Monday, July 16, 2007

Rizana Naffeek



เราได้รับอีเมลฉบับหนึ่งจากพี่แป็ด (ระหว่างบรรทัด)
อ่านแล้วน่าสนใจดี เมื่อเช้าตื่นมา
ก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่ว่าจะเป็นอย่างไร ลองอ่านรายละเอียดดู
แล้วอย่าลืมว่า วันที่วันที่ 16 กรกฎาคม!

เรื่องของ “ริซานา” เด็กสาวชาวศรีลังกา ผู้ต้องโทษประหารในซาอุฯ ด้วยคดีฆ่าทารกน้อย

ที่มา

http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?
mod=mod_ptcms&ContentID=8800&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage
=Thai


ประชาไท – 11 ก.ค. 50 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย
(The Asian Human Rights Commission-AHRC)
วอนช่วยส่งจดหมายถึงพ่อของเด็กทารกวัย 4 ขวบ
ที่เสียชีวิตด้วยอาการสำลักน้ำนม ที่ฟ้องเด็กสาวชาวศรีลังกา
ในข้อหาบีบคอเด็กทารก

ริซานา นาฟฟีค ชาวศรีลังกา
ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตที่ซาอุดิอาระเบีย ในข้อหาบีบคอทารกวัย 4 เดือน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียเชื่อว่า โศกนาฎกรรมครั้งนี้
เกิดจากการเลี้ยงดูโดยขาดทักษะ

ริซานา นาฟฟีค เกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2531 เธอมาจากหมู่บ้านที่ยากจน
เนื่องด้วยภัยสงคราม หลายครอบครัวที่นั่น รวมทั้งชุมชนมุสลิม
ต่างส่งลูกหลานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไปทำงานต่างประเทศ
เพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว

บริษัทจัดหางานบางแห่งหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้
ด้วยการรับหางานให้เด็กผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ในการนี้เอง บริษัทจัดหางานได้โกงอายุเด็กเหล่านั้นให้มากกว่าอายุจริง
เพื่อทำพาสปอร์ต

สำหรับริซานา พาสปอร์ตของเธอระบุว่าเกิดเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2525
ซึ่งเข้าเกณฑ์ที่บริษัทจัดหางานจะสามารถหางานในซาอุดิอาระเบียให้เธอได้
โดยเธอเดินทางไปทำงานที่ซาอุดิอาระเบียเมื่อเดือนพ.ค. 2548

เธอได้ทำงานที่บ้านของนายนาอิฟ จิซิยาน คาลาฟ แอล โอไตบิ
ซึ่งมีลูกชายวัยแรกเกิด 1 คน หลังจากเธอเริ่มทำงานได้ไม่นาน
ก็ได้รับมอบหมายให้ป้อนนมทารกวัย 4 เดือน
ริซานาที่ไม่มีทักษะในการดูแลเด็กเล็ก ถูกทิ้งให้ป้อนนมทารกตามลำพัง
ขณะที่เธอป้อนนมอยู่นั้น เด็กชายก็เกิดสำลักนมขึ้นมา
ซึ่งเหตุการณ์นี้มักจะเกิดอยู่บ่อยๆ
ริซานาตกใจมาก ระหว่างที่ตะโกนขอความช่วยเหลือ
เธอก็ใช้มือคลำบริเวณหน้าอก ลำคอและใบหน้าของทารกเพื่อหาทางช่วยเหลือ

เมื่อแม่ของเด็กมาถึง ทารกก็เสียชีวิตแล้ว
และเห็นภาพที่เธอก็ใช้มือคลำบริเวณหน้าอก ลำคอและใบหน้าของทารก
เพื่อหาทางช่วยเหลือ
ด้วยความเข้าใจผิด ทำให้ครอบครัวของเด็กจับเธอส่งตำรวจ
ด้วยข้อหาบีบคอลูกของพวกเขา

ที่สถานีตำรวจ ริซานาถูกจับโดยไม่มีล่ามหรือใครที่จะช่วยอธิบาย
ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอถูกให้เซ็นต์รับสารภาพ จากนั้นมีการยื่นฟ้องเธอ
ด้วยข้อหาฆาตกรรมด้วยการบีบคอ

ครั้งแรกที่ขึ้นศาล ริซานาถูกตำรวจขู่ให้รับสารภาพ ต่อมาเมื่อเธอได้คุย
กับล่ามจากสถานทูตศรีลังกา เธอได้อธิบายด้วยภาษาของตัวเอง
ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากได้ฟังเรื่องราวแล้ว ผู้พิพากษาได้ขอให้พ่อของเด็ก
ใช้สิทธิพิเศษในการยกโทษให้ริซานา แต่พ่อของเด็กก็ปฏิเสธ
ศาลมีคำตัดสินให้ประหารชีวิตเธอโดยการตัดศีรษะในวันที่ 16 ก.ค.ที่จะถึงนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเวลา 1 เดือน สำหรับอุทธรณ์
แต่ก็ยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์ ตัวตั้งตัวตีในการอุทธรณ์ครั้งนี้คือ รัฐบาลศรีลังกา
โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียเข้าใจว่า
สถานทูตศรีลังกาในซาอุดิอาระเบียได้ขอความช่วยเหลือจากบริษัทกฎหมาย
ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 66,666 ดอลล่าร์สหรัฐฯ
ซึ่งสถานทูตสามารถเจรจาแล้วเหลือ 40,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศของศรีลังกาไม่อนุมัติค่าใช้จ่ายใดๆ
ในการดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนสถานทูตศรีลังกาประจำซาอุดิอาระเบีย
ก็ยังไม่ได้รับคำพิพากษาและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี
ซึ่งจำเป็นในการยื่นอุทธรณ์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตามกฎหมายของซาอุดิอาระเบีย ครอบครัวของผู้เสียหายมีสิทธิพิเศษ
ในการยกโทษให้แก่ผู้กระทำผิด นั่นคือ ครอบครัวของทารก
สามารถยกโทษให้ริซานาได้ ซึ่งจะทำให้การลดโทษมีผลตามกฎหมาย
ของซาอุดิอาระเบีย

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย เห็นว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นโศกนาฎกรรม
ไม่ใช่อาชญากรรม และไม่มีการระบุถึงความขัดแย้งระหว่างพี่เลี้ยง
และครอบครัวของเด็กที่เสียชีวิต ซึ่งถ้าหากมีความขัดแย้งกัน
ครอบครัวของเด็กก็คงไม่ให้เด็กอยู่ในดูแลของเธอ

การขาดทักษะและอุปสรรคทางการสื่อสารเนื่องจากปัญหาด้านภาษา
นำมาซึ่งเหตุการณ์น่าเศร้าที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาชญากรรม

ดังนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย จึงเชิญชวนให้ส่ง
จดหมายถึงพ่อของเด็กที่เสียชีวิตเพื่อขอให้ให้อภัยแก่ริซานา
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นการคุกคามครอบครัวดังกล่าว
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ได้ขอให้ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือริซานา
ส่งจดหมายโดยผ่านทางสถานทูตศรีลังกา

อนึ่ง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ได้ร่างจดหมายไว้แล้ว
ผู้ที่ต้องการสนับสนุนการอุทธรณ์ครั้งนี้
สามารถคลิกที่แบนเนอร์เพื่อร่วมลงชื่อได้
คลิกส่งจดหมายได้ที่นี่ http://www.ahrchk.net/ua/support.php?ua=UP-097-2007

สำหรับเนื้อหาในจดหมายนั้น ได้แสดงความเสียใจกับการสูญเสียลูกชาย
ของครอบครัวโอไตบิ และขอความเห็นใจจากหัวหน้าครอบครัวดังกล่าว
เพื่อให้ยกโทษให้ริซานา ที่กำลังจะถูกประหารชีวิตในวันจันทร์ที่จะถึงนี้
(16 ก.ค.)โดยอธิบายถึงการจากไปของเด็กชายวัย 4 เดือนว่า
เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการขาดทักษะในการดูแลเด็ก

เรียบเรียงจาก Update on Urgent Appeal: Your urgent intervention is needed to save Rizana Naffeek who must appeal against the death sentence before 16 July 2007

รูปภาพจาก
http://z.about.com/d/afroamhistory/1/7/l/3/execution.jpg
(รูปภาพนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด)

14 comments:

Anonymous said...

วันนี้วันที่16 ก.ค.งั้นก็ไม่ทันสิ-ตัดคอเลยเหรอ
ถ้าเป็นตัวเองก็คงป้อนนมเด็กเล็กๆไม่เป็น
คงจะตกใจแล้วก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
อยู่ในท่ามกลางคนแปลกหน้า--กับสถานการณ์อย่างนั้น
แค่คิดก็อึดอัดจุกไปถึงไหนๆ

การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมาก--ไม่ใช่แค่เสียงที่พูด
--แต่หมายถึงการรับรู้--ถึงความมีอยู่ของใครสักคน

หรือ"ค่า"ของคนเราไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าเรายืนมองจากมุมไหนมุมพ่อแแม่เด็ก--มุมพ่อแม่น้องริซานา--มุมของเพื่อนร่วมโลก

แต่น่าจะไปสอยบริษัทจัดหางานด้วยนะ--ตัวดีเลยน่ะ

ขอบคุณพี่ชายสำหรับเรื่องดีๆ

Anonymous said...

อ้อ--รูปน่ากลัวอ่ะ

Anonymous said...

ถึงจะเป็นภาพเดียวกัน
แต่
เราก็มองต่างกัน

ถึงจะอยู่ในบริบทเดียวกัน
แต่
เราก็รู้สึกต่างกัน

...
เราจะมองความต่างนี้ยังไง ให้มันไม่ใช่ปัญหา
ก่อนจะลุกลามเป็นเรื่องราวใหญ่โต

"ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆหายใจออกยาวๆ" คำพูดของใครบางคน แว่วๆขึ้นมาในหัวแม้จะได้ยินมานานแล้ว อาจช่วยได้บ้างในสถานการณ์แบบนี้(แบบโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ จนเข้าใจผิด!)

การได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาซ้ำๆมิใช่เป็นเรื่องเสียเวลาเลย จริงมั้ย?

จากโศกนาตกรรมกระตุ้นต่อมความคิดระดับโลก
หวังว่าคงจะ'สะกิดใจ' ใครหลายๆคนที่มีโอกาสอ่านบทความฉบับนี้

แม้เราจะสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองจากความผิดพลาดสักแค่ไหน
แม้บางคนพร่ำบอกว่าเป็นผู้เลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเองเสมอมา
แต่ 'ความผิดพลาด' มันไม่ได้ส่งข้อความมาบอกคุณล่วงหน้า ให้คุณเตรียมรับมือกับมันใช่มั้ย

ไม่มีทาง!

...

Anonymous said...

Someone once said to me that 'life isn't always fair', and therefore we better make good use of the life that we have so that it will become something worthwhile.

Rizana held on to what she believed was the best she could do, at that time, at that point where no instructions were given.

Who would have known that by trying to save someone else's life... she would ended up loosing her own.

All together, she did her best.

As for the family...
Perhaps we should try and put ourselves in their position. A life is lost, a devastation, sorrow and grief. It might have been the 'pain' and 'anger' that have caused their unsympathised desicion.

What would you have done?

realistically...

All together, it's simply the act of what they thought was the best for them.

Look at it from another perspective...

Whose fault would it be?

Could you really blame the girl for trying to save the baby, or would you rather blame the family's great pain because they have lost their beloved baby?


a mistake made is a lesson learned.
let's hope we would never have to sacrifice lives, to learn another lesson.

G'xx

p.s haven't visited you little diary for a while, seems like there're so much i need to catch up on!
I hope your 'music listening appreciation party' went well, cuz...... Harry Potter was bloody brilliant!

:-P

Anonymous said...

ถ้าพูดตามภาษาบ้านๆ ออกแนวปลงตกกับความเสื่อมของสังคม
(แบบไม่ต้องปรุงแต่งคำให้สละสลวยเลย(นะ))

เห็นจะไม่เกินคำนี้

(เจ๊) ริซานา 'โค ต-ร ซวย เลย'(หวะ)

จบ(ข่าว)
แบบตลกขื่น
...

^^ --'

Anonymous said...

ฟังแล้ว น่าเศร้ามาก...
เผอิญ เข้ามาอ่านช้าไปหน่อย...
เฮ้อออออออออออ .............

(T,T)

jao เองนะ

Anonymous said...

แล้วตกลงน้องคนนั้นเค้าโดนประหารหรือป่าว ?

บางทีสิ่งที่เห้น อาจไม่ใช่สิ่งที่เห็น :(

Anonymous said...

นะ ... สะเทือนใจ

Anonymous said...

ถ้าใครว่างๆ หาข่าวมาเพิ่มเติมก็ดีนะ
จะได้เอามาแบ่งกันอ่าน
อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องราวจริงๆ จะเป็นยังไง
ทั้งก่อนหน้าวันที่ 16 และหลังจากนั้น

Anonymous said...

ขออนุญาตถามความคิดเห็นได้มั้ย?

เกี่ยวกับรูปนี้
(รูปการถูกประหารชีวิต)
เมื่อช่างภาพถ่ายภาพนี้ และภาพนี้ได้มีโอกาสแพร่ไปยังสายตาสาธารณชนโลก

...
สะดวกตอบได้-ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรนะ

Anonymous said...

ตอนนี้ Rizana Naffeek
ยังมีชีวิตอยู่
มีการยื่นอุทธรณ์ทันเวลา
อันนี้คือ ข่าวล่าสุดของเธอ

http://www.ahrchk.net/ahrc-in-news/mainfile.php/2007ahrcinnews/1277/

เท่าที่ตามข่าวมา พ่อแม่ของ Rizana Naffeek
ได้ไปที่ซาอุ ฯ แล้วด้วย (ด้วยความช่วยเหลือของNGO ระหว่างประเทศ พ่อแม่ของเธอเป็นคนตัดไม้ที่ยากจนในศรีลังกา ) เพื่อขอความเห็นใจจากศาลซาอุ ตอนนี้ชีวิตของสาวน้อยอยู่ในมือของทนาย และความช่วยเหลือจากองค์กระหว่งประเทศ

Anonymous said...

ตอนนี้ Rizana Naffeek
ยังมีชีวิตอยู่
มีการยื่นอุทธรณ์ทันเวลา
อันนี้คือ ข่าวล่าสุดของเธอ

http://www.ahrchk.net/ahrc-in-news/mainfile.php/2007ahrcinnews/1277/

เท่าที่ตามข่าวมา พ่อแม่ของ Rizana Naffeek
ได้ไปที่ซาอุ ฯ แล้วด้วย (ด้วยความช่วยเหลือของNGO ระหว่างประเทศ พ่อแม่ของเธอเป็นคนตัดไม้ที่ยากจนในศรีลังกา ) เพื่อขอความเห็นใจจาก
ศาลซาอุ ฯ
ตอนนี้ชีวิตของสาวน้อยอยู่ในมือของทนาย ความช่วยเหลือจากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และศาลซาอุดิอาระเบีย

Anonymous said...

ขอบคุณพี่แป๊ดมากครับ ^^

Ev'ning ShadoW~giB* said...

โิอย ... เห็นรูปแล้วหดหู่ เหลือเกิน -*-

Cheers,
Ev'ning ShadoW~giB*