็นนักร้องสมัครเล่นและเป็นอาสาสมัครในโบสถ์ เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1961 ที่เมือง Blackburn สก็อตแลนด์ เธอโด่งดังสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกเมื่อเข้าแข่งขันในรายการ Britain’s Got Talent (Britain’s Got Talent คือรายการโทรทัศน์ของอังกฤษซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ส์ Got Talent ที่เฟ้นหาผู้ชมทางบ้านที่มีพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลง เต้นรำ แสดงตลก และการแสดงอื่นๆ โดยไม่จำกัดอายุ ใครที่เชื่อว่าตัวเองมีพรสวรรค์ก็สามารถสมัครเข้าร่วมแข่งขัน ผู้ชนะจะได้เงินรางวัล 100,000 ปอนด์ และได้โอกาสแสดงต่อเชื้อพระวงศ์ในงาน Royal Variety Performance ซึ่งเป็นงานกาล่าของราชวงศ์อังกฤษ)

ในรอบแรกของการแข่งขัน ชื่อเสียงของ Boyle กึกก้องไปทั่วโลกด้วยการร้องเพลง ‘I Dreamed a Dream’ จากเรื่อง Les Miserables ก่อนเริ่มการแสดง ทั้งผู้ชมและกรรมการตัดสินต่างไม่เชื่อสารรูปและท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ของเธอเลย (หลายคนขบขันด้วยซ้ำ) แต่เมื่อเธอเปล่งเสียงออกมาก็ได้รับเสียงปรบมือกึกก้อง จนถูกเรียกว่าเป็น ” ผู้หญิงที่ทำให้ไซมอน คอเวลล์ หุบปากลงได้ ” (Simon Cowell คือ คนทีวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงในการวิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ โดยไม่ค่อยคำนึงถึงความรู้สึกผู้ฟังในรายการต่างๆ เช่น Pop Idol, American Idol, The X Factor และ Britain’s Got Talent) หลังจากที่เธอร้องจบเพลง ผู้ชมในห้องส่งก็พร้อมใจกันยืนปรบมือให้เธอจนได้รับการตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ (Yes-Votes) จากกรรมการทั้ง 3 คน (Piers Morgan ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ News of the world และ Daily Mirror ของอังกฤษถึงกับกล่าวว่า “Biggest Yes I have ever given anybody!” )

หลังจากนั้นเรื่องราวของเธอก็เป็นที่สนใจของชาวโลก มีบทความเกี่ยวกับเธอตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั่วโลก รวมถึงจำนวนคนที่เข้าไปชมการแสดงของเธอในอินเทอร์เน็ตก็มีมากจนเป็นกลายเป็นประวัติการณ์ (กว่า 32 ล้านคลิ๊ก!)

Boyle เกิดในครอบครัวที่มีพ่อทำงานในโรงงานสินค้าและแม่เป็นนักจดชวเลข เธอเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่ชาย 4 คน และพี่สาว 4 คน ตอนที่ Boyle เกิด แม่ของเธออายุ 47 ปี ซึ่งหนังสือพิมพ์ The Sunday Times เขียนถึงเธอว่าถือเป็นการคลอดที่ค่อนข้างยากลำบาก เด็กหญิง Boyle เกิดอาการขาดออกซิเจนไปในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งทำให้สมองส่วนหนึ่งของเธอถูกทำลาย และกลายเป็นเด็กที่เรียนรู้ยากกว่าเด็กปกติทั่วไป

ตั้งแต่เด็ก แม่ของเธอมักสนับสนุนให้เธอเข้าประกวดร้องเพลงในการแข่งขันต่างๆ ซึ่งเธอก็ชนะมาหลายครั้ง และแม่ยังเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้เธอเข้าประกวด Britain’s Got Talent ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เธอเคยเข้าประกวดในบางรายการมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ (ด้วยเหตุผลที่เธอบอกเองว่า เธอตื่นเต้นเกินไปเวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ ) ในการประกวดครั้งนี้ Boyle บอกว่าเธอก็ไม่พร้อมอยู่ดี จนกระทั่งแม่เธอเสียชีวิตลง

ก่อนหน้าการแข่งขัน Fred O’Neil ครูฝึกสอนออกเสียงของเธอเล่าว่า เขาได้รับโทรศัพท์จากเธอในตอนกลางดึก Boyle โทรบอกเขาว่าเธอคิดว่าเธอแก่เกินไปสำหรับ Britain’s Got Talent เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่เด็กๆ ที่เข้าแข่งขัน (ตอนที่แข่งขันเธออายุ 47 ปี!)

ถึงวันนี้ Susan Boyle ยังคงเป็นคนว่างงานและทำงานอาสาสมัครให้กับโบสถ์ในสก็อตแลนต์ มีรายงานแจ้งว่า Simon Cowell ได้เตรียมจะเซ็นสัญญากับเธอในค่าย Syco Music ของเขา ซึ่งเป็นค่ายย่อยที่แตกออกมาจาก Sony Music นั่นเอง

ใครที่ได้ชมการแสดงของเธอต่างหลงรักในความเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ แต่เปี่ยมด้วยพลังมากมายมหาศาล

*สนใจชมภาพการแข่งขันกรุณาเข้าไปที่ youtube.com แล้วค้นหา Susan Boyle หรือ http://www.youtube.com/watch?v=9lp0IWv8QZY


“Modern society is too quick to judge people on their appearances. ... There is not much you can do about it; it is the way they think; it is the way they are. But maybe this could teach them a lesson, or set an example.”

-Susan Boyle, The Washington Post

MIGRATE TO THE OCEAN: MAY 2009 TOUR


ขอเอามาเก็บไว้นะ อันนี้เป็นโปสเตอร์ทัวร์ของ Migrate ตอนเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
เราตั้งใจกันว่าจะพยายามหาที่แสดงสดให้ได้ทุกเดือน เพื่อฝึกปรือ...
ตอนเดือนพฤษภา เล่นไปสามที่ คือ minimal (ตอนเป็นเกสต์ให้งานหู) เฮือนสถาปนิก และ The Ring (สองอันหลังนี้ร่วมขบวนไปกับ NO SIGNAL INPUT 2.2)

เดี๋ยวจะเอาตารางทัวร์เดือนมิถุนามาลงไว้ให้นะ

^^

artwork by Paul, Peter & Salmon

Thursday, June 11, 2009

Thank You All Visitors: WHAE Exhibition


งานแสดงจบไปแล้วนะ ^^ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาแวะมาเยี่ยมชม
ขอบคุณที่อดทนรอคอยการต่อคิว (บางคนรอตั้งเกือบชั่วโมงแน่ะ...ขอบคุณมากกกก)
ขออภัยในความไม่สะดวกหลายๆ ประการ โดยเฉพาะเรื่อง 'เสียงรบกวน'
ตั้งใจว่าจะจัดอีก แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อาจรอให้มีงานเพิ่มเสียก่อน
จะได้จัดไปพร้อมๆ กัน อาจจะปีนี้ หรือปีหน้า เดี๋ยวก็ค่อยว่ากันอีกทีนะ

ถ่ายรูปหน้างานมาน้อยถึงน้อยที่สุด เลยไม่มีบรรยากาศมาอวด
ส่วนรูปในงานนั้นก็ถ่ายไม่ได้ เพราะว่าต้องดูในห้องมืด

ไว้พบกันใหม่ ส่วนตอนนี้ขอไปเตรียมตัวซ้อมดนตรีก่อน
คืนนี้ Migrate to The Ocean แสดงสดที่ Bar Shaky
เป็น Migrate Plays Radiohead นะ ตื่นเต้นมากกกกกก

Wednesday, June 3, 2009

With Half An Eye: PHOTO EXHIBITION


RabbitHood presents

'WITH HALF AN EYE'
Photography Exhibition by vajira

(slide show)

5-7 June 2009
At Ho-So Festival, CMU Art Museum
Chiang Mai, Thailand.


visit www.rabbithood.net for more

............................................

สวัสดีเดือนมิถุนา

ไม่อยากเชื่อเลยว่าเดือนนี้จะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งตัว(ที่จริงเริ่มมาตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว) แต่ทุกอย่างก็สงบเรียบร้อยลงไปได้ดี

เดือนนี้งด 'งานหู' นะครับ (และคงจะงดไปตลอดฤดูฝน) แต่มีงานแสดงภาพถ่ายมาให้ดูกันแทน เริ่มจากพอดีได้รับคำชักชวนจากทางผู้จัดงานโฮะโซะ 2009 ก็ตกปากรับคำกันไป โฮะโซะคืองานเทศกาลที่คนเอางานหรือข้าวของมารวมๆ กัน (เหมือนแกงโฮะ) เราก็เพิ่งเคยร่วมงานกะเขาเป็นครั้งแรก ก็อยากชวนๆ ไปเที่ยวกัน

งานชุด With Half An Eye นี้เป็นงานที่ถ่ายเล่นเก็บๆ ไว้มาเรื่อย ถึงเวลาก็เอาเลยมาลองรวมๆ ดู ฉายเป็นสไลด์โชว์จากเครื่องโปรเจกต์เตอร์ในห้องมืด (เพราะว่าไม่มีเงินอัดรูปใส่กรอบหรอก 555) ความยาวประมาณ 4 นาทีต่อรอบ เข้าชมได้ครั้งละ 2 ท่าน ไม่เสียค่าใช้จ่าย!

ใครว่างๆ มาดูนะแล้วพบกัน

^^
วชิรา