Wednesday, September 9, 2009

โพรง : ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. (แห่งประเทศไทย) (1)


โพรง
เรื่องและภาพประกอบโดย วชิรา
www.rabbithood.net

ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. (แห่งประเทศไทย)

ผมพอจะติดตามสถานการณ์ไข้หวัด 2009 กับเขาอยู่บ้าง ไม่ถึงกับใกล้ชิดขนาดหายใจรดต้นคอ แต่สื่อทุกแขนงต่างให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่มีผู้ติดเชื้อคนแรก รวมถึงวิธีการรักษาว่าคืบหน้าไปถึงไหน (แม้องค์การอนามัยโลกจะหยุดประกาศจำนวนผู้เสียชีวิตไปนานแล้วก็ตาม)

จากความสนใจเมื่อแรกเริ่มที่เม็กซิโก พัฒนาเป็นความห่วงไยตนเองและคนรอบข้าง อยากรู้ว่าเราจะต้องดูแลจัดการอะไร อย่างไร และสถานการณ์จะลุกลามบานปลายขนาดไหน
โดยไม่ได้พัฒนาต่อไปถึงความวิตกกังวลแต่อย่างใด

ในขณะที่ข่าวสารของน้องแพนด้าก็ยังครองพื้นที่อันดับต้นๆ ต่อเนื่องสืบมา เสมอต้นเสมอปลาย ทั้งชักชวนกันตั้งชื่อ (ที่กลายเป็นเรื่องคำนวณการถูกรางวัลเหมือนทายผลฟุตบอล มากกว่าการเลือกชื่อที่ตัวเองชอบจริงๆ) ทั้งเกาะติดชีวิตมันตั้งแต่ขนยังไม่งอก ตายังไม่ลืม สียังไม่ขึ้น จนแทบจะกลายเป็นรายการเรียลิตี้ พิธีสู่ข้าวรับขวัญแพนด้าน้อย รวมถึงล่าสุดเป็นสิ่งก่อสร้างมูลค่า 60 ล้านบาทชื่อ ‘แพนด้าสโนว์โดม’
ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่กล่าวว่า การก่อสร้างแพนด้าสโนว์โดมมีแนวความคิดมาจากการที่สวนสัตว์เชียงใหม่ได้รับแพนด้าจากประเทศจีนซึ่งเป็นเมืองหนาว มาเลี้ยงไว้ที่ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน โดยที่ผ่านมาได้ให้แพนด้าอยู่ในห้องปรับอากาศที่ควบคุมอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 18-25 องศาเซลเซียส ซึ่งพอทำให้แพนด้าอยู่ได้อย่างสบายแต่ไม่เหมือนประเทศจีนที่ในฤดูหนาวจะมีหิมะตกและอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี สวนสัตว์เชียงใหม่จึงได้วางแผนที่จะทำให้แพนด้าในเมืองไทยได้สัมผัสอากาศหนาวเย็นและอยู่กับหิมะเหมือนในประเทศจีน จึงได้ขออนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลและองค์การสวนสัตว์ในการออกแบบและก่อสร้าง...โดมหิมะนั้น ผนังภายในเป็นผนังกันความร้อน เพื่อเก็บรักษาอุณหภูมิภายใน มีระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ที่อุณหภูมิ -5 องศาเซลเซียส มีหัวพ่นหิมะอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางโดม ทำหน้าที่ในการพ่นละอองที่ส่งมาจากถังผลิตน้ำเย็น 10 องศาเซลเซียส สามารถปรับให้ส่ายไปมาได้ ซึ่งเมื่อละอองน้ำกระทบกับอากาศที่มีอุณหภูมิ -5 องศาเซลเซียส จะกลายเป็นหิมะร่วงหล่นลงสู่ลานข้างล่าง โดยทั้งหมดเป็นกระบวนการเลียนแบบการเกิดหิมะจริงในธรรมชาติ (ที่มา ผู้จัดการออนไลน์)

ท่านผ.อ. เชื่อมั่นว่า ‘แพนด้าสโนว์โดม’ แห่งนี้จะเป็นจุดขายใหม่ที่ช่วยดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่และจังหวัดเชียงใหม่ (ซึ่งทุกคนก็คงเห็นด้วย)

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองผมก็บังเอิญได้ฟังประธานบริหารบริษัทการบินไทยตอบคำถามนักข่าวในทีวีว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะนี้ถือว่ายังไม่น่าหวาดกลัว แต่การนำเสนอข่าวของสื่อต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มากจนเกินไปกำลังทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัว จนไม่กล้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจาก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักมีปริมาณผู้โดยสารลดลงแล้ว 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้การบินไทยได้ติดตั้งแผ่นกรองอากาศที่ดีที่สุดกับเครื่องบินทุกลำ สามารถดักจับเชื้อโรคได้ขนาดเล็กที่สุด ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว (ค้นตามหลังมาจากhttp://www.valuba.com/story/view/604546.html เมื่อ 2009-07-15 17:00:05)
และไม่น่าเชื่อ ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมก็ได้รับฟอร์เวิร์ดเมลฉบับหนึ่ง ลงท้ายชื่อผู้ส่งว่า CHAMP ในหัวข้อเรื่อง “ถามตอบยอดฮิต เกี่ยวกับหวัด 2009‏” ที่มาในรูปแบบ FAQ ที่ใช้ภาษาแบบเป็นกันเอง (หมายความว่ามีอารมณ์ความรู้สึกแฝงอยู่ในนั้นด้วย) พร้อมภาพประกอบอธิบายชัดเจน เนื้อหาสาระของอีเมลฉบับนี้ก็พูดถึง ‘ความจริง’ เกี่ยวกับไข้หวัด 2009 ที่เราควรได้รับรู้เอาไว้ ผ่านประเด็นคำถามที่ว่า 1. โรคนี้ไม่รุนแรง ไม่น่ากลัว? 2. ถ้าเป็นขึ้นมา ไปหาหมอเดี๋ยวก็หาย? 3. ฉีดวัคซีนป้องกันได้? 4. แล้วอะไรคือสิ่งที่ควรทำตอนนี้? ซึ่งประเด็นสุดท้ายนี้คุณ CHAMP ยังแยกออกเป็นสองหัวข้อให้เราคือ ทั้งในระดับส่วนตัวและครอบครัว (4.1) และระดับนโยบายของรัฐและสื่อมวลชน (4.2) แถมท้ายด้วยการอธิบายเรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัสด้วยชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยาวเหยียด (ที่เขาวงเล็บว่า ส่วนนี้ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ช่างเถอะนะ)
ซึ่งประเด็น ‘สิ่งที่ควรทำตอนนี้’ โดยเฉพาะในหัวข้อ 4.2 นั้น คุณ CHAMP ตั้งคำถามกับเราว่า “ทำไมประเทศเราถึงควบคุมการระบาดไม่ได้เลย ขณะที่ประเทศต้นตำรับการระบาดอย่าง Mexico ซึ่งไม่ได้เจริญกว่าบ้านเราเลย เขาถึงควบคุมการระบาดระลอกแรกได้” และคำตอบออกมาเป็นดังนี้

จำข่าวได้มั้ยครับ ว่าตอนแรกที่ Mexico เขาระบาดเขาทำอะไรบ้าง?? ปิดเลยครับ!!! เขากล้าพอที่จะปิดโรงเรียนทุกแห่ง โรงหนังทุกแห่ง ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ พร้อมกัน 1 สัปดาห์ พร้อมทั้งพ่นยาฆ่าเชื้อตามโรงหนัง ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ด้วย นั่นคือสาเหตุที่เขาควบคุมการระบาดระลอกแรกได้ทันทีในสัปดาห์ต่อมา....แล้วพี่ไทยล่ะทำอะไรบ้าง?? นอกจากออกข่าวว่าไม่มีอะไร้ ไม่น่ากลัว แต่คนติดเชื้อเพิ่มเป็นหลักร้อยหลักพันทุกวัน??? มัวแต่กลัวว่าเศรษฐกิจจะทรุด การท่องเที่ยวจะกระทบ...คิดกันบ้างมั้ยว่า ถ้าคนไทย ตัยหอง กันหมด จะมีเศรษฐกิจดีๆ ไว้ทำอารายจ๊ะ?? เศรษฐกิจ คือ สิ่งที่เราสร้างได้แน่นอน ถ้าคนไทยยังมีลมหายใจอยู่คับ (ว้อยยยยยย)

ความน่าเชื่อถือของข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอร์เวิร์ดเมลนั้นเป็นสิ่งที่เรารู้กันอยู่ว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบให้ถ่องแท้เสียก่อน ไล่มาตั้งแต่การขอความช่วยเหลือ บริจาคเงิน บริจาคเลือด ตามหาคนหาย ด่าทอคนเลว ติติงร้านอาหารหรือที่พัก ไปจนถึงเรื่องศรัทธาความเชื่อ (ถ้าไม่ส่งต่อให้ครบ 10 คนจะไม่มีคู่ ฯลฯ) หรือกระทั่งเรื่องใหญ่โตระดับประเทศอย่างการโจมตีบุคคลสำคัญหรือสถาบัน ไปจนถึงเรื่องคอขาดบาดตายอย่างภัยธรรมชาติ (โดยเฉพาะเรื่องซึนามิและแผ่นดินไหว)

ผมเห็นด้วยว่าถ้าเราเกิดความสนใจในหัวข้อไหน ก็ควรตรวจสอบอย่างจริงจัง ให้รู้ตื้นลึกหนาบาง ก่อนจะปักใจเชื่อหรือเริ่มปฏิบัติการณ์ใดๆ แต่กรณีเรื่องไข้หวัด 2009 นี้ผมยังมองเห็นอีกประเด็นหนึ่ง
ไม่ว่าข้อมูลของคุณ CHAMP จะเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร (ย้ำอีกครั้งว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องไปตรวจสอบ) แต่ท่าทีของเขานั้นตั้งอยู่บนความสนอกสนใจความเป็นมนุษย์ของคนอื่น กรณีของไข้หวัด 2009 จึงไม่ใช่เรื่องที่เราต้องคลุ้มคลั่งวิตกกังวล แต่เป็นเรื่องที่เรา ‘จำเป็นต้อง’ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งจากสื่อและจากรัฐบาล เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ ‘อาจจะ’ เกิดขึ้นได้
ไอ้ ‘ท่าที’ นี่แหละครับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะท่าทีที่มาจากคนระดับปลายยอดของปิรามิด

(ติดตามอ่านฟอร์เวิร์ดเมลฉบับเต็มของคุณ CHAMP ได้ที่ http://iamvajira.blogspot.com/2009/08/2009-ffw-mail.html)
(อ่านต่อ)

1 comment:

Anonymous said...

ด.ก.ท.ท.ล.ก.บ.ท. ??

คือ 'ไรอ่ะ

บ้าที่สุด ...ไม่เห็นเข้าใจ

เค้าโครตเกลียดอีเมลล์ แบบ ส่งต่อ 10 คน ไม่ส่งขอให้ซวย ไรคู่ อะไรเทือกๆนั้น หนอย...เรวว

+KEY