Sunday, March 18, 2007

ใครขโมยภูเขาของเขาไป?



1
ช่วงสองสัปดาห์ก่อน เวลาไปไหนมาไหนเห็นคนใส่ผ้าปิดปากปิดจมูกกันทั่วเมืองเชียงใหม่ มลพิษหมอกควันทางอากาศทำให้แสบตา หายใจขัดบทสนทนาทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ "เออ เออ...เดี๋ยวค่อยคุยกัน พี่ขี่จักรยานตามหาดอยสุเทพอยู่..."
หรือ "เฮ้อ...เดี่ยวเย็นนี้ว่าจะขับรถออกไปข้างนอกหน่อย
ไม่รู้ใครขโมยภูเขาของ เราไป..."

ฟังดูเหมือนมุขตลกไปตามสถานการณ์บนพื้นฐานอารมณ์ขันแต่เอาเข้าจริงมันไม่ตลกเท่าไหร่นัก การหายไปของภูเขา (ของพวกเขา) 'เป็นเรื่อง' มากกว่าปกติธรรมดา

2
รู้กันทั่วว่าควันที่คลุมเมืองอยู่ตอนนี้มีที่มาจากไฟป่า
แต่ที่ไม่รู้คือถ้าควันมากมายขนาดทำให้ภูเขาเลือนหายไปได้ทั้งลูก
ปริมาณของป่าที่ถูกเผาเสียหายไปจะมากมายขนาดไหน

บทความพิเศษชื่อ เชียงใหม่: เมืองในหมอกควัน เขียนโดยธเนศวร์ เจริญเมือง
ใน 'พลเมืองเหนือรายสัปดาห์' บอกว่า กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ปรากฏการณ์นี้
คือผลผวงของการกระทำสองระดับบนโลก คือ

หนึ่ง ภาวะโลกร้อนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านดินฟ้าอากาศมากมายในแทบทุกประเทศ หิมะละลาย พายุรุนแรง ภัยหนาวจัด อากาศอุ่นเร็วผิดปกติ ฝนตกน้ำท่วม ฯลฯ

สอง คือระดับท้องถิ่นเชียงใหม่เอง การเผาป่า เผาใบไม้ กิ่งไม้และขยะ อาหาร
ปิ้งย่าง การจุดประทัดปล่อยโคม พลุไฟ งานเผาศพกลางแจ้ง การไม่ดับเครื่องรถยนต์ ฯลฯ

มองเผินๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ทั่วไป บางเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าจะสนใจหรือบางเรื่องอาจดูว่าไกลตัวเกินไป
แต่ในความเป็นจริง ไฟป่ากลับไม่ใช่ลำพังเรื่องของคนในป่าอีกต่อไป
ไฟป่า ถ้าไม่เกิดขึ้นเองก็คงต้องมีคนทำถ้าเกิดขึ้นเอง ก็น่าจะมีวิธีป้องกัน หรือควบคุมไม่ให้ลุกลามใหญ่โต (ฟังดูไม่น่าจะยากกว่าการโกงสนามบินหรือส่งดาวเทียมไปโคจรนอกโลก)ถ้าคนทำให้เกิด ก็น่าจะมีวิธีให้ความรู้แนะนำ จัดการ และอำนวยความเข้าใจ(เราอำนวยกันแต่ 'ความสะดวก' กันมาพอแล้วมั้ง?)

ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่น่าจะเป็นภาระของใครคนใดคนหนึ่งแต่ต้องช่วยกัน
และรอช้าไม่ได้
เริ่มจากกิจวัตรประจำวัน เริ่มจากพยายามใช้ถุงพลาสติกให้น้อยลงก่อนก็ได้
เวลาไปซื้อของก็พยายามพกถุงผ้าไปด้วยใครที่สะพายกระเป๋าอยู่แล้ว
ก็ไม่ต้องใส่ถุงพลาสติกซ้ำอีก หรือถ้าจำเป็นจริงๆ
ก็พยายามใส่รวมๆ ในถุงเดียวกันจะดีกว่า

3
อ่านเจอใน way ของคุณพี่อธิคม ฉบับล่าสุด (ฉบับที่ 6 ปกเฉียบขาดมาก!)
ว่า IKEA-สินค้าแต่งบ้านจากสวีเดน (ลือกันมานานแล้วว่ากำลังจะเข้ามาบ้านเรา)
ออกมาประกาศว่าจะเริ่มเก็บเงินค่าถุงพลาสติกในละ 5 เซนต์ ใน 29 สาขาทั่วสหรัฐ เขาชี้แจงว่าเงินค่าถุงที่เก็บมานี้จะนำเอาไปสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปปลูกต้นไม้ ฟื้นฟูป่าและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะปีที่แล้ว สาขาของ IKEA ในสหรัฐใช้ถุงพลาสติกไปถึง 70 ล้านใบ

แม้ความพยายามลดการใช้ถุงนี้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับเมื่อปี 48 ที่คนอเมริกันร่วมกันทิ้งถุง บรรจุภัณฑ์ หรือหีบห่อต่างๆกว่า 4.4 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 5.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีการรีไซเคิล

แต่ก็ถือว่าเป็นความพยายามที่ดี

4
วันนี้เชียงใหม่ยังแสบตาและหายใจขัดอยู่
น่าเห็นใจคนที่ต้องทำงานนอกอาคารอย่างไม่มีทางเลี่ยง
ภูเขาของพวกเขาไม่ได้หายไปไหนแต่อยู่ตรงนั้น ตรงที่ไม่มีใครมองเห็น
ถ้าจะมีใครขโมยภูเขาของเขาไปจริงๆ
ก็อาจเป็นทั้งเขาและเรานั่นเอง


ขอบคุณ พลเมืองเหนือรายสัปดาห์ www.northerncitizen.org
และนิตยสาร way

21 comments:

Anonymous said...

ตอนอยู่ในเมืองมองไม่เห็นดอยสุเทพ
ได้ขึ้นไปบนดอยสุเทพมองลงมาไม่เห็นเมืองเชียงใหม่..

ถ้าทุกคนยังไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ต่อไปอาจจะมองไม่เห็น..โลก

: (

Anonymous said...

Seen this?
www.theinconvenienttruth.co.uk
by Al Gore

but if you really hate Al Gore,
(some people do)..

A British Documentary by Martin Durkin claimed:
'if the planet is heating up, it isn't your fault and there's nothing you can do about it.'


This might make you more happy about your 'good'self:

http://www.channel4.com/science/
microsites/G/great_global_warming_swindle/
index.html


*you might wanna weigh things out a little...

G*
^-^

Anonymous said...

"สสาร" ไม่มีวันสูญสลาย หายไปจากโลก
...เพียงแค่มันย้ายที่อยู่ หรือ เปลี่ยนแปลงสถานะ


"ภูเขา" ของพวกเขา รวมทั้งเรา ไม่ได้หายไป
...เพียงแค่มันเปลี่ยนแปลงสถานะกลายเป็นไอ...หมอก...และควัน


แต่ดูท่าจะเป็นไปไม่ได้ หากจะพยายามทำให้ ไอ หมอก และควัน เหล่านั้น กลับมาเป็น ภูเขา ดังเดิม

banana said...

ฟังดูแล้ว มันน่าใจหายนะ ... เชียงใหม่ไม่น่ารักเหมือนเดิมแล้ว

Anonymous said...

พี่ดีเจ-นักเขียน
คิดเอาเองว่าปัญหาใหญ่ๆทั้งหลายบนโลก น่าจะเริ่มแก้จากการเห็นแก่ตัวให้มันน้อยๆลงหน่อย
อ่านบทความของคุณเนาวรัตน์ ในมติชนฉ.ก่อน เรื่องงูเหลือมจอมเขมือบที่ตะกละกินกวางหรืออะไรสักอย่างเข้าไปทั้งตัว...นอนรอย่อย หนังท้องตึง..อยู่แถวกอไผ่..พอไผ่แตกหน่อ..ออกมา..แทงซะท้องทะลุ..
สมน้ำหน้าตะกละดีนัก ซ่านักนะไอ้เหลือม
ท่านว่า..ปล้องไผ่ในทางศาสนา..แทน อนัตตา..ความไม่มี..ความว่างเปล่า..อะไรทำนองนั้น...เจ๋งมาก..

มันอาจจะเป็นข้อมูลช่วยพี่และชาวเชียงใหม่ตามหา "เขา" ที่หายไปได้

แล้ว..หมอกควันหายไปหรือยัง..เป็นห่วง..อยู่บ้าง
ขอบคุณที่ช่วยบอกคุณไทวิจิตรให้ พี่แกเท่มากในสายตาคนรุ่นหลัง..กรี๊ด..ไปสามบ้านแปดบ้านเลยล่ะ
HA!

Anonymous said...

ไม่รู้จะเรียกว่าบังเอิญดีหรือเปล่านะพี่ พอดีเพิ่งไปซื้อดีวีดี An Inconvenience Truth มาดูอีกรอบและตั้งใจจะเขียนถึงเรื่องอะไรประมาณนี้ขึ้นบลอกไว้เหมือนกัน

ว่าแต่อากาศที่เชียงใหม่เป็นอย่างไรบ้าง ได้เอาผ้าปิดปากจมูกบ้างหรือเปล่า

Anonymous said...

ได้คุยกับเพื่อนของเพื่อนที่เป็นคุณหมอ
เขาก็ว่าผ้าปิดจมูกไม่ช่วยอะไรนัก
ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปอยู่ที่โล่ง
หรือยังไม่ควรออกกำลังกายในที่กว้าง
เพราะแทนที่จะมีประโยชน์ จะกลายเป็นโทษ

ดู An Inconvenient Truth แล้ว
ตอนนั้นที่มาฉายที่สกาล่า
น่าสนใจมาก (ดูเสร็จยังคิดจะติดต่อไปฉายที่เชียงใหม่อยู่เลย แต่บังเอิญว่าหนังมีโปรแกรมเข้าที่นั่นอยู่แล้ว) เคยถกเถียงกับเพื่อนที่อยู่อเมริกาจนเกือบถึงขั้นทะเลาะ (ตอนนั้นเข้าใจเลยว่า ทำไมเรื่องการเมือง ศาสนา ถึงห้ามคุยกัน เพราะมันชวนให้ขาดสติได้ง่ายเหลือเกิน) แต่โชคดีที่เข้าใจกันทั้งคู่ เลยเข้าใจได้ว่าคิดไม่เหมือนกันก็ถกเถียงแลกเปลี่ยนกันได้ เพื่อนเราเขาเชื่อว่าหนังเรื่องนั้นเป็นการเมืองของคุณกอร์ ที่มีหน้าที่ทำให้ทุกคนเกลียดบุช แต่เราไม่ได้คิดตรงนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นการเมืองของใคร ถ้าโลกร้อน ก็หมายความว่ามันร้อนจริงๆ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องว่าใครเป็นประธานาธิบดี ฉะนั้นถ้าข้อมูลในหนังเป็นความจริง หรืออย่างน้อยมีเค้าโครงจริง ก็น่าวิตกกังวล

แต่กังวลอย่างเดียวคงไม่พอ
ถึงเวลาต้องลงมือ

thx G' ^^

ปล ชื่อคุณ ไทวิจิต ไม่มี ร.เรือ เน้อ (",)

Anonymous said...

ลืม
ลองเข้าไปดูที่นี่เพิ่มเติมได้เน้อ
http://www.climatecrisis.net/

Anonymous said...

เข้ามาหน้านี้หลายวัน เเต่ไม่รู้จะเขียนคอมเมนท์อะไร

วิเคราะห์ตัวเองว่าทำไมถึงไม่อยากเขียนอะไร อาจเป็นเพราะไม่มีความรู้ด้านนี้ ไม่มีความสนใจ ได้เเต่ตื่นตระหนกเเล้วนำความนี้เข้าไปอยู่ในหัวสมอง เเล้วก็รอวันให้เราลืมมันไปอย่างง่ายดาย

คงเป็นเหตุผลที่เพื่อนเราหลายคน เวลาพูดถึงสิ่งเเวดล้อมก็ตกใจเเละสนใจ เเต่หลังจากนั้นก็ "ช่างมันเถอะ เราคงทำอะไรไม่ได้มาก" หรือว่า "เเย่จังเนาะ...หิวเเล้วว่ะ ไปกินข้าวดีกว่า"

เคยคุยกับเพื่อนว่าทำไมพวกนิยายโลกอนาคตถึงไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลย (ไม่สงครามโลกครั้งที่สามก็โรคระบาดหรืออุกกาบาตถล่ม)เเต่ยิ่งเวลาเดินหน้าไปเตือนสติว่าสิ่งที่นักเขียนเคยทำนายไว้เล่นๆ (บางคนก็ทำนายจนเป็นเรื่องจริง) กำลังจะเป็นเรื่องไม่เล่นสำหรับพวกเราทุกคนเเล้ว

บางทีเรื่องพวกนี้ การมองโลกในเเง่ดี อาจไม่ช่วยอะไร มีเเต่การลงมือทำเท่านั้นที่จะช่วยได้

ปล.ตอนขึ้นไปดอยสุเทพเเล้วมองลงมาข้างล่าง มองไม่เห็นเมืองเชียงใหม่เลย คิดว่าคงไม่ใช่เเค่คนเชียงใหม่หรอกที่คิดถึงภูเขา พี่ภูเขาเองก็คงคิดถึงคนข้างล่างเหมือนกัน

เเต่จะทำยังไงในเมื่อคนข้างล่างกลับทำร้ายเขาเเทบทุกวัน...

Anonymous said...

ตอนที่ดู An Inconvenience Truth ก็คิดอยู่นิดๆ เหมือนกันว่าเป็นหนังการเมือง เพียงแต่ประเด็นทางการเมืองที่ว่ามันกระเทือนมาถึงเมืองไทย จะให้นิ่งเฉยไว้ก็กระไรอยู่ เราอยู่เมืองไทยไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเมืองที่นู่น ดูไว้เฉพาะเรื่องโลกร้อนก็พอ

แม้จะมีเจตนาแอบแฝงทางการเมือง แต่ถ้ามันทำให้ใครต่อหลายใครสนใจจะลดอุณหภูมิของโลกเสียบ้าง(อย่าง ikea ที่พี่เขียนถึง)ก็เป็นเรื่องน่าชมเชยนะ

อย่างน้อยตอนนี้คิมก็พยายามจะเดินไปไหนมาไหนใกล้ๆ แทนที่จะใช้มอเตอร์ไซด์อย่างเก่า หนึ่งคือออกกำลังกาย อีกหนึ่งก็ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ซักนิดยังดีกว่าไม่ทำอะไร

ปล. หลายคนแซวว่าเดินเพราะตั้งใจลดอุณหภูมิโลกหรือลดความอ้วนตัวเอง

Anonymous said...

ตกลงเชียงใหม่ จะยังได้ชื่อว่า เชียงใหม่เมืองน่าอยู่อีกรึเปล่าอะ หรือว่าต้องเปลี่ยนเป็น เมืองสามหมอก 2..?

Anonymous said...

เสียดายเนอะ T^T

Anonymous said...

บลอกนี้มีเรื่องให้ตอบเยอะจังแฮะ
แถมมีคนมาตอบดีๆ ด้วย ดีจริง

เรื่องโลกร้อน
ได้ยินคนเค้าตื่นกันมาตั้งแต่ตอนมาญี่ปุ่นใหม่ๆ
ที่นี่คนเค้าค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ อาจเป็นเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผลิตก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะนี้มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
และอีกอย่าง อาจเพราะเป็นประเทศหมู่เกาะ ที่ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกะเปลือกโลกอันแสนบอบบางแล้วเนี่ย มันชวนให้จินตนาการไปถึงเหตุการณ์หวาดเสียวได้ไม่ยาก (เหมือนหนังและหนังสือไซน์ไฟเรื่อง Japan sinks และมีพาโลดี้อีกเรื่องคือ Everyone But Japan Sinks ไม่รู้มีที่ไทยรึเปล่านะ หนังเมื่อไม่นานมานี้เอง)

อาจจะเคยได้ยินเรื่อง Kyoto Protocol ที่เป็นการลงนามเรื่องการกำจัดผลกระทบจากอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนของบรรดาประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย แต่แล้วอเมริกาก็กลับลำไม่ยอมลงนามซะงั้น
คงเพราะเรื่องนี้ด้วย ที่ทำให้คนญี่ปุ่นตื่นตัวเรือ่งการรักษาสภาพแวดล้อมขึ้นเยอะ ตั้งแต่การกำจัดขยะที่ทำเป็นระบบขึ้นอีก (จริงๆ ก็ทำมานานแล้ว) แล้วซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่ก็จะให้พอยน์พิเศษ หรือคืนเงินให้กับคนที่ไม่เอาถุงพลาสติก บางที่ก็มีถังใหญ่ๆ ให้คนเอาพวกขวดพลาสติกมาทิ้ง กระดาษที่เราใช้ในโรงเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นกระดาษรีไซเคิลซะเยอะ
แต่ยังไง สังคมสำเร็จรูปของประเทศนี้ก็ยังผลิตขยะ ควันเสีย และมลพิษออกมามากเหลือเกิน

เมื่อสองปีก่อนโรงเรียนเคยพาไปดูศูนย์ศึกษาภาวะโลกร้อน ในจุดที่เค้าให้ความรู้และมีจุดประสงค์จะปลูกฝังให้คนรู้ถึงความอันตรายที่เราเจอกันอยู่ ตอนวันที่ไปก็ออกจะตื่นเต้น และคุยกับเพื่อนว่าเฮ้ย..เราควรจะคิดถึงโลกให้มากๆ กว่านี้เนอะ
แต่พอตอนนี้มานึกแล้ว ก็ดูเป็นเรื่องที่ผ่านไปนานเลยเกิน และลองถามตัวเองว่าได้ทำอะไรที่ช่วยโลกจริงๆ จังๆ บ้างรึยัง ก็มีแค่นิดๆ หน่อยๆ และยังช่วยบริโภคสินค้าเกินจำเป็น ที่จะไปช่วยสนับสนุนขบวนการผลิตขยะมากขึ้นอีก

ตอนอยู่ม.ต้น เคยเรียนภาษาอังกฤษกับอาจารย์ชาวอเมริกันคนหนึ่ง จารย์เค้าแก่แล้ว เที่ยวมามาก เห็นโลกมามาก แล้วก็เป็นพวกรักษ์สิ่งแวดล้อมมากๆ บ่นให้เราฟังเรื่อยเรื่องนิสัยมักง่ายของคนไทย แล้วก็พยายามจะเอาหนังสือเรียนภาษาที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาให้เราอ่าน เป็นคนแรกๆ ที่ทำให้เราได้รู้ว่า การเอาตะกร้าไปจ่ายตลาดเนี่ย มันช่วยโลกได้

วิชาที่เราเรียนที่โรงเรียนตอนนี้ มันก็มีสอนเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเยอะ แล้วเวลาต้องพรีเซนเทชั่น เราก็พยายามจะทำเรื่องที่มันเกี่ยวกับประเทศกำลังพัฒนา หรือเรื่องเมืองไทย อย่างน้อยๆ เราก็คิดว่า เรื่องที่เราเอามาพูด จะทำให้เด็กในประเทศที่พัฒนาแล้วเค้าได้นึกได้ว่า ยังมีโลกอื่นที่เค้าไม่รู้จัก และสิ่งที่เค้าทำอยู่มันไม่ได้กระทบแค่ในโลกของเค้าเพียงอย่างเดียว

ตอนไปทัศนศึกษาที่โอกินาว่า (ต้องหาหัวข้อมาทำวิจัยเล็กๆ ด้วย) เราก็ไปดำน้ำ ไปดูป่าชายเลน แล้วก็สัมภาษณ์เอ็นจีโอ กะชาวบ้านที่นั่น แล้วก็เลยคิดว่าถ้าลองเอาสภาพการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในเมืองท่องเที่ยวของญี่ปุ่นกับไทยไปเปรียบเทียบกันดู มันน่าจะให้อะไรมากกว่าทำวิจัยเรื่องเดียว ตอนกลับมาไทยเลยไปคุยกะเอ็นจีโอที่ทำเรื่องปะการังกับป่าชายเลน เลยเพิ่งได้รู้ว่ามีองค์กรอิสระหลายส่วนของญี่ปุ่นที่เข้ามาฟื้นฟูป่าชายเลนของไทย ด้วยสำนึกที่ว่ากุ้งที่ญี่ปุ่นนำเข้าจากเมืองไทยปีละหลายล้านนั้น คือหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ป่าชายเลนไทยถูกรุกรานโดยการทำนากุ้ง ...อย่างน้อยๆ เราก็ชอบที่เขามีสำนึกที่จะทำอะไรทดแทนสิ่งที่เขาคิดว่าเขาทำอะไรผิดไป แม้ว่ากระแสทุนนิยมมันจะรุนแรงจนกวาดอะไรต่อมิอะไรหายไปมากมายก็ตาม

ปล.
(ไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไหร่)ร้าน Ikea นี่เป็นร้านของแต่งบ้านในดวงใจร้านหนึ่งเลย เพิ่งเข้ามาเปิดที่นี่เมื่อปีที่แล้ว ของเยอะ ถูก และสวย แต่เสียอย่างเดียวอยู่ไกล ค่าส่งเลยแพง

กลายเป็นว่าเขียนซะยาวเลย เพราะเป็นเรื่องที่ตรงใจด้วยแหละนะเนี่ย

Anonymous said...

โอ..ใช่กด publish ไปแล้ว ถึงเห็นว่า ไม่มี ร.เรือ..นั่นมันชื่อรร.ที่เห็นผ่านตาบ่อย ไทยวิจิตร..อะไรสักอย่าง..โห..ไม่น่าให้อภัย..

Anonymous said...

เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องแปลก
และมีหลายระดับในการทำความเข้าใจ
บางคนไม่รู้ข้อมูลก็ควรได้รับข้อมูล เช่น ถุงพลาสติกไม่ดียังไง หรือขึ้นลิฟต์หนึ่งครั้งใช้พลังงานเท่าไหร่
ซึ่งอันนี้ไม่ยาก เพราะข้อมูลมีอยู่ทั่วไป และมีคนจำนวนหนึ่งที่ทำงานหนักกับสิ่งเหล่านี้ (เพื่อพวกเรา)

แต่ระดับที่สำคัญกว่าคือการลงมือ
หลายครั้งลองสังเกตเวลาที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา คนส่วนใหญ่ที่ฟังก็จะพูดกลับว่า แหม ซีเรียสจัง จะอะไรกันนักกันหนา ฯลฯ คิดว่าคนที่เคยพูดเรื่องแบบนี้ คงเคยได้ยินมาคล้ายๆ กัน

สงสัยอยู่เหมือนกันว่า
นี่มันซีเรียสไปหรือ?
การที่เราส่วนใหญ่ต่างรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลก และมีบางคนที่เขาตั้งอกตั้งใจช่วยกันเยียวยา
พวกเขา 'ทำ' มากไปใช่ไหม?

ปล ขอบคุณYuNgYiNg สำหรับความรู้จากญี่ปุ่นอีกแล้ว แวะมาบ่อยๆ นะ ^^

Anonymous said...

อ่านแล้วอยากต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่ทำให้โลกเราเป็นแบบนี้ สิ่งแวดล้อมที่ดีมันต้องขึ้นอยู่กับจิตใต้(ก้นบึ้ง)สำนิตของแต่ละบุคคลด้วย ใช้สิ่งของจากธรรมชาติ เราเคยเห็นกันตอนเด็กๆ อย่างขนมถ้วย ขนมไทยบ้านเรา ภาชนะที่ใส่แต่เก่าก่อนเป็นใบตอง เดี๋ยวน้อยเป็นโฟมกันหมด น่าเสียด้วย อิ่มท้องแล้ว แต่ทำร้ายโลกมันยังไงอยู่นะ

อย่างที่พี่โจ้บอก พยายามใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด

Anonymous said...

อ่านบทความนี้แล้วเป็นห่วงปอดคนทางเหนือจัง
ธรรมชาติคงอยากให้คนไทยมองเห็นถึงความเท่าเทียมกันของระบบทางเดินหายใจ
ในฐานะคนที่มีปอดสะสมควันพิษของกรุงเทพ เลยไม่ค่อยจะได้ไปสัมผัสลมโชย อากาศหนาว หรือกลิ่นแม่คนิ้ง ทางภาคเหนือสักเท่าไหร่ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ระบบ detox ในปอดของคนทางเหนือ คงจะแลดูสะอาดกว่าคนกรุงเทพมาก

แต่อย่างที่กล่าวไป ธรรมชาติพยายามปรับให้อัตราการหายใจในแต่ละฤดูของคนไทยเท่าเทียมกัน เลยผลิตควันพิษขึ้นมาในอากาศ ให้ปอดคนเหนือได้ทำงานกันบ้าง แต่แน่ใจนะว่าจะโทษธรรมชาติ?
อ้างถึง ข้อเท็จจริงของ "ผลพวงของการกระทำสองระดับบนโลก"

อันที่จริงแล้วที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น อากาศเหนือแผ่นดินที่เราสัมผัสในฤดูร้อน และเรียกมันว่าความแห้งแล้งนั้นไม่ได้เป็นเหตุให้กิ่งไม้เสียดสีกันแล้วเกิดเป็นไฟป่าได้ง่ายดายตามอย่างที่เราเข้าใจกัน

แล้วหมอกควันที่บดบังดอยสุเทพของพวกเขามาจากไหน? มันอาจจะเป็นอิทธิพลจากนิยามของเมืองสามหมอกก็ได้นะ(พอเข้าหน้าร้อนก็มีคนแอบไปจุดไฟ เริ่มจากกอหญ้าเล็กๆ ลามไปเป็นป่าใหญ่ ขยายวงกว้างออกไปข้ามจังหวัด) หวังประกาศศักดาของเมืองสามหมอกให้คุ้นหูนักท่องเที่ยว

Anonymous said...

พอพูดคำว่า เมืองสามหมอก ขึ้นมาเลยยิ่งรู้สึก
ต่อไปเราอาจจะกลายเป็น เมืองสามควัน ประเทศสามแดด...

Anonymous said...

โลก
ธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิต
เป็นมนุษย์ต่างดาวคงดีที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
...
อาจจะเป็นอย่างนั้น
แต่เพราะถูกครอบงำด้วยความเป็นวิทยาศาสตร์
อย่างไม่สมบูรณ์
จินตนาการที่ว่าจึงถูกชะลอตัวลง
ชะลอตัวลง
ชะลอตัวลง

มันยังคงเคลื่อนที่อยู่เนือยๆ
...
โลก ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต
โลก ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต
โลก ธรรมชาติ มนุษย์
รู้สึกแปลกแยกไหม
เป็นความผิดพลาดของอะไรหนอ
ที่วิวัฒนาการความเป็นมนุษย์ขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตที่ทำทุกวิถี
เพื่อให้ได้มาซึ่งความย่นย่อของเวลา
รังสรรค์สิ่งที่เรียกว่า
อารยธรรม ความเจริญ วิวัฒนาการ เทคโนโลยี
...
เสียงกระซิบจากโลกเมื่อหลายร้อยปีก่อน
อาจดังไม่พอที่จะสั่นคลอนความเจริญรุ่งเรืองแห่งอารยธรรม
เสียงกระแอมไอเบาเบาจากโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน
อาจทำให้แก้วหูมนุษย์บางกลุ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา
แต่พัฒนาการทางจิตสำนึกฤาจะก้าวทันเทคโนโลยี
เพียงร้อยละสิบห้าของศักยภาพสมองที่ใช้ไป
คงเป็นตัวเลขที่ทำให้โลกกลมๆ ต้องตะลึงและตื่นกลัว
การต่อสู้อันยาวนานราวกับเพิ่งเริ่มต้น
หากมนุษย์พัฒนาความสามารถในการใช้สมองได้มากกว่านี้
การแผดร้องตะโกนอย่างสุดเสียงคงดังขึ้นในไม่ช้า
หวังเพียงว่าคุณมนุษย์ต่างดาวจะหาทางกอบกู้สิ่งประดิษฐ์ของตัวได้ทันท่วงที
...
ขอบคุณมนุษย์ต่างดาว

รับแปลเอกสาร said...

หวังว่าคงจะยังไม่สายเกินไปอย่างกรุงเทพนะครับ

วชิรา said...

หวังเหมือนกันครับ

^^