Tuesday, June 19, 2007

ทะลุหูขวา (2) : Sean Lennon



ทะลุหูขวา
text and artwork by วชิรา

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนมิถุนายน 2550
Special thanks to NOKIA 5700 XpressMusic

SEAN LENNON
เป็นบุตรชายของ John Lennon และ Yoko Ono
ว่ากันว่าเขามีชื่อเสียงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
และเป็นธรรมดาของบรรดาลูกหลานของคนมีชื่อเสียงทั้งหลาย
ที่ต้องรับแรงกดดันที่มองไม่เห็น
โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินร่วมเส้นทางเดียวกันกับบิดามารดา

ในโลกดนตรี Sean เลือกที่จะวางตัวเองไว้ระหว่าง
ดนตรีป็อปและดนตรีทดลอง (experimental)
คล้ายๆ กับ Beastie Boy, Beck หรือ Cibo Matto (ญี่ปุ่น)
ที่เดินล่วงหน้าอยู่ก่อน
Sean เริ่มชีวิตนักดนตรีจริงจังด้วยการผลักดัน Yoko ผู้เป็นแม่
ให้กลับคืนสู่เวทีอีกครั้ง เขาตั้งวงดนตรีร็อคสามชิ้นขึ้นมาสนับสนุน
ในชื่อ IMA ช่วงนั้นเองที่เขาได้พบกับ Yuka Honda
แห่ง Cibo Matto และตระเวณออกทัวร์กับ Cibo Matto
ในฐานะมือเบสและคนรัก (ในขณะนั้น) ของ Yuka
(ถ้าดูเครดิตในอัลบั้ม แดดส่อง ของ moderndog
ก็จะพบชื่อ Yuka Honda ด้วยเช่นกัน)

Sean ออกอัลบั้มแรก Into the Sun ในปี 1998
ก่อนหน้านั้นไม่นานเขาได้สัมภาษณ์กับ The New Yorker ว่า
พ่อของเขาถูกฆาตกรรมโดยรัฐบาลอเมริกัน!
บทสัมภาษณ์นั้นทำให้เขาถูกจับตามองมากกว่าธรรมดา

แปดปีต่อมา อัลบั้ม Friendly Fire ก็ปรากฏสู่สายตาประชาชน
Sean อธิบายว่าเพลงทั้งหมดได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตส่วนตัวของเขา
เป็นความหายนะที่โรแมนติก
เมื่อคนรักของเขา (ไม่ใช่ Yuka!) หลับนอนกับเพื่อนรักของตัวเอง
ทั้งคู่เลิกรากัน
เพื่อนรักคนนั้นเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมอร์เตอร์ไซค์
ก่อนที่ Sean จะมีโอกาสเปิดอกในเรื่องนี้
และเป็นที่มาของชื่อ Friendly Fire
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.seanlennon.com

(LYRIC)
PARACHUTE


LOVE IS LIKE AN AERO PLANE
YOU JUMP AND THEN YOU PRAY
THE LUCKY ONES REMAIN
IN THE CLOUDS FOR DAYS
IF LIFE IS JUST A STAGE
LET’S PUT ON THE BEST SHOW
AND LET EVERYONE KNOW

CAUSE IF I HAVE TO DIE TONIGHT
I'D RATHER BE WITH YOU
CUT THE PARACHUTE BEFORE WE DIVE
BABY DON’T YOU CRY
YOU HAVE TO BRING ME DOWN
WE HAD SOME FUN BEFORE WE HIT THE GROUND

LOVE IS LIKE A HURRICANE
YOU KNOW IT’S ON THE WAY
YOU THINK YOU CAN BE BRAVE
UNDERNEATH THE WAVES
IF LIFE IS JUST A DREAM
WHICH ONE OF US IS DREAMING
AND WHO WILL WAKE UP SCREAMING


CAUSE IF I HAVE TO DIE TONIGHT
I'D RATHER BE WITH YOU
CUT THE PARACHUTE BEFORE WE DIVE
BABY DON’T YOU CRY
YOU HAVE TO BRING ME DOWN
WE HAD SOME FUN BEFORE WE HIT THE GROUND

CAUSE IF I HAVE TO DIE TONIGHT
I'D RATHER IT WAS YOU
CUT THE PARACHUTE BEFORE THE DIVE
BABY DON’T YOU CRY YOU HAVE TO BRING ME DOWN
WE HAD SOME FUN BEFORE WE HIT THE GROUND

(ESSAY)

ผมยังไม่เคยร่วงลงจากที่สูง
(ในความหมายของสถานที่ที่อยู่สูงจริงๆ ไม่ใช่ในเชิงปรัชญา)
แต่พอเข้าใจได้ว่าภาวะของการอยู่ไกลเหนือพื้นดินนั้นไม่น่าพิศมัยนัก
โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคหวาดกลัวความสูง
ยิ่งถ้ามีเหตุจำเป็นบังคับให้ต้องแขวนชีวิตอยู่บนนั้น

แต่จะว่าไป ที่จริงเราอาจไม่ได้หวาดกลัว ‘ความสูง’
แต่กลัวการ ‘ร่วง’ ลงมาต่างหาก
เพราะถ้ามีใครสักคนอุตริรับประกันการหล่นให้เราได้
ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ อีกที่จะต้องกลัว
ไม่ร่วง ไม่ตก ไม่เจ็บ
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามนุษย์เรานั้นกลัว ‘ความเจ็บ’ มากกว่าอื่นใดทั้งหมด
น่าเสียดายที่ไม่เคยมีโอกาสถามไถ่ บรรดาคนที่มีเหตุให้ต้องร่วงลงมา
จากที่สูงโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือประคับประคอง
ว่าระหว่างทางก่อนถึงพื้นดินนั้นเกิดอะไรขึ้นในความคิดของพวกเขาบ้าง

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาเหล่านั้นล้วนไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงใดๆ
ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ร่วงหล่น และ ดับไป ภายในเวลาพริบตา
ไม่มีโอกาสแก้ตัว
........

ในบรรดาทุกๆ ‘ความ’ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
ความรักน่าจะเป็นเรื่องยอดนิยมมากที่สุด
แม้ว่าความหิวและความอิ่มจะเป็นสาระสำคัญอันดับต้นๆ
ของการมีชีวิตอยู่ก็ตามที
เราส่วนใหญ่จึงก้มหน้าก้มตาทำมาหากินให้ท้องอิ่ม
เพื่อที่จะใช้เวลาส่วนที่เหลือจินตนาการถึงความรักในแบบที่เราต้องการ
(ยกเว้นบางคนที่โลภกว่าคนอื่น จึงเบี่ยงเวลาบางส่วนไว้หาสิ่งของเข้าท้องไม่สิ้นสุด)

ผลพวงจากความยอดนิยม
ความรักจึงเป็น ‘ความ’ ที่ถูกนิยามด้วยความหมายอื่นมากที่สุดอีกด้วย
ความรักคือความเข้าใจ คือการดูแล คือความอดทน คือการให้
คือความเสียสละ และอีกหลายๆ คือ
น่าแปลกใช่ไหม ที่ความหมายของความรักกลับไม่ใช่ความรักโดยตัวมันเอง
แต่ถูกอธิบายให้กลายเป็นอย่างอื่น

ผมเรียกเอาเองว่าบรรดาคำอธิบายเหล่านั้น
ที่แท้คือทัศนคติที่เรามีต่อความรัก
คล้ายอากาศ เมื่อมองไม่เห็น เราจึงต้องพยายามดิ้นรนค้นหาอธิบาย
จนเมื่อพบคำอธิบาย เราก็สบายใจ
ความรักจึงเป็นความรักโดยตัวมันเองไม่ได้ แต่ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่เราพอเข้าใจ
อย่างน้อย ก็เพื่อใช้กำกับพฤติกรรมต่างๆ นานา ที่เกี่ยวข้องกับความรักนั้น
อันเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนความอ่อนแอขั้นสุดของมวลมนุษยชาติ
จะมีอะไรเปราะบางกว่านี้อีก
การปล่อยให้ตัวเองดื่มดำ อิ่มเอม สนุกสนาน
หรือทนทุกข์ทรมานกับอะไรสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ความรัก
จะทำให้เราเคว้งคว้าง ไม่พบคำตอบ ไม่พบจุดหมาย
คล้ายลอยคอในทะเลลึกยามค่ำ ไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้ทิศทาง
และในที่สุด เราก็พ่ายแพ้ ด้วยการแสดงออกว่าเราชนะ
แสดงความเป็นเจ้าของ มีอำนาจเหนือ
และพยายามใช้อำนาจนั้นประคับประคองตัวเราให้ดำรงอยู่
เชิดหน้าชูตา แทนที่จะพยายามทำความเข้าใจสภาวะที่ไม่สามารถอธิบายได้นั้น
เรากลับผลักไสมันออกไป ยิ่งไกลยิ่งปลอดภัย ยิ่งห่างยิ่งไม่ต้องทรมาน
เป็นความขี้ขลาด อ่อนแอ

เหมือนที่เรากลัวความเจ็บ ไม่ใช่ความสูง
เหมือนที่เราพยายามยึดบางสิ่งบางอย่างไว้กับตัวเอง
ประกาศอาณาเขต แสดงความเป็นเจ้าของ
และกล่าวโทษทุกอย่างที่ไม่ดำเนินไปตามความต้องการของเรา
การปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างอิสระ เป็นความยากลำบากแสนสาหัส
เพียงเพราะเราต้องการคำตอบ

การอยู่เฉยๆ ยอมรับและพยายามทำความเข้าใจความเจ็บปวดของชีวิตนั้น
นับเป็นความกล้าหาญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
และถึงที่สุดแล้ว เราอาจค้นพบว่า เราไม่ได้เปราะบางอย่างทิ่คิด

แม้ระยะทางจากท้องฟ้าถึงพื้นดินของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน
แต่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราต้องตกลงมาอยู่ดี
ไม่มีใครลอยคว้างอยู่กลางฟ้าได้ตลอดกาล
คำถาม-ถ้าคุณต้องจบชีวิตลงภายในคืนนี้ คุณจะทำอะไร?
คำตอบ-ทำใจ
เพราะมันคือสิ่งเดียวกัน

34 comments:

Anonymous said...

นี่..พี่ชายคนนั้นน่ะ..อืือ..พี่นั่นแหละ

เมื่อเช้าฟังเพลงเก่าของทีโบน..ท่อนหนึ่งร้องว่า"หากไม่เหลืออะไรให้ทำก็..ทำใจ" บังเอิญช่างประจวบเหมาะ..

ตอนนี้เพิ่งเริ่มอ่านหนังสือเก่ามากของคุณ'รงค์ (พิมพ์ครั้งแรกพ.ศ.2514..เก่าจนเปิดไปจามไป)--แดง รวี..เรื่องราวของการมองหาความหมายของชีวิต..ผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง --ในความหมายมากมายของชีวิต--คิดว่าสักพักคงอ่านเจอรูปแบบของความรักแฝงอยู่บ้าง--พร้อมกับสงสัยในความรัก

ถ้าตัดเชือกแล้วโดดลงมาพร้อมคนรัก คงได้ความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างปะปนกัน แต่ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกแล้ว ชั่วพริบตาเราอาจจะยังไม่ได้คิดอะไรเลย--สมองว่างเปล่าก่อนตายก็ดีนะ

แผ่นดินไหวอีกแล้วเหรอ--งั้นอย่าอยู่บนที่สูง--เป็นห่วงๆกลัวไม่มีใครจะร่วงมาเป็นคู่ด้วย--มันเศร้า

Anonymous said...

เพิ่งเข้ามาอ่านครับโจ้ ได้กิจกรรมน่าไปอีกแล้วสิ ถ้าว่างนะ วันนั้นดีใจที่ได้เจอ

Anonymous said...

สิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ กับ
สิ่งที่มองเห็น จับต้องได้ และแสดงถึงพลังของความน่ากลัว
สิ่งไหนน่ากลัวกว่ากัน ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราต้องเจอ ?

แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่เราต้องทำ คือ ทำใจและยอมรับมันให้ได้ก่อนใช่ไหม ?

...

Anonymous said...

If love is a cliff, and the unknown beauty is hidden at the bottom pit...
then perhaps it isn't so frightening risking your life
reaching for the 'unknown' even if in the end you may never find it ....

The truth is that, the unknown beauty is staring right at you whilst you're in the moment of the 'fall'..

it's you...who forgot to open your eyes to face it...

G'xx
p.s. gosh! i amazed myself sometimes...

Anonymous said...

ความกลัวท่วมท้น เมื่อนึกถึงนาทีที่จะร่วงหล่น
แต่ตอนนี้กลับเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังปีนขึ้นสู่ผาสูง
ก่อนปีนคิดยังไง ลืมไปแล้ว
รู้แต่ตอนนี้กลัวจะหล่นอยู่หวิวหวิว
ถึงแม้จะยังไม่หล่นก็ทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บ

เฮ้อ...ทำไงดี
จะไปต่อ หรือจะปล่อยมือ

Anonymous said...

u....!!!

"ผมเรียกเอาเองว่าบรรดาคำอธิบายเหล่านั้น
ที่แท้คือทัศนคติที่เรามีต่อความรัก
คล้ายอากาศ เมื่อมองไม่เห็น เราจึงต้องพยายามดิ้นรนค้นหาอธิบาย
จนเมื่อพบคำอธิบาย เราก็สบายใจ
ความรักจึงเป็นความรักโดยตัวมันเองไม่ได้ แต่ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่เราพอเข้าใจ"(vajira,ทะลุหูขวา(2):Sean Lennon)

แล้วถ้าเรา เข้าใจ หรือ ตีความผิดหละ
... เราจะพลาดสิ่งที่ควรเข้าใจ(ที่ดีที่สุด) ไปไหม

แล้วถ้าเราพยายามดิ้นรน ค้นหาคำอธิบาย ด้วยวิถีทางที่ไม่เหมาะสมหละ
...จากคำอธิบายที่แท้จริง กลายเป็นแค่ผลผลิตจากสถานการณ์บีบคั้นหนึ่งเท่านั้นเหรอ
หาได้เท่าทั้งหมดของความรู้สึกลึกซึ้ง ที่คนๆนึงพึงจะมีแด่คนที่เค้ามอบความรักอย่างบริสุทธิ์ใจเลย

ท้ายที่สุดแล้ว อาจจะเป็นความเสียใจอันท้วมท้น จากการส่งสารที่ผิดพลาด และวัฒนธรรมการเรียนรู้และตีความต่างกันออกไป

เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ระหว่างทางแห่งการดับลง
ความรัก อาจมีเสียงสะท้อนเล็กๆจากตัวของมันก่อนจะถึงกาลอวสาน...
"แท้ที่จริงแล้ว ตัวเราไม่ได้เกิดมาเพื่อมอบความทุกข์ทรมานใจแด่ผู้ซึ่งเป็นที่รักเลยแม้แต่น้อย
อย่ากลัวที่จะ'ได้รัก' และ 'รับรัก'เลยที่รัก
ชีวิตคนเราช่างสั้นนัก
แท้ที่สุดนั้น เราเพียงต้องการให้คนที่เรารัก ได้รับ'ความรัก' ที่คู่ควร"

^^

Anonymous said...

ท่าทางเรื่องรักๆ นี้
จะก่อกวนเซลสมองของหลายๆ คนไม่น้อย
โดยส่วนตัวก็ไม่มีความคิดเห็นอะไรเพิ่มจากที่ได้เขียนไปแล้ว แต่สนุกสนานกับการได้อ่านความคิดเห็นของคนอื่นๆ ในเรื่องนี้
สังเกตว่าเรามักใช้สมองเต็มที่ ในเวลาที่ 'ถกเถียง'หรือ 'แลกเปลี่ยน' เรื่องความรัก
น่าจะดี ถ้าเราสามารถคิดกับมันไปได้เรื่อยๆ
เพราะน่าจะถือเป็นการ 'ทบทวน' ที่ดีเชียว

ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่คำถามที่เราตั้ง
มากกว่าคำตอบที่เราต้องการมั้ง
เพราะถ้าตั้งคำถามไม่ถูก เราอาจหลงทางไปไกล

แต่หลงทางก็ใช่ว่าจะไม่ดี
อาจเจออะไรหนุกๆ ก็ได้นิ

ขอบคุณนะครับ
ชอบอ่าน
^^

หมายเหตุ
เวลาที่จู่ๆ บางอย่างหายไปจากชีวิตโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี่ก็ตลกขื่นๆ ดีนะ

Anonymous said...

เหมาครับ
ดีใจที่ใจเจอเช่นกัน
ร้อยวันพันปีจะไปเยาวราชเสียที
หลังจากวันนั้นคุยกับใครไม่รู้
เขาว่าบ้านเหมาอยู่แถวนั้น
ว่างๆ เจอกันใหม่
หรือคุยกันทางเมลก็ได้นะครับ
iamvajira@hotmail.com

Anonymous said...

ความรักก็เป็นอารมณ์สามัญของมนุษย์--เป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตเหมือนความเกลียด ความหลง ความเหงา ความหิว ความอิ่ม เป็นความ..อะไรสักอย่าง--ที่ช่วยเติมเต็มให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้น

Anonymous said...

ติ๊กกลัวความสูงมากเลยพี่โจ้
ตกลงมา ถ้าเจ็บแล้วตายเลย ยังพอทำใจ

แต่ถ้าตกลงมาแล้วต้องตกใจ(แทบตาย)
แล้วดันไม่ตายอีกล่ะก็
ไม่เสี่ยงไปยืนที่สูงให้เสียวหัวใจเล่นแน่ๆ

ก็เหมือนกับความรักแหละ ไม่กล้าเฉียดไปเจอเหมือนกัน กลัวมันทำให้ตกใจ

Anonymous said...

Getting LOST is rather fun, isnt it?......no???


:-P

G'xx

Anonymous said...

ไม่เคยมีใครบอก แต่คิดว่ารักเหมือนกับความมืด กลัว แต่ก็อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

Anonymous said...

พี่เคยรักใครสักคนหนึ่งไหม

Anonymous said...

เคยสิ
คนนะ ไม่ใช่กระติกน้ำร้อน!

Anonymous said...

^
^
^
ฮ่าๆ.."กระติกน้ำร้อน"..คิดได้นะ..ขำ
กระติกน้ำร้อนอาจจะหลงรัก-น้ำ..ร้อนๆ..ก็ได้-ไปพาดพิงเค้านะ

Anonymous said...

พี่โจ้รู้ได้งัยว่ากระติกน้ำร้อนไม่เคยมีความรัก

ไม่เคยเกิดมาเป็นกระติกน้ำร้อนซักกะทีนี่หน่า ^^ แฮ่ๆ ล้อเล่นน้า.....

Anonymous said...

u...!!!

เราก็ชอบ 'แนวคิด'และชอบ(อ่าน)วิธีการนำเสนอโดยภาษา ของคุณ(มาก)นะ

หลายๆ บทความ ก็เป็น inspiration ที่ดีสำหรับเรา มากๆทีเดียว
แต่นั้น...
ก็มีบางส่วนที่เราคิดเห็นแย้งกับคุณ(มาก)เลยทีเดียว นั้นสินะ! การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มันจึงมีรสชาติขึ้นก็เหตุนี้แหละ

...
"หมายเหตุ
เวลาที่จู่ๆ บางอย่างหายไปจากชีวิตโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี่ก็ตลกขื่นๆ ดีนะ" <-- หรือกำลัง'คิดถึง'มันอยู่รึเปล่า??

^^

Anonymous said...

ในเมื่อไม่ได้เป็นกระติกน้ำร้อน แล้วก็เคยมีความรัก

ความรัก ของพี่โจ้เป็นยังไงหรอ ?

...

Anonymous said...

คุณโจ้

งานวันนั้นดีมากๆ เลย : D
ได้ข่าวว่าจะไม่จัดที่กรุงเทพฯแล้วเหรอ?
เซ็งเลยนะถ้าเป็นอย่างงั้น

ไม่ได้มาอ่านบล็อคคุณโจ้ซะนาน
เจอประโยคนี้ ตรงใจมากๆ
"การปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างอิสระ เป็นความยากลำบากแสนสาหัส
เพียงเพราะเราต้องการคำตอบ"

กำลังทำชีวิตอิสระอยู่น่ะ

ส่วนเรื่องความรัก โนคอมเม้นท์แฮะ
ช่วงนี้ไม่อิน
- -''

ปล.อ่านบล็อคนี้ตอนกำลังฟัง Inchan Tree ของ Scrubb แหม...เข้ากันน่าดู

Anonymous said...

เฮ้ยยยยยยยย คม

Anonymous said...

เป็นไปได้หรือไม่ว่ามนุษย์เรานั้นกลัว ‘ความเจ็บ’ มากกว่าอื่นใดทั้งหมด (vajira,ทะลุหูขวา(2):Sean Lennon)

แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่า ขณะเดียวกันมนุษย์เรานั้นก็ 'หลงรัก' ความเจ็บมากกว่าอื่นใดทั้งหมด
เพราะความสุขมักลืมง่ายขณะที่ความเจ็บมักฝังใจ
บางคนอาจบอกว่าเจ็บเพื่อให้จำ แต่ส่วนมากมักชอบเจ็บซ้ำ ทำแบบเดิมแม้จะรู้ผลปลายทางว่าต้องเจ็บ
หรือมนุษย์เรา 'ดื้อ'
หรือมนุษย์เรา 'โง่'
หรือมนุษย์เรา 'บ้า'
หรือมนุษย์เราทั้ง 'ดื้อ' 'โง่' 'บ้า' รวมกัน

ปล. หมายรวมถึงทุกเรื่องนะ ไม่ใช่เฉพาะความรัก

Anonymous said...

...ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าชอบทัศนคติของคุณเกี่ยวกับความรักนะ...

ความรักในแบบฉบับของเราคือการให้ การให้ในที่นี้คือการให้ความรัก ให้โดยไม่หวังว่าจะได้รับความรักตอบแทนกลับมา แต่อย่างน้อยก้อภูมิใจที่ได้รัก :P

ความรักไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเพียงแค่ยอมเปิดใจรับมัน .. แล้วก้อจะพบว่ารัก (แท้) มีอยู่จิง ^^

Anonymous said...

พี่..พี่เคยรู้สึกดีกับใครคนนึงแล้วไม่กล้าบอกความรู้สึกที่แท้จริงกับคนคนนั้นม่ะ :D

ถ้าเคย .. ช่วยบอกด้วยนะว่าพี่มีวิธีจัดการปัญหานี้ยังไง

.. ความรักของพี่เป้นแบบไหนเหรอ .. อยากรู้เหมือนกัน :D

miz u jung!!!

Anonymous said...

เอ่อ...มีคำถาม อยากถามคุณโจ้อ่ะนะ ว่า....
(ชอบมากๆ กับ เรื่องที่เขียนมา ชอบมุมมองของคุณ )

ก็เลยอยากทราบว่าขณะที่เขียนเรื่องนั่นอยู่
กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองอยู่หรือว่า
คือ จำเป็นไม๊ว่า...เรื่องที่ใครก็ตามกำลังเขียนอยู่นั้น
มีความเกี่ยวข้องกับ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง
...
ส่วนตัวไปหน่อยนะ...แต่ไม่ตอบไม่เป็นไรครับ
...อยากเอามาปรับใช้กับตัวเองบ้าง
ในมุมมองต่างๆหน่ะ...

ขอบคุณมาก...

Anonymous said...

ตัดเชือกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอีกคนจะตัดด้วยมั้ย ก็คงต้องรอดูต่อไป....

Anonymous said...

..ตัดเชือกเส้นนั้นแล้วเหมือนกัน ..

เอ..แต่ไม่รู้ว่าเชือกที่ตัดเส้นเดียวกันหรือปล่าวเนอะ? หรือถ้าเป้นเชือกเส้นเดียวกันอย่างน้อยก้อยินดีนะที่เคยถือเชือกเส้นเดียวกัน..

Anonymous said...

สนุกสนานจริงๆ ด้วย
ขอบคุณทุกๆ คนนะครับ
และต้องขออภัยที่ไม่สามรถตอบคำถามใครได้
ลำพังตัวเองก็ใช่ว่าจะรอด

ที่จริงคำถามว่าความรักสำหรับเราคืออะไร หรือว่าเป็นยังไง
เป็นคำถามที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ
แต่ก็จนปัญญาจะตอบ
คงเหมือนที่เขียนไป ว่าการพยายามนิยามอาจทำให้ความหมายจริงๆ ของมันผิดเพี้ยนไปก็เป็นได้
อีกอย่าง นี่อาจเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจริงๆ ก็ได้

แต่ยังไงก็ตาม ที่พอจะพูดได้
ก็เห็นจะเป็นความรู้สึกรู้สาต่างๆ นานา
ที่ไม่น่าจะต่างจากคนปกติธรรมดาๆ ทั่วไป
ดีใจ เสียใจ หัวเราะ ร้องไห้ ยิ้ม ตื่นเต้น มือเย็น อะไรทำนองนี้
กับอีกอย่างที่คิดตลอดมา
ว่าถ้าเป็นไปได้ ความรักของคนเรา น่าจะเกิดประโยชน์อื่นๆ กับคนรอบข้าง (ย้ำว่า ถ้าเป็นไปได้)
เพราะบวกลบคูณหารแล้ว
ถ้าสาระสำคัญของความรัก หมายถึงสิ่งที่เรารู้สึกและกระทำกับคนอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ลำพังตัวเรา
ก็น่าจะหมายรวมถึง คนอื่นๆ และอย่างอื่นได้ด้วย
ช่วยหลังเวลาได้ยินใครอกหัก ก็มักไล่ให้ไปปลูกต้นไม้
พร้อมกำชับว่า โลกร้อนจะตาย (ห่า) อยู่แล้ว
มามัวฟูมฟายเรื่องตัวเองอยู่ได้

นี่ก็เล่นๆ นะ ก็เข้าใจหรอกว่าเวลาถ้ามันเกิดขึ้นกับใคร ก็คงยากจะควบคุม
แต่ที่ไม่เล่นก็คือว่า 'โลกร้อน' จริงๆ แล้วนะครับ
^^

Anonymous said...

------->ad ขวามือ..น่ารัก..น่าไซ้มากๆ..แหววเชียว
งั้น..ถ้าเป็นแฟนกันใหม่ๆแล้วชวนกันไปปลูกต้นไม้ล่ะ
เป็นต้นไม้ของเราอย่างงี้--อกหักปุ๊ป..ก็ปลูกต้นไม้อีกเป็นต้นไม้แห่งความหลังงี้--ถ้าตามคอนเซ็ปต์นี้นะ..รับรองว่าเมืองไทยจะเต็มไปด้วยต้นไม้--แบบรักๆเลิกๆ--แหมพี่กระต่าย..ควรจะชูเป็นนโยบายพรรคนะ..ตั้งพรรคเหอะ..นโยบายสิ่งแวดล้อมเยี่ยมมาก

Anonymous said...

'ไม่มีใครลอยคว้างอยู่กลางฟ้าได้ตลอดกาล'

เห็นด้วยนะเพราะเราคิดว่า ในที่สุดแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาอยู่ที่เลขศูนย์
จุดเริ่มต้นและจุดดับคงจะเป็นจุดเดียวกัน กระมัง

เรามักจะใช้เวลาในการหาจุดเริ่มต้นของ ชีวิต การงาน ความรัก และอะไรอีกหลายอย่าง
จนบางทีเราไม่ค่อยได้นึกถึงหรือมองหา จุดจบของมัน
ฟังดูมันอาจจะยากไปเสียหน่อย
เพราะปรกติธรรมดาแล้ว
คงไม่มีใครอยากมานั่งนึกถึง จุดจบต่างๆของตัวเอง.....
นี่รึเปล่าที่เรียกว่า ความกลัว?

พระอาทิตย์ ยังคงมีวันขึ้นเสมอ และทุกวันมันก็ยังมีวันตก
บางวันขึ้นเร็วตกช้า วันนี้อาจจะมีคนมองมันตกสวยกว่าวันอื่นๆ ของหลายๆวันที่มันตก
น่าสงสารพระอาทิตย์ เพระคงจะยากสักหน่อย
ที่มันจะได้มีโอกาศแพลนล่วงหน้า
ว่าจะต้องตกสวยให้สายตาที่คอยจ้องมองมัน
หลายๆสายตาทุกวัน

แต่ในทางกลับกันมันก็น่าอิจฉา
เพราะอย่างน้อยถึงแม้วันนี้มันจะตกไม่สวย แต่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ มันก็ยังมีโอกาศที่จะ ขึ้นสวย และตกสวยได้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวของมันจะถึง จุดจบที่แท้จริง..........

(ถึงตอนนั้นมันคงดูสวยพิลึก....)




'คำถาม-ถ้าคุณต้องจบชีวิตลงภายในคืนนี้ คุณจะทำอะไร?'

คำตอบ-ทำทุกนาทีให้มีค่าที่สุดเพราะเราคงไม่มีโอกาศได้ ขึ้นใหม่ทุกวันเหมือนดวงอาทิตย์

ขอบคุณที่อ่านนะ ถ้างานไม่เยอะเกินไป จะมาเยี่ยมใหม่
ปล. มีความสุขกับสิ่งที่ทำเยอะๆนะ แล้วคงได้เจอกัน

Anonymous said...

...ชอบcommentข้างบนอ่ะ...
^_^

Anonymous said...

...เหมือนกับที่เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่า ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดกาล...

Anonymous said...

มาช้าเป็นปีอีกแล้วเช่นกัน

ความรักของวชิรานั่นหรือ

เวลาก็พิสูจน์ไปแล้ว

รักกันให้นานนะ

มีผีเน่าไปแล้ว โลงกำลังจะผุตาม

Anonymous said...

ลืมบอกว่ากับกระติก ตะหลิว ค้อน ขวด
มันไม่ได้มีไว้รัก แต่มีไว้ช่วยแก้ขัด
เวลารักไม่ได้กับคนไม่จริง


555


จุ๊บ จุ๊บ จากใจคนที่ไม่คิดหลอมละลายหัวใจนักรัก

Anonymous said...

ฝากบอกเศษกระดูกด้วยว่า
แดงระวีเขาสวยงามหนามคม!!!

ส่วนเธอน่ะ ไปอยู่ในนิยายปรัมปราแม่นาคพระโขนงเหอะเธอ