Monday, February 26, 2007

จอ

ชิ้นนี้เขียนให้ Happening ของพี่วิภว์
เป็นคอลัมน์เกี่ยวกับการอ่าน จะเขียนถึงหนังสือ หรือว่าเรื่องการอ่านก็ได้
เห็นพี่วิภว์ว่าจะให้วนๆ กันเขียน
ลองอ่านดูที

ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ Happening (ของพี่วิภว์) ฉบับแรก
คอลัมน์ รู้หนังสือ


จอ
วชิรา

หลายเดือนก่อนผมได้ยินข่าวเล่าในวงข้าวว่ากำลังจะมีการติดตั้งจอโทรทัศน์บนรถไฟฟ้าที่วิ่งฉวัดเฉวียนไปมาบนท้องฟ้ากรุงเทพมหานคร แหล่งข่าวไม่ได้เปิดเผยว่าจอขนาดเล็กๆ จะบรรจุเนื้อหาแบบไหนไว้ข้างใน แต่เล่าเข้าประเด็นว่ามีบางฝ่ายพยายามออกเสียงคัดค้าน โดยให้เหตุผลกำกับว่าอาจเป็นองค์ประกอบที่ช่วยปิดโอกาสให้คนไทยอ่านหนังสือมากขึ้น
หมายความกว้างๆ ว่าแทนที่จะฉวยโอกาสอันดี (ที่ผู้ใหญ่ในประเทศของเราเพิ่งรู้สึกได้ว่าประชาชนของท่านลำบากยากเข็ญกับระบบขนส่งมวลชนพื้นฐานมาช้านาน-รู้สึกช้ากว่าชาวอังกฤษเป็นร้อยปี!) ไปกับการอ่านหนังสือในขณะเดินทาง ก็อาจส่งเสริมให้มองและดูสิ่งที่จะปรากฏในจอเล็กๆ นั้นแทน

ผมอนุมานเอาเองว่าเป็นสงครามขนาดย่อมของพฤติกรรมการอ่านกับการดู บนสมมติฐานที่ว่า ถ้ามีอะไรให้ดู คนจะไม่รู้สึกอยากอ่าน

ผู้ที่มีโอกาสใช้บริการรถไฟฟ้าหรือใต้ดินในนานาอารยะประเทศ อาจเคยสังเกตว่าในกรณีที่ไม่เบียดเสียดยัดเยียดจนเกินไปนัก ผู้โดยสารส่วนใหญ่เมื่อลงหลักปักที่เป็นอันเรียบร้อย ก็มักจะงัดอุปกรณ์ฆ่าเวลาส่วนตัวออกมา ถ้าไม่เล่นเกมส์ในโทรศัพท์ (ส่วนใหญ่เขาไม่พูดโทรศัพท์กันในรถโดยสารสาธารณะ) ก็ฟังเพลงจากอุปกรณ์ขนาดเล็ก (ที่นับวันจะหน้าตาดีขึ้นเรื่อยๆ ) หรือไม่ก็เล่นเกมส์จำพวกครอสเวิร์ด

นอกเหนือจากนั้น ส่วนใหญ่ของส่วนใหญ่ก็มักหยิบหนังสือออกมาพลิกอ่าน
สังเกตว่ามีบ้างบางจำนวนที่จดจ้องอยู่กับโฆษณาในจอสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก
..........

ตั้งแต่จำความได้ ผมได้ยินมาตลอดว่าชนชาติของเราเป็นชนชาติที่ไม่ค่อยจดบันทึก องค์ความรู้ส่วนมากส่งถ่ายจากรุ่นสู่รุ่นด้วยปากและการสนทนา (ดังตัวอย่างเมื่อย่อหน้าแรกที่ผมเองก็ ‘ฟัง’ มา เช่นกัน) นัยว่าเป็นเมืองเขตร้อน อากาศเย็นสบาย วิถีชีวิตความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ในหมู่บ้านมีศาลาให้พักผ่อนหย่อนใจ นอกบ้านมีชานกว้างใหญ่ ไม่ต้องมีภัยพิบัติใดๆ ให้วิตกกังวล จึงนิยมการพบปะสังสรรค์ ถามไถ่สารทุกสุขดิบ มากกว่าการหมกตัวหลบลี้หนีอากาศหนาวเย็นอยู่แต่ในห้องในหับ

นิสัยการแยกตัวเองออกจากผู้อื่นเพื่อนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ จึงอาจทำให้กลายเป็นคนประหลาดตามสายตาเพื่อนบ้าน ขณะที่พวกเขาออกมาพบปะสังสรรค์
นั่นหมายความว่า ถ้าผมเกิดและเติบโตในประเทศอังกฤษหรือญี่ปุ่น ผมจะมีแนวโน้มเป็นคนที่สนใจการอ่านมากกว่านี้ใช่หรือไม่

เวลาผ่านไป ในน้ำเริ่มขาดปลา ข้าวในนาเริ่มขาดมือ ระเบียงของหลายบ้านเริ่มเล็กลง หลายครอบครัวอพยพย้ายถิ่น หวังสร้างอนาคตที่ดีกว่า พาลูกหลานเข้ามาศึกษาหาความรู้ในเมืองใหญ่ การอ่านพลัดหลงเข้ามาเป็นพายุใหญ่ในชีวิต ก่อนเปิดเทอม ผู้ปกครองต้องเป็นธุระพาไปซื้อหนังสือนับสิบๆ แบกกระเป๋าไหล่เอียงไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนห้าวันในหนึ่งสัปดาห์ (ยังไม่นับรวมวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่มเติม) คุณครูใจดีทุกท่านต่างพากันร่วมมือร่วมใจเคี่ยวเข็ญให้เราอ่านเขียนท่องและจำ เพียงเพื่อสอบให้ผ่าน
ขณะที่บรรยากาศในบ้าน พ่อ แม่ ลูก กินข้าวพร้อมๆ กันกับจอโทรทัศน์จนถึงเวลาเข้านอน และเปิดโทรทัศน์ทันทีที่ตื่นนอน

เมื่อพายุสงบ เราจึงพร้อมใจกันทิ้งการอ่านไว้กับระบบการศึกษา เข็ดขยาด และพร้อมจะส่งผ่านพฤติกรรมอันแสนทุกทรมานนี้ไว้ให้ประสบแก่คนรุ่นต่อๆ ไป

สถาปนา ‘การอ่าน’ ให้กลายเป็นเพียงเครื่องมือของการสอบแข่งขันเท่านั้น

หลายปีผ่านไป ขนาดของบ้านยังคงเล็กลงอย่างต่อเนื่อง หลายบ้านกลายสภาพเป็นห้องสี่เหลี่ยมๆ คับแคบ ระเบียงขนาดพอดีกลายสภาพเป็นที่ตากผ้า หลายครอบครัวจำต้องพลัดพรากจากถิ่นฐานยาวนานกว่าเดิม เพื่ออนาคตที่ดีกว่าอนาคตที่เคยคิดว่าจะดี
นี่น่าจะเป็นนิมิตหมายอันประเสริฐ เพราะเมื่อเราแยกตัวจากกันมากขึ้น พื้นที่สำหรับการปะทะสังสรรค์น้อยลง ก็หมายความว่าเราน่าจะโน้มเอียงไปมีนิสัยรักการอ่าน โดยไม่ต้องกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นชาวอังกฤษหรือชาวญี่ปุ่น

เกือบไปแล้วเชียว เสียดายที่โทรศัพท์มือถือถลำเข้ามารุกล้ำในชีวิตเราเสียก่อน เวลาที่เคยต้องแยกตัวออกจากคนอื่นก็ถูกแทนที่ด้วยเครื่องมือเชื่อมต่อกิจกรรมสังสรรค์สนทนา ช่วยคลายความเหงาเศร้า วิเวก ว้าเหว่ และวังเวง

ถัดมาไม่นาน โลกไซเบอร์ก็ขยายจนกว้างใหญ่ ตอบรับวิถีชีวิตโดดเดี่ยวให้โดดเดี่ยวยิ่งขึ้น เพิ่มช่องทางสำหรับ ’การอ่าน’ในหมวดหมู่ใหม่-อันเป็นผลมาจากจากการเปิดพื้นที่สาธารณะให้ ’การเขียน’ เป็นอิสระจากเพียงที่ผูกขาดอยู่กับระบบการพิมพ์บนกระดาษ
กลายเป็นวงจรทับซ้อนที่ยากจะคาดเดาอนาคตเป็นอย่างยิ่ง
หลายฝ่ายเริ่มแสดงความกังวล ถึงปริมาณ ‘ช่องทาง’ สำหรับการสื่อสาร ที่เริ่มจะมีมากจนเกินกำลังและเวลาที่จะใส่ใจ

อันนำมาซึ่งความกังวลต่อ ‘เนื้อสาร’ ในลำดับต่อมา
........

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า ‘ช่องทาง’ ต่างๆ ของการส่งเนื้อสารนั้น อย่างไรเสียก็ไม่น่ากังวลนัก เหมือนที่ผมไม่คิดว่าการมีจอเหลี่ยมๆ บนรถไฟฟ้าจะน่าเป็นห่วงเท่ากับว่าในจอเหลี่ยมๆ นั้นบรรจุอะไรไว้

และเข้าใจไปเองว่าน่าจะเป็นความกังวลเดียวกันกับฝ่ายที่พยายามส่งเสียงคัดค้าน
คงดีไม่น้อย ถ้าในจอเหล่านั้นสามารถบรรจุบทกวีสั้นๆ หรือข้อความดีๆ ไว้ให้อ่านเป็นระยะๆ ก่อให้เกิดเป็นช่องทางใหม่ๆ สำหรับการเผยแพร่บทกวี ที่ว่ากันว่าตายสนิทไปแล้ว

ขณะเดียวกันผมก็ไม่กังวลว่ารูปแบบการอ่านหนังสือเล่ม (กระดาษ) จะหายไปจากโลกใบนี้ เหมือนที่เพิ่งอ่านเรื่อง ตะลุยโลกการอ่าน ในนิตยสาร GM เมื่อฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 แล้วพบข้อมูลหนึ่งว่า นิวยอร์กไทม์เคยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านดีไซน์ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้ชื่อว่ามีดีไซน์สอดคล้องกับสรีระมนุษย์ที่สุดในรอบ 1,000 ปี ผลปรากฏว่า งานออกแบบอันดับหนึ่งก็คือ ‘หนังสือ’

นอกเหนือจากความสอดคล้องทางสรีระ หนังสือยังถือเป็นวัตถุใช้งานที่เรียบง่ายที่สุดอีกด้วย ไม่ต้องชาร์จแบ็ต ต่อไฟ หรือใช้อุปกรณ์เสริมใดๆ นอกจากสายตาและแสงสว่าง

อะไรที่สอดคล้องและเป็นไปตามกลไกพื้นฐานแล้วนั้น อย่างไรเสียก็สามารถอยู่ได้ยาวนานโดยตัวมันเอง

เหมือนถ้าเรามีระบบการศึกษาที่สอดคล้องกับ ‘การเรียนรู้’ มีระบบขนส่งมวลชนที่สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตมาตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน

วันนี้ประชาชนชาวไทยอาจมีพฤติกรรมติดหนึบการอ่านโดยตัวเราเองก็เป็นได้


9 comments:

Anonymous said...

ลืมให้เว็บ Happening ไว้น่ะ
http://happeningnow.net/th/index.php
ว่างๆ เข้าไปชมกันเน้อ
^^

Anonymous said...

17 years of reading....
4 replaced light bulbs in 2 months
my eye sights are now -475....
looks like they're getting worse...

i still read till dawn na, hahaha.

(juz waiting for your Novel to make it to -500)

:P
G*

Unknown said...

ตอนเด็กๆ อ.ก็สอนให้อ่านหนังสือมากมาย มีโครงการเกี่ยวกับการอ่านเพียบ ป่านก็ว่ามันได้ผลนะ แต่มันได้ผลกะหนังสืออย่างอื่นมากกว่า ที่ไม่ใช่หนังสือเรียนอ่ะ 55 ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กับการเรียนบางวิชาก็จำเป็นต้องอ่าน แต่บางวิชาอ่านไปก็ไม่รู้เรื่อง ทำแบบฝึกหัดอย่างเดียว
ปัญหามันเหมือนจะเล็ก แต่ก็ใหญ่?? อะไรไม่รู้??
นี้ก็เพิ่งอ่านมาหยกๆ อิอิ
ขอบคุณที่เอามาลงค่ะ /ป่านเอง

Anonymous said...

;) ห วั ง ว่ า ก า ร อ่ า น แ บ บ ก ระ ด า ษ ^^ค ง จ ะไ ม่ ห า ย ไ ป กับ ก า ล เ ว ล า. . . ห า ก แ ต่ เ ว ล า นี้ ม อ ง ไ ป ร อ บ ๆ ก า ย ภ า พ ก า ร อ่ า น บ น ก ร ะ ด า ษ เ ลื อ น ล า ง อ อ ก ไ ป ทุ ก ทีทุ ก ที . . . .

Anonymous said...

วันนี้นั่งรถไฟฟ้ามา
เพิ่งจะรู้ว่า รถไฟฟ้า 1 แถว มี 7ที่นั่ง
คนที่ได้นั่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง
ใน 1 แถว ที่แอบมองเป็นหญิง 6 ชาย เอ่อ..ครึ่งฟองอีก 1
ใน 7 คน มีคนอ่านหนังสือ 2 คน
หญิง 1 คนอ่าน pocket book ชายครึ่งฟอง อ่านหนังสือเรียน
เข้าใจว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น...
ลงมาต่อไปสีลม..แถวข้างๆมีคน 16 คน
1 คน อ่านหนังสือ pocket book ..เป็นหญิง
ชายหลายคนหนีบซอคเกอร์


จอสี่เหลี่ยมยิง MV I never say good bye จากซีรี่ย์ดัง
ต่อด้วย..เพลงรักรังนก..ต่อด้วยเที่ยวสิงคโปร์
(ซึ่งวนเป็นลูป...มาหลายเดือนแล้ว..)

ซึ่งน่าเบื่อมาก

Anonymous said...

โดยสาร MRT
ปัจจุบันนี้เริ่มรู้สึกว่าเราเป็นญาติกับนิโคลอย่างไรไม่รู้

ปล.อยากเห็นผมทรงใหม่ของลุง แค่สั้นลงก็ตื่นเต้นแล้ว (ทำไมวะ)

Anonymous said...

สถาปนา ‘การอ่าน’ ให้กลายเป็นเพียงเครื่องมือของการสอบแข่งขันเท่านั้น

ชอบจังเลย คิดได้งัยเนี่ย อันนี้เห็นด้วยเศษสามส่วนสี่นะ อีก 1ส่วน 4 คิดในทางย้อนกลับว่าการสอบอาจจะช่วยปลูกฝังให้คนมมีนิสัยรักการอ่าน ก็เป็นได้

ปล.ดีใจนะพี่โจ้ที่ได้เจอบนสถานนีรถไฟฟ้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เจอ ไม่นึกว่าเป็นพี่ ถ้าพี่ไม่ร้อง เฮ้ย เค้าก็นึกว่าไม่ใช่พี่ ตกใจจนลืมกล่าวทักทายและสวัสดี */I\*

Anonymous said...

สายตาเราตอนนี้ก็ปาเข้าไป 600 แล้ว
กว่าๆแล้วด้วยซ้ำ
ทั้งที่อายุเพิ่ง 19 เอง
แต่ก่อนก็คงสั้นเพราะดูทีวี
แต่เดี๋ยวนี้คงเป็นเพราะอ่านหนังสือมากกว่า
ก็เพราะ a day กะ หนังสือพี่โจ้น่ะแหละ
ทำให้เราติดการอ่านงอมแงม
แหะๆ แต่ก็ดีใจน่ะ
ยังไงก็มีผลงานมาให้ได้ติชมอีกน่ะค่ะ
สู้ๆ เราเป็นกำลังใจให้เสมอออ
(อยากไปร่วมงานของพี่โจ้ด้วยจัง แต่พี่โจ้อยู่เหนือ เราอยู่ใต้ ห่างกันร้อยลี้ -*- เสียจายยยยย)

^^

banana said...

จอ
จอ
จอ...อ่านดีกว่า ^^