Thursday, December 11, 2008
โพรง (8): ใจหาย (เสมือนคำนำ)
รอจะเขียนเรื่องนี้มาหนึ่งปีเต็ม
ลองอ่านดูนะ
...........
พิมพ์ครั้งแรกใน HIP เดือนพฤศจิกายน 2551
โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา
www.rabbithood.net
ใจหาย (เสมือนคำนำ)
ผมเป็นคนหนึ่งที่เผลอมองดวงไฟวิบวับสีส้มกลมลอยละลิ่วขึ้นบนท้องฟ้า โยกซ้ายเยกขวาไปตามบงการของลม เรียงรายเป็นสายพลิ้วไหว สยายไกลสายตาออกไป
ยิ่งผนวกเข้ากับสัมผัสแรกเริ่มของลมหนาวที่เพิ่งเดินทางไกลมาทักทายเบาๆ ก็ยิ่ง...
ในช่วงขณะเคลิบเคลิ้มนั้น เสียงของความหมายทางศาสนาดังแว่วอยู่ไกลลิบ แผ่วบางคล้ายเสียงกระซิบของแมลงวันที่กระพือปีกอยู่อีกฟากของท้องฟ้า ไม่มีใครใส่ใจความจริงเหล่านั้น ผมแทบไม่ได้ยินอะไรเลย
แม้กระทั่งจากตัวเอง
แล้วจู่ๆ ก็นึกสงสัยว่า ลวดที่ยึดเส้นรอบทรงกลมของโคมสวยงามเหล่านั้น มันไปตกสุมอยู่ที่ไหนกันบ้าง
แล้วอีกนานไหมกว่ามันจะสลายไป
.........
ผมเดาว่าทุกคนน่าจะมีคำถามที่ตัวเองต้องตอบบ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาจบมัธยม ก็ต้องคอยตอบคำถามว่าจะเรียนคณะอะไร หรือช่วงที่ใกล้เรียนจบ ก็ต้องคอยคำถามว่าจบแล้วจะไปทำอะไร (หรือช่วงที่ถึงวัยมาตรฐาน ก็ต้องคอยตอบคำถามว่า เมื่อไหร่จะแต่งงาน) ผมเองก็มี
คำถามเหล่านี้แตกต่างกันตามช่วงเวลาต่างๆ กันของชีวิต
ตั้งแต่โยกย้ายมาอยู่เชียงใหม่ คำถามหนึ่งที่ต้องตอบบ่อยคือทำไมจึงเป็นที่นี่ เข้าใจว่าผู้ที่ถามก็คงมีเหตุจูงใจแตกต่างกันไป บางคนอาจสงสัยเพราะมาแบบไม่มีปี่ขลุ่ย บางคนรู้ว่าตั้งใจมาแค่เดือนเดียว บ้างอาจทำไปตามหน้าที่ (บ้างก็อาจรู้สึกว่ามาทำไม เขาอยู่ของเขากันดีๆ )
ผมไม่เคยสนิทสนมกับภูเขา มันเป็นความหมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน-ผมติดภูเขา
ติดภูเขาก็เหมือนติดละครทีวี ถึงเวลาก็อยากดู
หนักเข้าสำหรับบางคน ถึงเวลาก็ต้องดู
จากคนที่เคยอยู่ในเมืองหลวง สภาพแวดล้อมเบียดเสียดไปทั่วทุกท้องถนน การได้ดำรงชีวิตในเมืองขนาดกระทัดรัด เป็นสวรรค์ที่ไม่ไกลเกินไปและไม่ต้องรอนาน ผมไม่ได้รังเรียจรังงอนกรุงเทพฯ ที่ยังคงสถานะเป็นบ้านเกิดนะครับ เพียงแต่พยายามจะอธิบายว่าสภาพของเมืองที่แตกต่าง บุคลิกของเมืองที่ไม่เหมือนกัน ทำให้การจัดสัดส่วนการใช้ชีวิตนั้นแตกต่างตามไปด้วย
ผมเพิ่มช่วงเวลาสั้นๆ นั่งดูภูเขาในตอนเช้า-ทุกวัน ไม่มีวันหยุด (เคล้าเสียงก่อสร้างคอนโดฯ ที่เพิ่งงอกขึ้นมาในช่วงปีหลัง) จนกระทั่งวันหนึ่ง ภูเขาดอยสุเทพที่คุ้นเคยก็หายไปต่อหน้าต่อตา
ถ้าจำไม่ผิด เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดในราวปีพ.ศ. 2550 ช่วงนั้นเชียงใหม่ปกคลุมด้วยฝุ่นหมอกควัน ฟ้าทั้งฟ้ากลายเป็นสีอมเทา หันไปทางไหนก็เห็นคนใส่หน้ากากปิดปากปิดจมูกเดินกันไปมา ผมรู้สึกคล้ายกำลังอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลที่ทุกคนเป็นคนป่วย
ผมเองก็ด้วย
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว ในช่วงที่ผมยังไม่มา สภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นแอ่งกระทะ ฤดูกาลและวัฒนธรรมการเพาะปลูกของชาวเขา การบุกรุกเข้าเขมือบพื้นที่ป่าของชาวเมือง ขยะใบไม้มากมายที่ไม่รู้จะเอาไปทิ้งที่ไหน ความสะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ความหละหลวมของกลไกของรัฐ ผนวกเข้ากับสภาพอากาศทั่วทุกมุมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้าย การแห่แหนกันมาของคนต่างถิ่น ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร ทำให้เราต้องเงยหน้ายอมรับผลกระทบที่เกิดขึ้น
จะไปโทษใครได้ล่ะครับ นอกจากตัวเอง
ครั้งหนึ่งบนเครื่องบิน ที่ไหนสักแห่งบนท้องฟ้า ระหว่างกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ผมนั่งติดกับคุณป้าคนหนึ่ง แกเป็นครู เป็นคนเชียงใหม่แท้ๆ เมื่อบทสนทนาดำเนินไปได้สักระยะ ผมถามแกว่ารู้สึกยังไงที่เชียงใหม่เติบโตขึ้นมาก คุณป้าตอบว่าแกไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะว่าบ้านแกอยู่ออกไปทางนอกเมือง นานๆ จะเข้าเมืองมาสักครั้งหนึ่ง เข้ามาทีไร แกก็สังเกตว่ารถบนถนนเยอะขึ้น นักท่องเที่ยวเยอะขึ้น และคนต่างถิ่นที่ย้ายมาอยู่ก็เยอะขึ้นด้วย
“แต่ยังไงป้าก็รู้สึกว่าเชียงใหม่เป็นเมืองอบอุ่น”
เมื่อสิ้นเสียง ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคุณป้าไม่ได้หมายความถึงอุณหภูมิความร้อนในอากาศ แต่คงมีความหมายอื่น และถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ผมรู้สึกว่าคุณป้าไม่ได้กีดกันคนต่างถิ่น-อย่างผม เพราะไม่มีเนื้อหาใดของการสนทนาที่จะทิ่มแทงการโยกย้ายถิ่นที่อยู่ของผู้มาอยู่ใหม่
รอยยิ้มและแววตาของคุณป้า จริงใจและเป็นมิตร
เวลานั้นผมฉุกคิดได้ว่า นี่เราจะมาเสวยความสะดวกสบายในเมืองอบอุ่นของคุณป้าผู้นี้แต่เพียงอย่างเดียวหรือ ถ้าวันหนึ่งภูเขาที่มองทุกวันจู่ๆ ก็หายไป แล้วเราจะทำอย่างไร หนี-ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ที่ดีกว่า แล้วทิ้งซากเมืองแสนหวานไว้กับผู้ที่ไม่คิดจะย้ายไปไหนเพียงเพราะว่าที่นี่คือบ้านของเขาหรอกหรือ
บ้านที่เคยอบอุ่น...ของเขา
ด้วยความที่ไม่ใช่นักสิ่งแวดล้อมอาชีพ ทั้งยังไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะสามารถขับเคลื่อนกลไกเพื่อต่อสู้แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่หนักหนาสาหัสขึ้นทุกวัน เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาสได้อาศัยอยู่ในเมืองที่เราชอบ ก็ควรช่วยกันรักษามันไว้ อย่างน้อยความรู้สึกชอบจะได้ยืนระยะยาวนานขึ้น
บ้านขนาดใหญ่ที่ผู้อยู่อาศัยช่วยกันดูแล อย่างไรเสียก็น่าจะทั่วถึงกว่าการจ้างวาน
ผมคิดว่าความชอบของคนเรานั้นมีวันหมดอายุ สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขปัจจัย ระยะเวลาของมันจึงเป็นเรื่องยากเกินคาดเดา แต่กว่าจะถึงวันนั้น ผมรู้เพียงว่าเมืองที่ไม่มีผู้คนกินนอนเคลื่อนไหว สุดท้ายก็เป็นได้เพียงโบราณสถาน
ที่นักท่องเที่ยวจะทุ่มเทความสนใจก็เฉพาะเวลามีการแสดงแสงสีเสียง
.........
เมื่อช่วงต้นปี ผมลงไปงานแต่งงานเพื่อนสนิทที่บนเกาะหมาก จังหวัดตราด ก่อนไปเพื่อนๆ ก็โทรมาย้ำว่า อย่าลืมขนโคมลอยติดไม้ติดมือไปด้วย กะว่าจะไปจุดกันหลังพิธีแต่งงาน ผมฟังแล้วก็อิดออด อ้อมแอ้มว่าอย่าจุดเลย เพราะถ้ามันลอยไปตกที่ทะเล ใครจะเป็นคนเก็บ เพื่อนได้ยินเข้าก็ไม่ว่าอะไร
จนเมื่อหลังเสร็จพิธี พวกเขาก็จุดโคมลอยกัน บอกว่าซื้อมาจากแถวๆ ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ
โคมลอยที่วันนี้ความหมายของมันได้เปลี่ยนแปลงไปจากการเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีแต่เก่าก่อนโดยสิ้นเชิง
ผมมองเห็นความสนุกสนานของเพื่อนๆ ยามเมื่อพวกเขาพยายามจะทำให้โคมเหล่านั้นลอยละล่องขึ้นบนท้องฟ้า แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร
ดวงไฟวิบวับสีส้มกลมดวงแล้วดวงเล่าลอยละลิ่ว โยกซ้ายเยกขวาไปตามบงการของลม เรียงรายเป็นสายพลิ้วไหว สยายไกลสายตาออกไป
ก่อนจะกลืนหายไปกับความมืดมืดของท้องฟ้า และตกลงไปที่ไหนสักแห่งกลางทะเล
มันคงลอยเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางกระแสคลื่น วันดีคืนร้าย ลูกปลาโง่ๆ สักตัว อาจพยายามเติมเต็มความหิวโหยด้วยการเข้าแหวกว่ายเข้าไปพิสูจน์ และอาจทุรนทุรายจนตาย โดยที่ญาติพี่น้องก็ไม่รู้สาเหตุ
ความโง่ของมันมีราคา
และเป็นราคาขึ้นกับการตัดสินใจของเรา
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
17 comments:
แมลงวันมันร้อง มิได้อยาก "กลาย" เป็นอื่นเลย ทั้งนี้ที่สุด เพราะมันยังไม่ตาย
มันเป็นแมลงวันที่มีวิญญานอีเทิร์นนิตี้หนักอึ้งสถิต
ประหนึ่งลูกหมาโดนควายทับย่อมต้องร้อง "เอ๋ง" เป็นธรรมดา และมันก็ยังคงร้องเอ๋งต่อไปเรื่อยๆ เพราะควายมันเข้าทับออก ไม่อยากให้ทับ ก็ทับ ตอนไม่ทับควายก็ลากจูงเพราะคิดว่าหมาเป็นเกวียนไว้คอยไถนา
มันถึงต้องร้อง "เอ๋ง" ให้ดังที่สุด ก่อนที่มันจะสาหัสและจากไป หรือเมื่อควายเลิกทับ มันก็เป็นแค่หมาพิการๆ แต่ถึงที่สุดก็ต้องร้อง "เอ๋ง" ให้ควายเลิกทับ เพราะ 2 ทางเลือก ที่มีอยู่ หมาใจสู้ก็ต้องเลือกพิการ
***ปลาน้อยไม่ได้โง่ แต่โดนประทุษร้าย แต่คนทำคงไม่เลือกพันธุ์ ว่านี้มันปลาปรินย่า
where is your love hidden ror+?
Sawasdee ka p'Joe
So in love with Chiangmai and been to Chiangmai a lot lately, one of the perfect place in this poor little country i think.
Saw yr poster and i would like to join your gig sometimes na ka :) : Earn
ผมเองก็อยู่นอกเมืองเหมือนป้าคนนั้นครับ
ยังดีครับ นอกเมืองเชียงใหม่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
(ในความรู้สึก-น่าจะเป็นข้อดีนะ)
:)
ปล ไปดูงาน "paper" มาแล้วครับ
เพลินตาทั้งลายเส้นและสถานที่จัดงาน
boonbloc
ตอบ Anonymous II
ความรักอยู่ที่อยู่ที่ควายตัวที่ทับ
ฉันไม่ได้มีความรักนำทาง
ถ้ามีคงเสียชีวิตไปนานแล้ว
Anonymous I
พี่..
บางเรื่องนะ เรามักมองแค่ตอนเริ่ม..สิ่งสวยงาม โคมสีส้ม แบ็คกราวน์สีดำ วิบวับงามตา หลังจากนั้นเราก็ไม่รู้แล้ว ต่อมา.. และต่อมา.. จะเป็นยังไง ปัญหาหลายๆอย่าง ก็เริ่มจากรสหวานของน้ำตาลเคลือบที่แหละ ดีเนอะ อยู่ที่ไหน ก็มีสำนึกรักที่จะให้มันดีขึ้น(หรือ..ดีอย่างเดิม) เค้าว่าเวิร์ค แต่เสียดายดาย เค้าไม่เคยเป็นคนของที่ไหนซะที
ปล.หน่อย เรื่องนี้มันเกี่ยว'ไร กับความรัก แมงวัน หมา ควาย และลูกปลาน้อย เป็นปริศนาธรรมเหรอ?
--
ผู้หญิงแสนซื่อที่พี่หาว่าบ้า
ลุงกระต่าย
ป้าไปเชียงใหม่วันเสาร์
อยู่ใช่มั๊ย
ไว้โทรหานะ
เอาไรป่าว...
ป้าโอ
โคมลอย ก็เหมือน คนเดิน สวนกันไปสวนกันมา วิบวับแล้วเดี่ยวเดียวก็จางหาย **ความโง่ ต่างกับ รู้หรือไม่รู้
ปลาน้อยไม่รู้ไม่ได้แปลว่าโง่ คนต่างหากที่โง่เพราะคนรู้
อ่านวชิราไม่รู้เหรอ
ว่าเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และอภิปรัชญา
ตีความ "พี่" ก่อน
ความงามที่ไม่ยอมตาย(แต่ทำไมไม่ไปอยู่ที่อื่น)
VS แบ็กกราวนด์สีดำเพื่อไว้ให้คนอื่นเป็นเทพ
โอว
มาย
ก็อด
* *
อภิปรัชญาเหรอ??
ว้าว ฟังดูดี
เค้าไม่รู้ เค้าขอโทษ
ข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่..(สะอื้น)
เวลาอ่านก็คิดว่าเป็น 'พี่' นั่นแหละ เลยไม่ได้ตีความ' ไรมาก
เวลาเจอ เขียนน้อยๆ ก็ไม่ค่อยคิดว่าเว้นพื้นที่ให้จินตนาการ
แค่แอบงอนๆและคิดว่า --ขี้เกียจล่ะสิ--55
ต่อไป จะ ชั่ง ตวง วัด ให้หนักหนาขึ้น..นะ
งงมากมาย
ไม่ได้งงเรื่องนะ
งงตรงคอมเม้นท์อ่ะ
.
.
.
ชอบความคิดของพี่ครับ
ที่ว่า
"เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาสได้อาศัยอยู่ในเมืองที่เราชอบ ก็ควรช่วยกันรักษามันไว้ อย่างน้อยความรู้สึกชอบจะได้ยืนระยะยาวนานขึ้น"
^^
ผมไม่ได้เป็นคนเชี่ยงใหม่
แต่ตอนนี้ผมก็อยู่เชียงใหม่ครับ
รู้สึกเหมือนป้าบนเครื่องบินเลย
และ คงไม่ต้องถามว่ารู้สึกเหมือนพี่ไหม^^
งงเหมือนกันครับ -_-'
แต่ก็เอาเถอะ
พื้นที่นี้ไว้ใช้แสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว
เหมือนหรือต่างก็ไม่ว่ากันครับ
(คนที่เห็นต่างกัน ก็ไม่ควรต้องขอโทษหรอกนะ เพราะต่างกันก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย)
เราก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ามีคนเห็นว่างานเราเต็มไปด้วยสัญญลักษณ์และเป็นอภิปรัชญา...
ฟังดูดีจริงๆ ด้วย
^^
ปล แต่ที่เขียนน้อยๆ ไม่ได้ขี้เกียจนะ ; P
เค้าขอโทษ ...
1.2..3..4..5..6..7..8..9..10
ประชดตะหาก
55
หาได้สำนึกใดๆไม่
พี่ว.วชิรา ละก็...
(เค้าเสพความต่างแบบพออภิรมย์ เคม่ะ)
จะให้ น.น. ตีความ แคะ และส่งทางเมล์ให้
เรากำลังจะไปเชียงใหม่ ไปท่องเที่ยว ทั้งที่เราอยากพักใจที่นั่นซักระยะ แต่เราต้องกลับบ้านมาดูแลครอบครัว มาทำงานดูแลปากท้อง หวังว่าที่เราไปเที่ยวเชียงใหม่ช่วงวันหยุดแสนยาวนี้ เราจะดูแลอะไรบางอย่างของที่นั่นได้บ้าง ไม่รู้ว่าอะไร แต่ก็อยาก.. ไม่ใช่เพราะได้มาอ่าน.. แต่เพราะข้อความบางท่อนของคุณสะกิดต่อมดูแลผู้อื่นของเราด้วยแฮะ, ขอบใจจ้า^^
"เวลานั้นผมฉุกคิดได้ว่า นี่เราจะมาเสวยความสะดวกสบายในเมืองอบอุ่นของคุณป้าผู้นี้แต่เพียงอย่างเดียวหรือ ถ้าวันหนึ่งภูเขาที่มองทุกวันจู่ๆ ก็หายไป แล้วเราจะทำอย่างไร หนี-ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ที่ดีกว่า แล้วทิ้งซากเมืองแสนหวานไว้กับผู้ที่ไม่คิดจะย้ายไปไหนเพียงเพราะว่าที่นี่คือบ้านของเขาหรอกหรือ"
คุณ..น่ารักจัง
^^
Post a Comment