Thursday, October 11, 2007

ทะลุหูขวา (5) : essay: ระหว่างสองสิ่งและทั้งหมด

ทะลุหูขวา
text and artwork by วชิรา

ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร HIP ฉบับเดือนกันยายน 2550

{essay}
ระหว่างสองสิ่งและทั้งหมด

เวลาที่ว่างจากการทำงานและเที่ยวเตร่ ผมมีความคิดว่า

เราไม่ควรใช้ช่วงเวลาน้อยนิดนั้นเพื่อการทำงานและเที่ยวเตร่ซ้ำอีก
จึงพยายามใช้โอกาสนั้นหยุดพัก ครุ่นคิด ตรึกตรอง
ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปในชีวิตของตัวเอง
(เพราะผมมีความคิดอีกเช่นกันว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ
ที่เราควรใช้เวลาอันมีค่านั้นเพื่อการคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
และเป็นไปในชีวิตของคนอื่น อันมักนำมาซึ่งความสาแก่ใจส่วนตัวเป็นที่ตั้ง)

เมื่อมีโอกาสหยุดคิด ผมจึงพบว่าช่วงชีวิตหนึ่งๆ ของคนเรานั้น
ถ้าไม่เกียจคร้านเกินไปจนไม่เคยกระดิกตัวทำอะไร
หรือปฏิสัมพันธ์กับใครหน้าไหนเลย
ก็มักจะประกอบด้วยเรื่องราวต่างๆ นานาที่ตกค้างอยู่ในใจ
ทั้งที่ก่อขึ้นมาเองและมีผู้อื่นมาช่วยก่อให้

เหตุที่ก่อให้เรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้น ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว
แต่ ‘สิ่งตกค้าง’ ยังคงอยู่
........

วิธีสลายสิ่งตกค้างนั้นก็ไม่ยาก คุณก็แค่บอกตัวเองว่า ‘ลืมมันซะ’
แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น-ผมเคยได้ยินใครสักคนเปรยให้ฟัง พลางหัวร่อออกมาดังๆ
คงตลกพิลึก ถ้าเราสามารถทำอย่างนั้นได้จริง
จินตนาการคล้ายสองมือกลายสภาพเป็นยางลบ
เมื่อยกขึ้นถูหัวสามครั้ง ความทรงจำทั้งหลายทั้งปวงที่เราไม่ต้องการก็จะเลือนลับ
หายวับ

แน่ละ! ฉันจะลบความทรงจำเลวร้ายออกไปให้หมด
คิดถึงแต่เรื่องดีๆ คิดแต่เรื่องที่สวยๆ งามๆ
เรื่องที่ทำให้ฉันยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง เรื่องแบบนั้นฉันจะไม่ลบ

ผมคิดเอาเองว่ามันไม่ยุติธรรม-กับ ‘ชีวิต’

จริงอยู่ อาจมีบางท่านชื่นชอบ หลงใหล คลั่งไคล้
ให้ตัวเองเจ็บปวดรวดร้าว-นั้นก็เป็นเรื่องและสิทธิของเขา
พอกับที่หลายๆ ท่าน ตื่นเต้น ฮึกเหิม ซาบซ่าน
มีความหวังให้ตัวเองได้พบประสบแต่ความสุขความเจริญ
ซึ่งก็เป็นเรื่องและสิทธิของเขาอีกเช่นกัน

โดยส่วนตัว, ผมสนใจการ ‘เลือกรับ’ ประสบการณ์
พอๆ กับผลลัพธ์ของมัน
หมายความว่านอกเหนือจากความสุขทุกข์ในชีวิต
ผมยังสนใจว่าทำไมเราจึงต้องพยายามลืมความทุกข์
และจดจำแต่ความสุขที่เกิดขึ้นเท่านั้น

ชีวิตที่มีแต่ความสุข เป็นชีวิตที่ดีจริงหรือ?

ในยามที่ร่างกายมีบาดแผล เราต่างร้อนรนพยายามหาทางรักษา
วิ่งหาหยูกยา เราเดินหน้าเข้าหาบาดแผล ไม่ใช่วิ่งหนี
การพยายามห่างหนี ไม่น่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้น

เช่นเดียวกับการกล่าวโทษสิ่งอื่นและคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา

ชีวิตที่มีแต่บาดแผล ไม่น่าจะใช่ชีวิตที่ดีแน่ๆ -ผมคิด

แต่ที่หนักหน่วงกว่าบาดแผล คือการที่เราไม่สามารถกดปุ่ม
ลบความทรงจำทิ้งไปได้ (ใครๆ ก็รู้) การคร่ำครวญหวนไห้
ถึงแต่ความโศกเศร้าที่ผ่านมานั้น จึงหาเหตุผลมารองรับได้ยากเย็น
โดยเฉพาะในยามที่กำลังพยายามใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
อย่างที่ผมกำลังพยายามทำอยู่นี้

บวกลบคูณหารแล้ว ผมจึงเลือกที่จะไม่ลบ

หนำซ้ำยังยังพยายามพยายามปลุกให้ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น
เดินทางย้อนเวลากลับมาช้าๆ ชัดๆ พยายามทะนุถนอมมัน
ราวกับทำด้วยวัสดุเปราะบางอันมีค่า
ให้เวลากับการนึกคิดโดยไม่นึกเสียดาย
หลายเรื่องรายละเอียดยังชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ถ้าจำเป็นต้องเลือกระหว่างสองสิ่ง
มีความเป็นไปได้มากว่าผมจะขอเลือกทั้งหมด
ชีวิตที่มีแต่ด้านดีและสวยงามไปตลอดรอดฝั่ง
ไม่น่าจะเป็นชีวิตที่ดี

เพราะในท่ามกลางความโศกเศร้า ผมมองเห็นความงดงาม
และเผลอเรียกมันว่า ชีวิต

7 comments:

Anonymous said...

ก่อนอื่นผมขอ แนะนำตัวนิดนึงนะคับ ผมเป็นคนเชียงใหม่ และ เคยไปที่ขันอาษาแต่ไม่บ่อยนัก ที่ผ่านมาเป็นคนชอบสนุก แต่ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงที่แวบนึ่งก็จะมานั่งคิดอะไรเล็กน้อยๆในชีวิตที่ผ่านมาในแต่ละวัน ว่า วันนี้เราทำอะไรให้ใครได้เสียความรู้สึกโดยที่เราไม่รูตัวไปบ้าง ถ้าแก้ไขได้ก็แก้แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็ช่างมันเถอะไว้ค่อยเริ่มใหม่พรุ้งนี้
บทความนี้เป็นบทความที่พูดถึงแง่คิดในชีวิต เล็กๆน้อยที่เราทุกคนนำไปใช้ได้ และ ผมขอชื่นชมในบทคสามนี้นะครับ K.วชิรา natirat_nay@hotmail.com

Anonymous said...

เหมือนกับเรามีปัญหาแล้วเราหนีมันไปที่อื่น โดยก็รู้วิธีจัดการปัญหานั้นแล้วแต่เราไม่ทำไม่รักษาแผล เลือกที่จะหนีเพื่อที่จะไปที่ใหม่เพราะไม่อยากรักษากลัวเจ็บ โดยที่ไม่รู้ว่าเลยที่ใหม่นั่น อาจจะสร้างบาดแผลให้เราได้เหมือนกัน และปล่อยแผลเดิมไว้จนลุกลามไปบั่นทอนส่วนอื่นๆ
และที่สำคัญเราลบอะไรให้สนิทไม่ได้ด้วยไม่ใช่หรือ อย่างเวลาลบคำผิดกับยางลบ มันก็ยังคงเหลือร่องรอยบางๆ ให้เห็นอยู่ดี ใช่ไหม?


ชีวิตที่ดีเกินไป มันก็น่าเบื่อนะ
ก็ชีวิตมีไว้ใช้ นี่นา


^^

Anonymous said...

พี่...
ความสุขมันประเดี๋ยวประด๋าว
เหมือนขนมหวาน
กินแล้วบางทีอ้วน..บางทีฟันผุ..
ความทุกข์เหมือนยาขม
ขม..
ไม่อร่อยแต่บางทีก็ช่วยเยียวยาเราจากสิ่งร้ายๆ
--
ไม่ควรเลือกกินอย่างใดอย่างหนึ่ง
--
ตามหลักการแล้วต้องยินดีกับความสุข..
ที่พร้อมจะหลุดลอยไปทุกเมื่อ
และก็ยินดียกเก้าอี้ให้ความทุกข์นั่งในบางที
(แม้บางครั้งจะ..เฮ้ย!นั่งนานไปแล้วนะ)..
ทุกข์สุขควรอยู่คู่กัน--ชีวิตถึงจะมีชีวา
คิดว่างั้นนะ

Anonymous said...

Someword is easy to say, sometime-somehow is very hard to do.
Especially,keep something precious one as poor treater!
...
i always concentrate somethin' s attention with carefully.
btw,I'm overwhelmed with graditude and misunderstand.
Keep onward on myway, met them up on somewhere as a perfect day.
Coz i know nothing of magic have power of fade waste out.

Anonymous said...

การมีโอกาสได้นั่งทบทวนความคิดของเราบ่อยๆ เป็นเรื่องดีนะครับ แต่อาจจะต้องระวังไม่ให้หมกมุ่น
เดี๋ยวจะกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำอยู่นั่น (เป็นบ่อย *_*)

เอาว่าถ้ารักษาทุกอย่างให้สมดุลย์ได้ ก็น่าจะดีเยี่ยม
คนโบราณเก่งมาก คิดเรื่องแบบนี้ได้ตั้งนานแล้ว

Anonymous said...

You need the longest standing ovation from me by the things you wrote, rang me a bell to a lot of things...

:)

Anonymous said...

thank you ^^