Monday, November 5, 2007

ทะลุหูขวา (6): essay: Middleton’s Black&Mild

Middleton’s Black&Mild

หลายวันก่อน ผมมีโอกาสได้พบปะกับเพื่อนสองคน
หนึ่งคนมาจากกรุงเทพฯ อีกหนึ่งพำนักอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่นี้
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักหนา
ปกติเราก็รับประทานอาหารร่วมกันอยู่บ้าง
ตามจังหวะเวลาและโอกาส
บทสนทนาบนโต๊ะก็ไม่ผิดไปจากเดิมมากนัก
เรากิน จิบ พูดคุย บอกเล่าสิ่งที่เป็นมาและกำลังจะเป็นไป
ถกเถียง แลกเปลี่ยน หลายจังหวะไพล่ไปถึงการนินทาเพื่อนคนอื่นๆ
ที่ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารนั้น
น้ำสีองุ่นพร่องไปตามเวลาและการสนทนา ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมามวน
“ขอบ้าง” เพื่อนจากบางกอกเอ่ยปาก
“ขอด้วย” เพื่อนชาวเชียงใหม่พูดขึ้นบ้าง

ทั้งสองคนไม่ใช่คนสูบบุหรี่

วูบหนึ่ง หลังจากแจกจ่ายไปตามเสียงร้องขอ
ผมพลันเกิดความรู้สึก ‘เชื่อมโยง’ บางประการระหว่างเราทั้งสาม
ไม่น่าจะเกิดจากตัวบุหรี่
และโดยธรรมชาติของการทำกิจกรรมร่วมกันบนโลกมนุษย์นั้น
เรามักไม่นับการสูบบุหรี่ร่วมกันให้เป็นกิจกรรมหมู่ประเภท ‘เชื่อมโยง’ อยู่แล้ว

ไม่เหมือนเตะฟุตบอล ดื่มเหล้า ไปดูหนัง เต้นแอโรบิก และหรืออื่นๆ
คนที่สูบบุหรี่เป็นกิจวัตรย่อมน่าจะทราบดีว่า
แม้เรากำลังสูบบุหรี่ร่วมกับผู้อื่น
ก็ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังดำเนินกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับพวกเขาแต่อย่างใด

ความรู้สึก ‘เชื่อมโยง’ นั้นเกิดขึ้นจากไหน
.........

ในบรรดาสิ่งต่างๆ ที่ตลบอบอวลอยู่ในโลกใบนี้
บางคนอาจมองเห็น ‘ความมหัศจรรย์’ จับจองตัวเองอยู่ในความอลม่านนั้น
การเจริญเติบโตของต้นไม้ จากเมล็ดเล็กๆ งอกเงยแตกกิ่ง
ผลิใบออกดอก บ้างให้ผลหลากสีหลายรส
ความหนักแน่นมั่นคงของขุนเขาที่เราเห็น
ความกว้างใหญ่ไพศาลของผืนทะเลทราย
ที่สะท้อนภาพเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา
การใช้ชีวิตของแมลงตัวน้อยที่บอบบางกว่าเศษกระดาษชำระ
แววตาซื่อสัตย์ของสัตว์เลี้ยง-ที่ไม่ใช่มีต่อตัวเรา

แต่หากมีต่อตัวมันเอง
สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในความปกติ

และมหัศจรรย์เกินกว่าจะจินตนาการด้วยเหตุผล

ผมโชคดีที่พอจะมองเห็นความมหัศจรรย์เหล่านั้น
และมันทำให้การมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ไม่น่าเบื่อเกินไปนัก

เมื่อความเบื่อหน่ายเปิดที่ให้ชีวิตได้มีโอกาสสัมผัสสิ่งอื่น
การมีชีวิตอยู่ก็เริ่มจะมีความหมายขึ้นบ้างอีกนิด
และการที่ชีวิตมีความหมาย เราก็จะสนิทสนมกับ ‘เวลา’ แนบแน่นขึ้น
แม้ว่าเราจะไม่เคยมองเห็น ‘เวลา’ เลยสักครั้ง

ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ เราจำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันบนโลกในนี้
และไม่ว่าจะอย่างไร เราจำเป็นต้องสื่อสารกับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์คนอื่นๆ
เพื่อการดำรงอยู่
มันเป็นช่วงเวลาของการป่วยไข้แล้วมีคนคอยดูแล
เป็นช่วงเวลาของการหิวโหยและได้กินอาหาร
เช่นเดียวกับเวลาที่พลัดหลงและพบทางออก
เป็นช่วงเวลาของความปีติดีใจและได้สวมกอด
เป็นการแพ้ฟุตบอลที่มีอีกหลายคนร่วมรู้สึกไปด้วยกัน
เป็นความเอื้ออาทร ที่ไม่ใช่ ‘บ้าน’ จากรัฐบาลจอมปลอม
แต่คือความหมายของการอยู่ร่วมกัน

บุหรี่ที่มวนขึ้นเองกับเพื่อนสามคนอาจหมายถึงสิ่งนี้

เป็นไปได้ว่ามีความมหัศจรรย์มากมายฟุ้งกระจายอยู่บนโลก
หรือแท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งบนโลกในนี้ล้วนคือความมหัศจรรย์ทั้งนั้น
รวมทั้งความปกติธรรมดาในชีวิต

ในภาพยนตร์เรื่อง Before Sunrise

ตัวละครหญิงชายพบกันบนรถไฟ
ตัดสินใจแวะลงเที่ยวด้วยกันในเมืองแปลกหน้าหนึ่งคืน
และแยกจากกันไปในเช้ารุ่งขึ้น
ใครสักคนหนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้นว่า
“ถ้าจะมีความมหัศจรรย์อยู่ในโลกใบนี้
มันต้องเป็นความมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจคนบางคน
ที่กำลังแบ่งปันบางสิ่งแน่ๆ มันอาจจะไม่เข้าใจหรอก
แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะคำตอบมันจะอยู่ในความมุ่งมั่นนั้นแหละ”


ผมอาจจะโชคดี ที่สูบบุหรี่เป็น มวนบุหรี่ได้
เป็นเพื่อนกับสองคนนั้น และพอจะรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ที่ว่า
มันคงเป็นความเดียวกับการที่เรารู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ร่วม ‘เวลา’ ไปกับเรา
ในท่ามกลางเวลาของชีวิตที่ทุกคนมีจำกัด
เป็นความเปราะบางของมนุษยชาติผู้เย่อหยิ่ง
เป็นการยอมรับข้อจำกัดเรียบง่าย ที่เราไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยว

ถ้าความโหดร้ายสาหัสของมนุษยชาติ
คือการที่ใครสักคนสร้างเรามาให้เป็นหนึ่งหน่วยที่จำเป็นต้องพึ่งพิงหน่วยอื่น
การมีบางคนที่ว่านั้น ก็น่าจะเป็นของขวัญล้ำค่าที่มาคู่กัน
บางทีการมองเห็นสิ่งนี้ อาจคือความมหัศจรรย์ล้ำเลิศของชีวิต

หมายเหตุ ไม่น่าเชื่อว่า ‘การสูบบุหรี่’ ที่นับวันผู้สูบกำลังถูกสวมบทให้เป็นสัตว์ประหลาดน่ารังเกียจกว่าสิ่งมีชีวิตที่เชิดหน้าชูตาแต่เอารัดเอาเปรียบและคดโกง จะสามารถ ‘ก่อให้เกิด’ กระบวนการทบทวนความคิดให้กับผู้ที่ตั้งใจสูบอย่างจริงจังได้-มหัศจรรย์มาก!

7 comments:

Anonymous said...

ความหมายของชีวิตอาจจะคือการได้เรียนรู้
และทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตมั้งนะ
ชีวิตมันแสนสั้น..วันนี้ยังยิ้ม..หัวเราะได้..
พรุ่งนี้..อาจจะไม่มีแล้วก็ได้..
เพราะงั้นการรู้สึกว่าตัวเองสุข ตัวเองเจ็บ..
เลยเป็นเรื่องง่ายๆที่ทำให้รู้สึกดี..
ไม่ถึงขั้นมหัศจรรย์ติดอันดับโลก..
แต่มันเป็นเรื่องที่เรายินดีได้ง่ายสุดแล้วกับตัวเอง
..
ก่อนนอน..มักจะบอกกับตัวเองเสมอว่า..
พรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาอีก...ไม่ใช่เพื่อตัวเอง..
แต่เพื่อคนที่(อย่างน้อย..บางที)ยังรักกันอยู่
..
ปล.เวลาเจอเพื่อนสูบบุหรี่ มักจะถามมันว่า
"เมริง..สูบไปลงได้ไง..ซองดีไซด์ชวนสยดสยองมาก..นอกจากจะชอบซาดิสต์แล้วคงไม่มีใครนิยมภาพแนวนี้"..
เลยคิดว่าน่าจะมีใครออกแบบปลอกสวมซองบุหรี่..ที่มันดูดีกว่า..ปอดทะลุ..คอแหว่ง..เล็บเน่า..'ไรนั้น..แต่มันจะขัดกับชาวโลกอะดิ
แต่สูบน้อยๆลงก็น่าจะดีนะ..พี่..นะ
:P

Anonymous said...

ไม่ได้สูบเยอะเลยน่ะ
แถม Middleton's Black & Mild คือใบยาของไปป์ ที่ต้องเอามามวนใส่กระดาษเอง เลยโชคดีที่ไม่ต้องมีภาพอุบาทว์ให้เห็นอยู่บนซอง แถมผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็ยืนยันว่า อันตรายนั้นน้อยกว่าบุหรี่ที่ขายเป็นซองหลายเท่า
แต่ถึงทีสุดยังไง เราไม่ได้พูดถึงประเด็นเรื่องสุขภาพ เพราะน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ประเด็นที่น่าสนใจกว่าคือท่าทีที่มีต่อคนสูบบุหรี่ต่างหาก ขณะเดียวกัน ก็เป็นประเด็นเดียวกับการคำนึงถึงคนอื่นที่ไม่สูบบุหรี่ด้วยนะ ^^

Anonymous said...

55..
หนูไม่ทราบค่ะ..เรื่อง Middleton's Black & Mild..อะไรๆนั่น...อือ..ก็ว่า..นะอยู่วงนอก..
ไม่ได้ว่า'ไรซะหน่อย..ก็แค่ว่าอย่าสูบเยอะ..
ตอนยังหนุ่มๆก็ใช้ตัวเปลืองกันอย่างนี้..เหล้ายาปลาปิ้ง
พอแก่ไปสัก 50 ไปบังเอิญมีลูก..
ความฝันเล็กๆอย่างอยากจะอยู่ดูลูกแต่งงาน..
อยากจะหายใจเองคล่องๆ..อยากจะเดินไม่หอบ..แฮ่กๆ
ถึงนอนนั้น.เรื่องพวกนี้.อาจจะเป็นเรื่องยากก็ได้
..."พี่มาโนช"..เค้าเคยพูดไว้..ประมาณนี้..อย่าใช้ตัวเปลือง

..
คนไม่สูบ..แต่ห่วงคนสูบ..
และอยากให้คนสูบ..ห่วงคนไม่สูบด้วยเช่นกัน
..

Anonymous said...

นึกเคยเบื่อเทคโนโลที่ทันสมัยไหม???
ก่อนจะเกิดคำถามนี้ขอระบายความรู้สึกเสียเล็กน้อย ถ้าพี่โจ้ไม่ว่ากันนะ

ตามความจริงเขียนข้อมความทั้งหมดเสร็จแล้ว จะกด 'แสดงตัวอย่าง' จู่ๆๆ สิ่งที่เขียน

โอ้!! เจ้าพระคุณทูนหัว
หายไป มันหายไปไหน สิ่งที่เขียนไว้...

และนี่คือข้อความที่ยังจำได้ว่าเขียนอะไรไปในตอนแรก

"การสูบหรี่ เชื่อมโยงกันได้อย่างไร???
ก็อาจจะ
1. เป็นสิ่งที่รู้จัก คุ้นเคย เคยสัมผัส เรียนรู้ถึงสิ่งนั้นมาบ้างแล้ว
2. เป็นสิ่งที่ยอมรับ (เฉพาะกลุ่ม) มีความต้องการ มีความปรารถนาร่วมกัน
3. ด้วยบรรยากาศ สิ่งแวดล้อม และความรู้สึก อารมณ์ ณ ช่วงเวลานั้น"

แม้จะจำได้เท่านั้น แต่สู้ข้อมความแรกไม่ได้ ต้องขอโทษหากอ่านแล้วมันขัดๆๆ ไป เพราะความไม่ได้เรื่องของตัวเอง

Anonymous said...

อ้าว นี่ยังสูบบุหรี่อยู่อีกหรือคะ??

...เอาเถอะ ถึงแม้ว่า บุหรี่ที่คุณว่านั้น มันจะไม่ได้บั่นทอนสมรรถภาพของร่างกายคุณสักเท่าไหร่

แต่แหม...ค่อนโลก เขากำลังรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนกันอยู่นะคะ และก็อย่างที่คุณว่า ประเด็นเรื่องการคำนึงถึง(ปอด)คนอื่นที่ไม่สูบบุหรี่ด้วย

แล้วอย่างนี้ จะให้คนที่ไม่สูบบุหรี่มีท่าทีต่อคนสูบบุหรี่อย่างไรดีล่ะคะ?

ป.ล. ถ้าการสูบเอารส (ไม่ใช่สูบล้างผลาญ)ก่อให้เกิดกระบวนการทบทวนความคิดแก่ผู้ที่ตั้งใจสูบอย่างจริงจังได้...จริง - นั่นก็มหัศจรรย์มากค่ะ

Anonymous said...

I feel the magic.
Magically digging this hole through reading, then I feel you...

Anonymous said...

หนับหนุนๆ นะ อย่าสูบเลยค่ะ เห็นใจคนที่เค้าเป็นห่วงเถอะนะ แค่ใน blog นี้ก็หลายคนอยู่ นับแล้วน่าจะเกินสิบนิ้ว อ่านก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเป็นคนหวงเนื้อหวงตัว ก็น่าจะรัก "ปอด" ตัวเองด้วยนะ